เมอร์คิวรี่ : โหมโรงศึกลูกหนัง “ไทยลีก 2018” การเดิมพัน 18 ทีมรวมกันเฉียด 3 พันล้าน

คอลัมน์เขย่าสนาม

ฟุตบอลลีกสูงสุดของประเทศไทย” “โตโยต้า ไทยลีก 2018” หรือไทยลีก 1 (ที 1) กลับมาประเดิมสนามแข่งขันฤดูกาลใหม่กันในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2561 ซึ่งนับเป็นการแข่งขันฤดูกาลที่ 22 ของการแข่งขันไทยลีกนับตั้งแต่ก่อตั้งครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2539

โดยในฤดูกาลนี้จะมีสโมสรเข้าร่วมการแข่งขันเป็น 18 สโมสร แข่งขันกันยาวนานไปจนถึงวันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ.2561

การแข่งขันฤดูกาลนี้ถือว่ามีมิติใหม่เกิดขึ้นกับวงการลูกหนังลีกไทยมากมาย

ทั้งการนำเทคโนโลยีใหม่ด้วยการนำระบบวิดีโอช่วยตัดสิน” “วิดีโอ แอสซิสแทนต์ เรฟเฟอรี่” หรือ วีเออาร์

และการใช้ผู้ตัดสินที่ 5 และ 6 ช่วยตัดสินบริเวณกรอบเขตโทษ” “แอดดิชั่นแนล แอสซิสแทนต์ เรฟเฟอรี่” หรือ เอเออาร์ เข้ามาช่วยตัดสินเกมการแข่งขันให้มีความถูกต้องยุติธรรมมากที่สุด

รวมทั้งการเปลี่ยนการลงทะเบียนโควต้านักเตะต่างชาติที่ได้เปิดโอกาสให้นักเตะโควต้าอาเซียนเข้ามาร่วมแข่งขันไทยลีกเป็นครั้งแรก

โดยแต่ละทีมจะลงทะเบียนนักเตะต่างชาติได้ 3 คน, นักเตะเอเชีย 1 คน และนักเตะอาเซียน 1 คน หรือในระบบ 3+1+1 ซึ่งในการลงสนามจะใช้นักเตะต่างชาติได้ 3 คน และนักเตะเอเชีย หรือนักเตะอาเซียน 1 คน หรือในระบบ 3+1 แต่ไม่ได้บังคับว่าทุกทีมต้องมีนักเตะอาเซียน

นอกจากนั้น “สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ” ยังได้มีมติเห็นชอบว่า การแข่งขันไทยลีก 2018 จะมีทีมตกชั้นทั้งหมด 5 ทีม เพื่อที่จะทำให้การแข่งขันไทยลีก 2019 ถูกลดจำนวนทีมให้เหลือเพียง 16 ทีมเท่านั้น ซึ่งจะช่วยเป็นการลดโปรแกรมการแข่งขันให้น้อยลงกว่าแต่ก่อน และจะส่งผลดีต่อสภาพร่างกายนักเตะ โดยเฉพาะนักเตะทีมชาติไทยที่จะมีโปรแกรมแข่งขันระดับนานาชาติ

มิติใหม่เหล่านี้น่าจะช่วยสร้างสีสันให้ศึกไทยลีก 2018 มีความสนุกตื่นเต้นมากขึ้นกว่าเดิมอย่างแน่นอน!

 

ขณะที่การเตรียมทีมสู้ศึกฤดูกาลใหม่ของแต่ละทีมก็ต่างทุ่มเงินมหาศาลในการซื้อตัวนักเตะเข้ามาเสริมทัพกันอย่างอึกทึกครึกโครม ส่วนตัวเลขงบประมาณทำทีมของแต่ละสโมสรในการเข้าร่วมการแข่งขันในฤดูกาลนี้ เมื่อรวมกันทั้งหมดแล้วจำนวน 18 สโมสร รวมงบประมาณทำทีมสูงถึงเกือบ 3 พันล้านบาทเลยทีเดียว ซึ่งทำให้ศึกไทยลีก 2018 ยิ่งทวีคูณความเข้มข้นเพิ่มไปตามจำนวนเม็ดเงินทำทีมของแต่ละสโมสร

