ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 19 - 25 มกราคม 2561 |
---|---|
เผยแพร่ |
คอลัมน์ Technical Time-Out
จู่ๆ สถานการณ์การลุ้นแชมป์ “พรีเมียร์ลีก” อังกฤษ ก็เริ่มคึกคักขึ้นมาเล็กน้อย
จากเดิมที่ทำท่าจะจืดชืด เพราะช่วงเวลาหนึ่ง จ่าฝูง “แมนเชสเตอร์ ซิตี้” โชว์ฟอร์มแข็งแกร่งไร้เทียมทานจนดูเหมือนว่าจะรักษาตำแหน่งผู้นำได้ไปจนจบฤดูกาลโดยอาจจะไม่แพ้ให้ทีมใดเลย
แต่แล้วอะไรที่กำลังไปได้สวยกลับสะดุดเอาดื้อๆ
เริ่มจากการเสมอ “คริสตัล พาเลซ” 0-0 ชนิดเกือบแพ้ (ถ้าอีกฝ่ายไม่ยิงลูกโทษพลาด) โดนหยุดสถิติชนะรวดในเกมลีกไว้ที่ 18 นัด
แต่ล่าสุดที่ค่อนข้างหนักกว่าคือการบุกปราชัยให้ “ลิเวอร์พูล” 3-4 เป็นการพ่ายแพ้นัดแรกของฤดูกาลสำหรับเรือใบสีฟ้า
แม้สกอร์จะค่อนข้างเบียดอย่างสูสี แต่ช่วงกลางครึ่งหลัง ซิตี้เกือบพังเละเทะเมื่อตกเป็นฝ่ายตามเจ้าถิ่นถึง 1-4 ประตู
การพ่ายแพ้นัดแรกของฤดูกาลหลังจากเพิ่งเสมอแบบน่าผิดหวังเมื่อ 2 นัดที่แล้ว อาจจะมีผลสะเทือนความมั่นใจของแข้งเรือใบอยู่บ้าง
แต่การรุกไล่จนหวิดตีเสมอท้ายเกมก็แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและใจสู้ของนักเตะแมนฯ ซิตี้ที่ยืนยันได้ว่าพวกเขาไม่ถอดใจง่ายๆ แต่อย่างใด
กระนั้น ชัยชนะของหงส์แดงก็เป็นสัญญาณบอกว่า หลังจากกรำศึกมายาวนาน เรือใบสีฟ้าเริ่มจะไม่แกร่งเหมือนก่อนหน้านี้ และคู่แข่งมีวิธีที่จะยัดเยียดความปราชัยให้จ่าฝูงพรีเมียร์ลีกได้
ยืนยันจากสถิติน่าสนใจ 3 ประการที่ปรากฏในนัดดังกล่าว ดังนี้
“โดดเดี่ยวอากูเอโร่”
จากสถิติการเยือนแอนฟิลด์ 5 นัดหลังสุด ยอดดาวยิงอย่าง “เซร์คิโอ “กุน” อากูเอโร่” แผลงฤทธิ์ไม่ออก ส่งบอลไปก้นตาข่ายไม่ได้แม้แต่ครั้งเดียว เฉพาะนัดนี้นัดเดียว แข้งดังชาวอาร์เจนไตน์โดนบอลในกรอบเขตโทษฝ่ายตรงข้ามเพียง 4 ครั้ง และยิงไม่ตรงกรอบเลย
เนื่องด้วย “เจอร์เก้น คล็อปป์” ผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลสั่งลูกทีมจับตาย ไม่ปล่อยให้กุนซึ่งเป็นตัวหลักในการทำประตูของเรือใบช่วง “กาเบรียล เฮซุส” บาดเจ็บ ได้บอลง่ายๆ โดยกุนโดนเสียบสกัดมากที่สุดในสนาม รวม 10 ครั้ง
เท่านั้นไม่พอ “เควิน เด บรอยน์” เพลย์เมกเกอร์ชาวเบลเยียมที่เคยเปิดบอลให้อากูเอโร่ได้ถึง 18 ครั้งก่อนหน้านี้ มานัดนี้ทำไม่ได้สักครั้งเดียว และผ่านบอลสำเร็จในแดนคู่ต่อสู้ 26 จากความพยายาม 37 ครั้ง เป็นสถิติต่ำสุดอันดับ 2 ในการเล่นเกมลีกฤดูกาลนี้ของเจ้าตัว
