นงนุช สิงหเดชะ : โลกเสื่อม-น่าสิ้นหวัง ในเมื่อแม้แต่ “ญี่ปุ่น” ยังโกง

กรณีทีมวอลเลย์บอลหญิงไทย พ่ายให้กับทีมญี่ปุ่นในการแข่งขันรอบคัดเลือกโอลิมปิกที่ญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม อย่างน่ากังขา เพราะกรรมการเพิ่มคะแนนเสน่หาให้กับทีมญี่ปุ่นไปฟรีๆ 2 แต้ม

ชักจะทำให้เชื่อแล้วว่าอันที่จริงแล้วญี่ปุ่นที่คนไทยคลั่งไคล้ หรือทั่วโลกยกย่องชื่นชม โดยเฉพาะความซื่อสัตย์ มีระเบียบวินัย สุดท้ายก็ถูกเปิดโปงให้เห็น “เนื้อใน” ว่า พี่ยุ่นเอากะเขาด้วยเรื่องความโกง

หลักฐานที่ชวนให้เชื่อมากยิ่งขึ้นว่าญี่ปุ่นจะเริ่มเสื่อมเพราะโกง เห็นได้จากข่าวอื้อฉาวเมื่อไม่นานนี้ (13 พฤษภาคม) ที่แพลมออกมาว่า ญี่ปุ่นน่าจะมีการยัดเงิน เพื่อให้ตัวเองได้เป็นเจ้าภาพโอลิมปิก 2020

หนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียนแห่งอังกฤษ แฉว่าผู้แทนรัฐบาลญี่ปุ่นได้โอนเงินราว 2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 70 กว่าล้านบาท) เข้าบัญชีในประเทศสิงคโปร์ ซึ่งเกี่ยวโยงกับลูกชายของ นายลามีน ดิแอค อดีตประธานสหพันธ์สมาคมกรีฑานานาชาติ

ซึ่งอัยการฝรั่งเศสกำลังสืบว่าเงินจำนวนนี้เชื่อมโยงกับการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพมหกรรมกีฬาโอลิมปิก 2020 ของกรุงโตเกียวหรือไม่

คณะกรรมการโอลิมปิกญี่ปุ่น ยอมรับว่าได้จ่ายเงิน 2 ล้านดอลลาร์จริง แต่อ้างว่าเป็นค่าที่ปรึกษา ค่าบริการ และยืนยันว่าทุกอย่าง “โปร่งใส”

 

ก่อนหน้านั้น 20 เมษายน นายทัตสึโระ ไอคาวะ ประธานบริษัทมิตซูบิชิญี่ปุ่น ออกมายอมรับว่าตกแต่งข้อมูลผลทดสอบประหยัดน้ำมันของรถยนต์มิตซูฯ 6.25 แสนคัน ซึ่งเป็นรถขนาดเล็กที่ขายในญี่ปุ่น โดยอ้างว่าพนักงานบริษัทเป็นผู้ตกแต่งข้อมูลนี้ (ทำนองว่าไม่เกี่ยวกับผู้บริหาร)

16 พฤษภาคม เกาหลีใต้ออกมาแฉว่ารถยนต์เอสยูวี Qashqai ของนิสสัน (บริษัทที่กำลังเข้าเทกโอเวอร์มิตซูฯ) ที่วางจำหน่ายในเกาหลีใต้ โกงค่าไอเสียรถยนต์ทำให้กระทรวงสิ่งแวดล้อมเกาหลีใต้เตรียมฟ้องร้องและปรับนิสสัน

25 เมษายน นายฮิโรโนบุ โซมิยะ อายุ 45 ปี นักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่น ที่มาเที่ยวเชียงใหม่ ถูกตำรวจเชียงใหม่ตั้งข้อหาแจ้งความเท็จ หลังจากมาแจ้งความว่าถูกวิ่งราวทรัพย์หน้าตลาดแห่งหนึ่งขณะพาแม่ซ้อนท้ายขี่จักรยานชมเมือง

แต่เมื่อสอบถามพยานบุคคลและตรวจกล้องวงจรปิดแล้ว ไม่พบเหตุการณ์ตามที่แจ้ง ตำรวจจึงให้นายฮิโรโนบุ พาไปยังห้องพักในโรงแรมที่พัก ก็พบทรัพย์สินที่อ้างว่าถูกขโมยไปยังอยู่ครบ เมื่อจำนนต่อหลักฐาน นักเที่ยวญี่ปุ่นรายนี้ยอมรับว่าโกหก