“กิเลนผยอง” “เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด” แชมป์ไทยลีก 4 สมัย และรองแชมป์เก่า กลายเป็นทีมที่ทุ่มงบประมาณทำทีมมากที่สุดในฤดูกาลนี้ ด้วยการใช้เม็ดเงินทำทีมมากถึง 400 ล้านบาท กับเป้าหมายในการทวงคืนทุกแชมป์ภายในประเทศไทย

แต่ต้องขาดขุมกำลังนักเตะแกนหลักไปถึง 4 คนทั้ง “เจ” ชนาธิป สรงกระสินธ์, “มุ้ย” ธีรศิลป์ แดงดา, “อุ้ม” ธีราทร บุญมาทัน และ “ตอง” กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์

“ปราสาทายฟ้า” “บุรีรัมย์ ยูไเต็ด” แชมป์ไทยลีก 5 สมัย และแชมป์เก่า เทงบประมาณทำทีมในฤดูกาลนี้รองลงมาเป็นจำนวนเงิน 300 ล้านบาท กับเป้าหมายคือการป้องกันแชมป์ไทยลีก และแชมป์ฟุตบอลถ้วยภายในประเทศ รวมทั้งยังมีโปรแกรมเวทีเอเชียในรายการเอเอฟซี แชมเปี้ยส์ลีก 2018 รอบแบ่งกลุ่มด้วย ทำให้ถือเป็นงานหนักพอสมควรสำหรับทีมยักษ์ใหญดินแดนอีสานใต้

“กว่างโซ้งมหาภัย” “เชียงราย ยูไนเต็ด” และ “แข้งเทพ” “แบงค็อก ยูไนเต็ด” เป็นอีก 2 ทีมชั้นนำที่คาดว่าใช้งบประมาณทำทีมตกอยู่ที่ทีมละกว่า 250 ล้านบาท ซึ่งทั้งเชียงราย และแบงค็อก ถือว่าเป็นทีมที่มีพัฒนาการขึ้นมาที่ดีอย่างต่อเนื่องตามลำดับ และสร้างผลงานได้น่าจับตามองเป็นอย่างมากในการแข่งขันฤดูกาลที่ผ่านมา ทำให้เป็นอีก 2 ทีมที่สร้างความสนุกตื่นเต้นให้กับวงการลูกหนังลีกไทยได้มากเลยทีเดียว

“สิงห์เจ้าท่า” “การท่าเรือ เอฟซี” ของประธานสโมสรคนสวย “มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ ควักงบฯ ทำทีม 200 ล้านบาท พร้อมเสริมทัพนักเตะดัง และทุ่มเงินคว้าตัว นูรูล ศรียานเก็ม จากชลบุรี เอฟซี ด้วยค่าตัวถึง 20 ล้านบาท ติดอันดับนักเตะไทยค่าตัวแพงสูงสุดเป็นอันดับ 4 ร่วมกับ ปกเกล้า อนันต์ ที่เคยย้ายจากชลบุรี เอฟซี ไปแบงค็อก ยูไนเต็ด และพีรดนย์ ฉ่ำรัศมี ที่เคยจากเมืองทองไปพัทยา ยูไนเต็ด ทำให้สิงห์เจ้าท่ากลายเป็นทีมเต็งลุ้นแชมป์ปีนี้ขึ้นมาอีกทีม

“เดอะ แรบบิท” “บางกอกกล๊าส เอฟซี” ใช้งบประมาณทำทีม 180 ล้านบาท โดยปีนี้ยังทุ่มงบฯ กระชากตัวนักเตะชั้นนำเสริมทัพ ซึ่งที่สร้างความฮือฮาได้มากที่สุดเป็นการคว้าตัว “นิว” ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ จากเชียงราย ยูไนเต็ด ด้วยค่าตัว 30 ล้านบาท และกลายเป็นนักเตะไทยที่มีค่าตัวแพงเป็นอันดับ 2 เท่ากับ ธีราทร บุญมาทัน ที่ย้ายจากบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด มาร่วมทีมเมืองทอง ยูไนเต็ด เป็นรองแค่ ธนบูรณ์ เกษารัตน์ ที่ย้ายจากเมืองทองไปร่วมทีมเชียงราย ด้วยค่าตัว 50 ล้านบาท

