ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 3 - 9 พฤษภาคม 2567 |
---|---|
คอลัมน์ | กาแฟดำ |
ผู้เขียน | สุทธิชัย หยุ่น |
เผยแพร่ |
นายกฯ เศรษฐา ทวีสิน “ขอความร่วมมือ” จากสมาคมธนาคารไทยให้ช่วย “กลุ่มคนเปราะบาง” ด้วยการลดดอกเบี้ยให้สัก 0.25%
ต่อมาไม่กี่วัน สมาคมธนาคารไทยก็ตอบสนองด้วยการประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายย่อยชั้นดี (MRR) 0.25% สำหรับลูกค้า “กลุ่มเปราะบาง” ทั้งลูกค้าส่วนบุคคลและเอสเอ็มอีเป็นเวลา 6 เดือน
มีเสียง “เฮ” จากหลายฝ่ายทันที
เพราะใครๆ ก็เห็นใจ “กลุ่มเปราะบาง”
แต่สิ้นเสียง “เฮ” ก็เกิดคำถามว่ากลุ่ม “เปราะบาง” ที่ว่านี้คือใครบ้าง?
มีใครรู้ไหมว่ามาตรการลดดอกเบี้ยที่ว่านี้จะได้ประโยชน์สักกี่คน?
ถามไปถามมาก็ไม่มีใครตอบได้
เพราะคำว่า “กลุ่มเปราะบาง” เป็นคำสังคมศาสตร์หรือรัฐศาสตร์
แต่ไม่ปรากฏในนิติศาสตร์
นักการเมืองและนักวิชาการและแม้แต่ธนาคารแห่งประเทศไทยกับสภาพัฒน์มักจะใช้คำนี้เพื่อสะท้อนถึงกลุ่มคนที่ไม่สามารถดูแลตัวเองได้โดยปราศจากความช่วยเหลือจากรัฐ
กระทรวงทบวงกรมทั้งหลายชอบคำนี้เป็นพิเศษ…เพราะเขียนโครงการตั้งงบประมาณได้
แต่พอจะลงรายละเอียดว่าความช่วยเหลือลงที่คน “เปราะบาง” ก็จะมีคำถามว่าใครเข้าข่ายนี้บ้าง
ถามไปที่คนที่เกี่ยวกับเอสเอ็มอีอย่างคุณแสงชัย ธีรกุลวาณิช ในฐานะประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย ก็ได้คำตอบว่าไม่รู้เหมือนกัน
“ผมก็กำลังถามหาคำนิยามว่ากลุ่มเปราะบางคืออะไร”
ก่อนจะถามว่า “กลุ่มเปราะบาง” คืออะไรต้องเริ่มด้วยถามหาคำนิยามว่า SME คืออะไรก่อน
แกอธิบายว่าภาครัฐกับเอกชนจะใช้นิยามของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เป็นเกณฑ์
แต่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำหนดให้เอสเอ็มอีคือบริษัทที่มีวงเงินสินเชื่อต่ำกว่า 5-50 ล้านบาท
ส่วนรายย่อยนั้นวงเงินสินเชื่อต่ำกว่า 5 ล้านบาท
แต่เอาเข้าจริงๆ แต่ละสถาบันการเงินก็มีเกณฑ์เอสเอ็มอีของตัวเอง
ยิ่งถ้าถามต่อไปว่าเอสเอ็มอีต้องอยู่ในสภาพเช่นไรจึงจะเข้าข่าย “เปราะบาง” ก็ยิ่งจะหาคำตอบยากขึ้นไปอีก
เพราะ “ขนาด” ของธุรกิจไม่จำเป็นต้องมีความสัมพันธ์กับ “ความเปราะบาง”
คุณแสงชัยบอกว่าที่สำคัญคือต้องรู้ว่าพอลดดอกเบี้ยให้แล้ว จะช่วยได้จริงๆ สักกี่ราย
จึงต้องมีการรายงาน “ตัวชี้วัด” ที่จะบอกด้วยว่าแต่ละสถาบันการเงินสามารถตอบสนองความต้องการของ “กลุ่มเปราะบาง” ได้เท่าไหร่กันแน่
ไม่ใช่มีแต่โครงการ…แต่ไม่มีผู้ได้รับประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรม
ก็จะเข้าข่าย “ไม่ตรงปก” อีกหนึ่งในมากมายหลายกรณี
มาถึงตรงนี้ก็ทำให้ผมคิดขึ้นมาได้ว่าความจริงสังคมไทยโดยส่วนรวมก็ล้วนมีความ “เปราะบาง” ทั้งสิ้น
เพราะโครงสร้างสังคมไทยตั้งแต่บนลงล่างสุดนั้นล้วนไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานที่มั่นคงหรือด้วยตรรกะที่สมเหตุสมผล