ตำรวจไทยมีประสบการณ์ลักษณะนี้มาก่อนแล้ว โดยพบว่ามีนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวนไม่น้อยแจ้งความเท็จว่าทรัพย์สินหายหรือถูกปล้น เพื่อหวังนำหลักฐานการแจ้งความไปเคลมเงินกับบริษัทประกัน

 

ไล่เรียงเหตุการณ์มาให้ดู เพื่อจะได้เห็นคนญี่ปุ่นอีกด้านหนึ่ง ซึ่งไม่ใสสะอาด ดังนั้น เวลาไปเที่ยวญี่ปุ่น ก็อย่าเพิ่งวางใจว่าจะไม่มีขโมย-โจรหรือคนคดโกง เพราะเคยมีคนไทยไปเที่ยวญี่ปุ่นแล้วถูกโจรในเมืองโกเบ เป็นหญิง 1 ชาย 1 พยายามบุกห้อง (ทั้งที่แขกยังอยู่ในห้อง) ที่แย่สุดๆ คือพนักงานโรงแรมไม่สนใจจะช่วยเหลือเมื่อโทร.ไปแจ้ง

บางทีประเทศนี้เข้าใจยาก เหมือนสังคมสองหน้า ที่ตรงข้ามกันสุดขั้ว เช่น พวกผู้หญิง หน้าหนึ่ง ทำเป็นคิกขุ น่ารัก ไร้เดียงสา สงบเสงี่ยมเรียบร้อย

แต่อีกหน้าหนึ่ง เป็นประเทศที่มีอุตสาหกรรมหนังโป๊ (วิตถาร) ใหญ่เป็นอันดับหนึ่งหรือสองของโลก (แม้แต่อเมริกายังต้องอ้าปากค้างที่พี่ยุ่นผลิตหนังแนวนี้มากกว่าอเมริกาเท่าตัว) และถูกกฎหมายด้วย (แต่ผู้ผลิตส่วนใหญ่ไม่ทำตามกฎหมาย) ทำให้หญิงญี่ปุ่น ตั้งแต่วัยรุ่นยันคุณป้า เข้าสู่อุตสาหกรรมนี้มาก จนดูเหมือนเป็นอาชีพปกติธรรมดา ที่ใครๆ ก็ทำกัน (แบบหน้าระรื่นไม่อาย)

แถมผู้หญิงที่เป็นดาราหนังโป๊ประเภทนี้ยังดูภูมิใจตัวเองมาก ส่วนสังคมก็ดูเหมือนยอมรับ (คล้ายกับว่าเป็นอาชีพที่มีเกียรติมาก) เสียด้วย คือเชิญไปออกทีวี ออกอีเวนต์ต่างๆ (อีเวนต์ปกติทั่วไป) หน้าตาเฉย

เป็นธรรมดาที่ทุกประเทศก็ต้องมีผู้หญิงเข้าสู่อาชีพนี้ แต่ญี่ปุ่นนั้นดูเหมือนจะดกดื่นและกว้างขวาง ขัดกับลักษณะภายนอกที่แสดงออก

ฉันใดก็ฉันนั้น ภาพลักษณ์ภายนอกญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงเรื่องความซื่อสัตย์ อาจเป็นแค่ภาพลวงตา อย่างในกรณีโกงค่าไอเสียรถยนต์และโกงระดับการประหยัดน้ำมัน และ (อาจจะ)

รวมทั้งเรื่องวอลเลย์บอลอันอื้อฉาวนี้ด้วย

 

เรื่องวอลเลย์บอลครั้งนี้ เมื่อเชื่อมโยงกับข่าวฉาวเรื่องจ่ายสินบนเพื่อให้ได้เป็นเจ้าภาพโอลิมปิก 2020 ก็ทำให้ชักอยากจะเชื่อแล้วว่า พี่ยุ่นอาจตั้งใจโกงแต่แรก โดยอาจเตี๊ยมกับกรรมการเอาไว้แล้ว

หลังจบเกมอัปยศ เว็บไซต์ของสหพันธ์วอลเลย์บอลนานาชาติ (FIVB) ยังมีหน้าลงข่าวว่า ทีมไทยแพ้เพราะโค้ชไร้วินัยที่ไปโต้แย้งกรรมการ ทั้งที่โค้ชไทยใช้สิทธิที่พึงมี คือการพยายามไปแจ้งว่า แท็บเล็ตที่ใช้สำหรับกดสัญญาณขอเปลี่ยนตัวผู้เล่นและขอ challenge มีปัญหา

แทนที่กรรมการจะตรวจสอบปัญหา ณ เวลานั้นเพื่อความยุติธรรม ดันให้ใบแดงไทยแทน หาว่าถ่วงเวลา และบวกแต้มฟรีให้ญี่ปุ่นจนชนะไทย