“เทพอินทรี” “อุบล ยูเอ็มที ยูไนเต็ด” ใช้งบฯ ทำทีมปีนี้อยู่ที่ 150 ล้านบาท กับการต่อกรกับทีมยักษ์ใหญ่ในเวทีลีกสูงสุด ขณะที่ “ราชันมังกร” “ราชบุรี มิตรผล เอฟซี” และ “โลมาฟ้าขาว” “พัทยา ยูไนเต็ด” พร้อมใจกันใช้งบฯทำทีมอยู่ที่ประมาณ 120 ล้านบาท

ส่วน “ช้างศึกยุทธหัตถี” “สุพรรณบุรี เอฟซี”, “ฉลามชล” “ชลบุรี เอฟซี”, “สวาดแคท” “นครราชสีมา มาสด้า เอฟซี”, “มังกรโล่เงิน” “โปลิศ เทโร เอฟซี”, “ค้างคาวไฟ” “สุโขทัย เอฟซี” วางงบประมาณทีมละ 100 ล้านบาท, “อินทรีทัพฟ้า” “แอร์ฟอร์ซ เซ็นทรัล เอฟซี” 80 ล้านบาท ด้าน “ตะหานน้ำ” “ราชนาวี”, “นกใหญ่พิฆาต” “ชัยนาท ฮอร์นบิล เอฟซี”, “ต่อพิฆาต” “ประจวบ เอฟซี” วางงบฯ อยู่ที่ประมาณทีมละ 70 ล้านบาท

เมื่อรวมงบประมาณทำทีมของทั้งหมด 18 ทีมจะรวมกันอยู่ที่ 2,760 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นการแข่งขันเดิมพันกันในเม็ดเงินค่อนข้างสูงบนเวทีลีกลูกหนังสูงสุดของเมืองไทย!

 

“บิ๊กอ๊อด” “พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง” นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ระบุว่า ฤดูกาลนี้สมาคมภาคภูมิใจ และเตรียมพร้อมนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้ เพื่อให้การแข่งขันมีความยุติธรรม และสนุกสนาน รวมทั้งเพื่อยกระดับมาตรฐานวงการฟุตบอลไทยด้วย เพราะในอนาคตฟีฟ่าจะตั้งเป็นกฎบังคับใช้ นอกจากนี้ ยังมีการเปลี่ยนแปลงใช้โควต้าอาเซียน เพื่อเปิดตลาดแฟนบอล และทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางของอาเซียนด้วย

“สมาคมได้เตรียมความพร้อม เพื่อทำให้ฟุตบอลไทยลีกมีการยกระดับมาตรฐานขึ้นมาทัดเทียมอารยประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูกาลนี้เรายังคงจับตาติดตามอย่างใกล้ชิดกับการล็อกผลการแข่งขันล่วงหน้า เพื่อให้เกมการแข่งขันมีความบริสุทธิ์ ยุติธรรม ใสสะอาด ไม่มีข้อครหาอีกด้วย” บิ๊กอ๊อดกล่าว

ศึกไทยลีก 2018 กลับมาเปิดฉากฟาดแข้งกันอีกครั้งในวันที่ 9 กุมภาพันธ์นี้ ซึ่งจากมิติใหม่ที่สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ นำมาใช้ และการทุ่มงบประมาณทำทีมของทั้งหมด 18 ของสโมสรในปีนี้จะทำให้ฟุตบอลลีกสูงสุดของไทยทวีคูณความสนุกตื่นเต้นขึ้นมามากพอสมควร

และรอการยกระดับขึ้นไปเป็นลีกชั้นนำของเอเชียต่อไปในอนาคต!