ระบบอุปภัมภ์, คอร์รัปชั่น, การเล่นเส้นสายและการยอมให้ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนถ่างกว้างขึ้นโดยไม่มีใครสามารถแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำได้
นั่นคือเชื้อร้ายที่ทำให้ “ภูมิต้านทาน” ระดับชาติในเกือบทุกวงการอ่อนแอ
สำรวจตรวจสอบเข้าไปลึกๆ เกือบทุกวงการ แม้ว่าข้างนอกอาจจะดูแข็งแกร่ง แต่ข้างในถูกเซาะกร่อนด้วยความอยุติธรรมและพฤติกรรมทุจริตประพฤติมิชอบอย่างต่อเนื่อง
คุณภาพนักการเมืองตกต่ำเพราะเล่นการเมืองเพื่อผลประโยชน์แห่งตนมากกว่าที่จะเสียสละเพื่อสร้างอนาคตประเทศชาติอย่างจริงจัง
ความพยายามจะนำเอา “การเมืองก้าวหน้า” เข้ามาสร้างความเปลี่ยนแปลงถูกกลไกรัฐและกลุ่มอำนาเดิมสกัดกั้นทุกวิถีทาง
นั่นคืออาการที่แท้จริงของ “ความเปราะบาง” ระดับชาติ
เป็นอาการป่วยซึมลึกที่ถูกปกปิดซ่อนเร้นไว้ด้วยการไม่ยอมรับความจริงว่าสังคมกำลังป่วยเรื้อรัง
ผู้มีอำนาจมักเอ่ยอ้างถึง “ผู้เปราะบาง” เพราะสามารถสร้างความความนิยมชมชอบทางการเมืองด้วยการเอ่ยอ้างถึง “ผู้ด้อยโอกาส”
แต่ไม่เคยสร้างโอกาสให้กับผู้ด้อยเหล่านั้นอย่างเป็นระบบ
ขณะที่ตนยืนอยู่บนโครงสร้างการเมืองระดับชาติที่อ่อนไหวสั่นคลอน
เพราะได้อำนาจมาด้วยการต่อรองแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ที่รังแต่จะทำลาย “ภูมิคุ้มกัน” ของประเทศทั้งสิ้น
นักการเมืองมักจะใช้ภาษาสวยงามที่ต้องการสื่อว่ามีความทุ่มเทเพื่ออุทิศตนในการยกระดับมวลชนที่ “เปราะบาง”
แต่เอาเข้าจริงๆ นักเลือกตั้งเหล่านี้จะทำทุกอย่างเพื่อให้ยังมี “กลุ่มเปราะบาง” ดำรงอยู่อย่างกว้างขวาง
เพราะนั่นคือ “ฐานเสียง” อันสำคัญสำหรับการกล่าวอ้างในการหาเสียง
และเพื่อใช้เป็นข้ออ้างในการเสนองบประมาณเพื่อสร้างโอกาสในการหาประโยชน์ใส่ตน
กลเกมเช่นว่านี้ไม่ได้หยุดอยู่ที่ขั้นบันไดของทำเนียบรัฐบาลหรือรัฐสภา
มันแผ่กิ่งก้านสาขาออกไปเกาะเกี่ยวโครงสร้างของสังคมในเกือบจะทุกมิติ
เป็นผลต่อเนื่องที่กลายเป็นเชื้อร้ายที่นำมาซึ่งความแปรปรวนและอ่อนไหว
มันสะท้อนถึง “ความเปราะบาง” ของการเมืองในระดับสูงของประเทศ
สังคมก็เป็นเพียงแจกันบอบบางที่วางอยู่ขอบโต๊ะอย่างล่อแหลม
โดยไม่สำเหนียกว่าเพียงแรงสั่นสะเทือนเบาๆ ณ จังหวะที่เหมาะเจาะก็มีสิทธิ์จะส่งมันตกพื้น…แตกกระจุยกระจายอย่างที่คาดไม่ถึงได้
แต่ผู้มีอำนาจยังปฏิเสธความจริงข้อนี้
เพราะในภาพผิวเผินข้างนอก ทุกอย่างยังดูดีประหนึ่งภาพวาดทุ่งลาเวนเดอร์
แต่วันหนึ่งเมื่อขยะใต้พรมที่สั่งสมมาช้านานถูกกวาดออกมาต่อสายตาสาธารณะ เมื่อนั้นก็จะเกิดความตระหนักว่าบ้านเมืองถึงทางตัน
แต่รอให้แจกันดอกไม้บอบบางนั้นหล่นลงจากโต๊ะจึงจะตกใจตื่นตัวก็อาจจะสายเกินกาล
เพราะรัฐบาลที่ “อ่อนเปลี้ยเพลียแรง” จะช่วยประชาชนที่ “เปราะบาง” ได้อย่างไร?