ระบบการขอเปลี่ยนตัวหรือขอ challenge (และอื่นๆ) แบบใหม่ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์นั้น แต่ละทีมต้องกดปุ่มที่แท็บเล็ต จากนั้นสัญญาณจะขึ้นที่หน้าจอของเจ้าหน้าที่ฝ่ายญี่ปุ่น เมื่อสัญญาณขึ้นแล้ว ต้องรอให้เจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นกดตอบรับคำขอ จากนั้นสัญญาณจึงจะถูกส่งต่อไปยังกรรมการตัดสิน (สัญญาณต้องผ่านคนกลางอย่างเจ้าหน้าที่ญี่ปุ่น ผู้ขอไม่สามารถส่งตรงถึงกรรมการ)

แต่เจ้าหน้าญี่ปุ่นอ้างว่า ไม่เห็นสัญญาณจากฝั่งไทย ตรงนี้แหละคือพิรุธที่ส่อว่าพี่ยุ่นตั้งใจโกง โดยอาจเป็นไปได้หรือไม่ว่ายุ่นตั้งใจมองไม่เห็นสัญญาณจึงไม่กดตอบรับ หรือไม่ก็ฝ่ายเทคนิค (ซึ่งก็คือพี่ยุ่นทั้งนั้น) ทำให้ระบบสื่อสารคือไวไฟมีปัญหา

หลังจากเกิดปัญหา FIVB เรียกประชุม แต่ผลประชุมกลับไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน

โดย FIVB อ้างว่าได้แจกคู่มือการใช้งานแล้ว แต่ที่ FIVB ไม่ยอมตอบและหลีกเลี่ยงที่จะตอบคือ ทำไมไม่ให้โค้ชแต่ละทีมได้ทดลองใช้งานจริงของแท็บเล็ตเสียก่อน ทั้งที่มีการนำมาใช้เป็นครั้งแรก แจกเพียงคู่มือเท่านั้น เหมือนซื้อโทรศัพท์มือถือ ได้แต่คู่มือมา แต่ไม่มีตัวเครื่องให้ทดลองใช้เพื่อให้เกิดความชำนาญ

ขณะเดียวกัน ไม่มีการชี้แจงว่า สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้หรือไม่ว่า เกิดความผิดพลาดที่จุดใด และสามารถพิสูจน์ได้หรือไม่ว่า เจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นซึ่งเป็นตัวกลางในการส่งต่อสัญญาณ ไม่เห็นสัญญาณนั้นจากโค้ชไทยจริงๆ

แต่ก็แปลกอีก แท็บเล็ตทีมญี่ปุ่นทำงานดีมากไม่มีปัญหาเลย (สัญญาณไวไฟคงแรงกว่าทีมอื่น) จะขอเปลี่ยนตัวหรือ challenge บ่อยแค่ไหนก็ได้ทุกครั้ง


จีนโกง เกาหลีโกง ไม่น่าช็อก เพราะไม่เหนือความคาดหมาย แต่พอญี่ปุ่นโกงเอง เล่นเอาช็อกกันทั้งบาง เสียความรู้สึก

กรณีญี่ปุ่นทั้งเรื่องมิตซูฯ นิสสัน วอลเลย์บอล ทำให้โลกขาดแบบอย่างที่ดี จึงน่าสิ้นหวัง เสื่อม

จากเหตุการณ์นี้เชื่อว่าคนไทยจำนวนหนึ่งคงหมดอารมณ์ไปเที่ยวญี่ปุ่นสักพัก

และคงช่วยไม่ได้ ที่คนญี่ปุ่นทั้งประเทศจะโดนหางเลข เพราะว่าหากโกงจริงก็เกิดจากระดับเจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นทำกันอย่างเป็นระบบ (ในนามตัวแทนของประเทศญี่ปุ่น) เป็นเรื่องระดับชาติ ไม่ใช่การทำผิดส่วนบุคคล อย่างที่คนไทยโลกสวยบางคนพยายามปกป้องญี่ปุ่น

ล่าสุด FIVB ปฏิเสธ ไม่ยอมสอบจริยธรรมกรรมการตัดสินชาวเม็กซิโก ตามที่ทางฝ่ายไทยยื่นอุทธรณ์ไป โดยอ้างว่าไทยยื่นช้าไป ต้องยื่นภายใน 1 ชั่วโมงหลังจบแมตช์นั้นๆ ยิ่งทำให้เกิดพิรุธมากขึ้นว่า

ที่แท้มันอาจเป็นการโกงอย่างเป็นขบวนการ สมคบคิดกันอย่างเป็นขบวนการ