อีกทั้งตลอดเกม เด บรอยน์ สัมผัสบอล 73 ครั้ง แต่เสียบอล 24 ครั้ง คิดเป็น 32.9 เปอร์เซ็นต์ของการครอบครองบอล เป็นสถิติต่ำสุดในการลงสนามเกมพรีเมียร์ลีกตลอดฤดูกาล
ซึ่งแน่นอนว่าพอตัวสร้างสรรค์เกมเล่นไม่ออก อากูเอโร่ก็แทบหมดสิทธิลุ้นประตู
“ชานสุดแกร่ง”
นักเตะที่เป็นหัวใจสำคัญในเกมรับของลิเวอร์พูลในเกมดังกล่าวคือ “เอ็มเร่ ชาน” แข้งชาวเยอรมัน
ซึ่งคล็อปป์เผยว่าฝืนลงสนามทั้งๆ ที่ป่วย และต้องรับผิดชอบเกมรับของหงส์แดงซึ่งขาด “เวอร์กิล ฟาน ไดก์” กองหลังชาวดัตช์ที่มีปัญหาบาดเจ็บทั้งที่เพิ่งย้ายทีมมาจากเซาแธมป์ตันด้วยราคาสูงเป็นสถิติโลกสำหรับกองหลัง
นัดนี้ ชานทำสถิติเข้าเสียบสกัดสูงที่สุดในสนาม 6 นัด และตัดบอลได้อีก 2 ครั้ง
นอกจากนี้ กราฟิกการใช้พื้นที่ในสนามของนักเตะแต่ละคนยังเผยให้เห็นว่า ชานเคลื่อนที่ไปทั่วพื้นที่แดนกลางของสนาม
ทำหน้าที่ตัดบอลหรือป้องกันเกมรุกของแมนฯ ซิตี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุดในทีม
“การเล่นเพรสซิ่งสูง”
หนึ่งในแท็กติกสำคัญที่นำไปสู่ชัยชนะของหงส์แดงคือการเล่นเพรสซิ่งสูง วิ่งไล่บอลตั้งแต่ในแดนคู่ต่อสู้ ทุกครั้งที่เสียบอลนักเตะลิเวอร์พูลจะพยายามไล่ตามเอาคืน นอกจากจะทำให้เกมรุกของซิตี้รวนไปหมดแล้ว บางครั้งยังสร้างโอกาสลุ้นประตูได้อย่างน่ากลัวด้วย เช่น ประตูแรกของ “อเล็กซ์ ออกซ์เลด-แชมเบอร์เลน” ก็เริ่มต้นจากจังหวะที่ “โรแบร์โต้ ฟิร์มิโน่” แย่งบอลจาก “ฟาเบียน เดลฟ์” ในแดนของซิตี้
ขณะที่ประตูที่ 3 และ 4 ก็เกิดขึ้นในลักษณะคล้ายๆ กัน โดย “โมฮาเหม็ด ซาลาห์” แย่งบอลจาก “นิโคลัส โอตาเมนดี้” ในลูกที่ 3 ส่วนลูกที่ 4 เป็นการสกัดการเคลียร์บอลหน้าประตูของนายทวาร “เอแดร์สัน”
การกดดันคู่แข่งตั้งแต่ในแดนของอีกฝ่ายนั้น จำเป็นต้องอาศัยความมุ่งมั่น ตั้งใจ และความฟิตเต็มร้อย เนื่องจากต้องวิ่งเหนื่อยกว่าการตั้งรับในแดนตัวเอง กระนั้น แข้งหงส์ก็ตอบรับความคาดหวังและความเชื่อมั่นของคล็อปป์ได้เป็นอย่างดี
ผลจากการไล่บี้แย่งบอลอย่างเอาเป็นเอาตาย ทำให้ลูกทีมของ “เป๊ป กวาร์ดิโอล่า” ส่งบอลพลาดในแดนตัวเองถึง 33 ครั้ง มากกว่านัดอื่นๆ ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ ขณะเดียวกันก็หมายความว่า ลิเวอร์พูลมีโอกาสทำเกมบุกในพื้นที่อันตรายของฝ่ายตรงข้ามบ่อยครั้งขึ้น
เป็นกุญแจสำคัญที่นำไปสู่ชัยชนะในเกมนี้