ไม่เพียงแต่ผู้มีรายได้น้อยที่อยู่ไกลปืนเที่ยงเท่านั้นที่เข้าข่าย “เปราะบาง”
แต่วันนี้ หากจะตรวจสอบกันให้ลึกและวิเคราะห์กันให้รอบด้านก็จะพบว่า
ระบบการศึกษาเรายิ่งกว่าเปราะบาง เพราะเรากำลังพ่ายแพ้เพื่อนบ้านของเราในเกือบทุกสนามพิสูจน์ฝีมือในระดับสากล
ระบบ “นิติรัฐ” หรือ Rule of Law ของเราก็อยู่ในภาวะ “เปราะบาง” อย่างหนัก
เพราะเป็นที่ชัดแจ้งว่ากฎหมายไม่ได้ถูกใช้เท่าเทียมกันสำหรับคนทุกคน
เมื่อถูกซักถูกถามว่าทำไมคนบางคนจึงได้รับสิทธิ์พิเศษภายใต้กฎหมายฉบับเดียวกัน ก็ได้รับคำตอบว่า “คุณไม่พอใจก็ต่างคนต่างอยู่”
เสมือนหนึ่งว่าประเทศนี้มีประชาชนอยู่สองชนชั้นที่มีสิทธิ์และเสียงไม่เท่ากันโดยที่กระบวนการยุติธรรมไม่อาจจะแก้ไขปรับปรุงได้แต่อย่างไร
สังคมคนสูงวัยเราก็ “เปราะบาง” อย่างน่ากังวล
ปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “จนก่อนแก่” หรือ “แก่ก่อนรวย” เป็นความน่ากลัวที่สะท้อนว่าระบบสวัสดิการสังคมของเราไม่อาจจะคุ้มครองดูแลผู้สูงวัยได้
ขณะที่คนรุ่นทำงานที่เรียกว่า Sandwich Generation (คนรุ่นแซนด์วิช) ถูกกระหน่ำด้วยภาระหนักขึ้นตลอดเวลา
เพราะด้านหนึ่งต้องดูแลคุณพ่อคุณแม่ที่อายุมาก และอีกด้านหนึ่งต้องมีรายได้มากพอที่จะเลี้ยงดูลูกให้โตขึ้นมาอย่างมีคุณภาพ
เป็นความกดดันที่หนักอึ้งสำหรับคนที่ต้องเผชิญกับ “ความเปราะบาง” ของสังคมไทยอย่างน่ากลัวยิ่ง
เศรษฐกิจของไทยก็อยู่ในภาวะ “เปราะบาง” ยิ่ง
เพราะเราพึ่งพา “เครื่องยนต์” เพียงสองชุด นั่นคือการท่องเที่ยวและการส่งออกที่กำลังอยู่ในภาวะที่เผชิญกับความเปลี่ยนแปลงระดับโลกที่หนักหน่วง
เพราะรัฐบาลที่ไม่ยอม “ปฏิรูป” โครงสร้างเศรษฐกิจ, ระบบราชการ, คอร์รัปชั่น และระบบการศึกษาย่อมไม่อาจจะพาชาติให้พ้นจากภาวะเปราะบางได้เลย
หากเราไม่ยอมรับความเปราะบางทั้งระบบของประเทศ ก็จะไม่มีวันที่จะนำพาประเทศออกจาก “กับดักแห่งความล้าหลัง” ที่เป็นปัญหาหมักหมมมาช้านาน…และจะอยู่กับเราไปอีกนาน
จนกว่าความเปลี่ยนแปลงที่จริงจังและยั่งยืนเพื่อแก้ความ “เปราะบาง” ในทุกวงการของสังคมจะมาถึง!
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022