พรีเมียร์ลีก 2023-2024 และมาตรฐานของ 3 ทีมตกชั้น

ปิดฉากลงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับศึก พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2023-2024 กับบทสรุปที่เรียกได้ว่าตื่นเต้นสูสีสุดสุดในรอบหลายปี

ในฝั่งหัวตารางมีปรากฏการณ์น่าสนใจเมื่อมีถึง 3 ทีมที่ได้ลุ้นกันจนถึงช่วงไม่กี่นัดสุดท้าย ก่อนที่ ลิเวอร์พูล จะหลุดวงโคจรไปก่อน

ขณะที่ อาร์เซนอล ซึ่งนำมาดีๆ ตอนกลางทางก็มาพลาดสะดุด

ปล่อยให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คว้าแชมป์ไปครองเป็นสมัยที่ 4 ติดต่อกันทีมแรกในประวัติศาสตร์วงการลูกหนังเมืองผู้ดี

 

ข้างฝั่งท้ายตารางก็มีประเด็นน่าสนใจเช่นกัน เมื่อ 3 ทีมที่เลื่อนชั้นจากลีกแชมเปี้ยนชิพฤดูกาลก่อน ได้แก่ ลูตัน ทาวน์, เบิร์นลีย์ และ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ต่างกอดคอหล่นชั้นกลับไปสู่ลีกแชมเปี้ยนชิพอีกครั้ง

นับเป็นครั้งที่ 2 ในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีกที่ทีมเลื่อนชั้นทั้ง 3 ทีม ตกชั้นทันทีในฤดูกาลถัดมา

ครั้งเดียวก่อนหน้านี้ต้องย้อนไปถึงฤดูกาล 1997-1998 ซึ่ง คริสตัล พาเลซ, บาร์นสลีย์ และ โบลตัน ร่วงตกชั้นไปพร้อมกัน โดยทั้ง 3 ทีมทำคะแนนรวมกันได้ 108 คะแนน

มาฤดูกาลนี้ กรณีของเบิร์นลีย์และเชฟฯ ยู ต่างตกชั้นขณะเหลือเกมเตะอีก 1 นัด ส่วนลูตัน ในทางทฤษฎียังได้ลุ้นถึงแมตช์สุดท้าย แต่เนื่องจากผลต่างประตูห่างจากทีมอันดับ 17 อย่าง น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ถึง 12 ประตู ในทางปฏิบัติจึงแทบเป็นไปไม่ได้

และที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือ 3 ทีมตกชั้นฤดูกาลนี้มีแต้มรวมกันเพียง 66 คะแนน ในจำนวนนี้ 17 คะแนนมาจากเกมที่เจอกันเอง นับเป็นสถิติคะแนนรวมของทีมตกชั้นที่ต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก และยังเป็นครั้งแรกที่ทั้ง 3 ทีมไม่สามารถทำได้ถึง 30 คะแนนสักทีมเดียว (ลูตัน 26 คะแนน, เบิร์นลีย์ 24 คะแนน, เชฟฯ ยู 16 คะแนน)

อันที่จริง สถานการณ์การลุ้นทีมตกชั้นจะไม่ยืดเยื้อจนถึงโค้งสุดท้ายอย่างนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะเอฟเวอร์ตัน กับฟอเรสต์ ทีมอันดับ 16-17 ของตาราง โดนลงโทษตัดแต้มเพราะทำผิดกฎการเงิน

ก็องปานีปลอบแข้งเบิร์นลีย์หลังตกชั้น

ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ทำให้ผู้สังเกตการณ์แสดงความเป็นห่วงเรื่องสถานะทางการเงินที่แตกต่างระหว่างสโมสรในพรีเมียร์ลีกและลีกแชมเปี้ยนชิพ กล่าวคือ ทีมที่เลื่อนชั้นขึ้นมามีงบประมาณเพียงน้อยนิดมาทำทีมสู้กับทีมในพรีเมียร์ลีก เมื่อสู้ไม่ไหวก็ได้แต่ตกชั้นกลับไป ไม่ใช่ทุกทีมที่จะฮึดยืนระยะได้ยาวๆ

แวงซ็องต์ ก็องปานี กุนซือเบิร์นลีย์ ปรารภว่า เต็มที่ทีมจากลีกแชมเปี้ยนชิพก็ใช้เงินประมาณ 30-50 ล้านปอนด์ (1,380-2,300 ล้านบาท) ต่อปี ขณะที่ทีมพรีเมียร์ลีกใช้เงินตกปีละ 150-160 ล้านปอนด์ (6,900-7,360 ล้านบาท) ต่อปี เป็นตัวเลขที่ต่างกันมากเกินไป

กรณีของเบิร์นลีย์ หลังเลื่อนชั้นขึ้นมาก็ทุ่มเงินเสริมทัพในตลาดซื้อขายช่วงซัมเมอร์กว่า 90 ล้านปอนด์ (4,140 ล้านบาท) แต่ส่วนใหญ่เป็นการเสริมทีมในระยะยาว ต้องให้เวลานักเตะได้ปรับตัวและเติบโตจึงจะใช้งานได้ดีสม่ำเสมอ จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ทีมยืนระยะไม่ไหว

สำหรับลูตัน กุนซือ ร็อบ เอ็ดเวิร์ดส์ ยอมรับว่าทีมเสียเปรียบเรื่องงบประมาณอย่างมาก เรียกว่าเป็นหนึ่งในทีมที่มีงบฯ ทำทีมตั้งแต่ตอนเป็นลีกแชมเปี้ยนชิพน้อยนิดอยู่แล้ว ถึงจะสร้างผลงานวูบวาบได้บ้างในลีกสูงสุด

แต่ช่องว่างก็ยังกว้างเกินไป

 

อย่างไรก็ตาม ระเบียบของพรีเมียร์ลีกยังพอจะช่วยเหลือทีมที่ตกชั้นอยู่บ้าง เนื่องจากในฤดูกาลถัดไป ทางลีกจะจ่ายเงิน 55 เปอร์เซ็นต์ของลิขสิทธิ์ถ่ายทอดให้ทีมตกชั้น ปีที่สองจ่ายให้ 45 เปอร์เซ็นต์ และปีที่สามซึ่งเป็นปีสุดท้าย 30 เปอร์เซ็นต์ หมายความว่าทีมตกชั้นยังมีโอกาสได้เงินก้อนเพื่อสร้างทีมกลับมา

กระนั้น ระเบียบดังกล่าวก็โดนวิจารณ์ว่าได้สร้างความได้เปรียบเสียเปรียบขึ้นในลีกแชมเปี้ยนชิพเสียเอง เพราะทีมที่เคยเลื่อนชั้นในพรีเมียร์ลีกแล้วตกชั้นไป อย่างน้อยก็การันตีเงินก้อนที่เหนือกว่าทีมที่เล่นอยู่ในลีกอยู่แล้วแน่นอน โอกาสที่จะได้เลื่อนชั้นในฤดูกาลถัดไปก็ย่อมมีมากกว่า

อย่างผลลัพธ์ลีกแชมเปี้ยนชิพฤดูกาลนี้ 3 ทีมตกชั้นจากพรีเมียร์ลีกฤดูกาลก่อน ได้แก่ เลสเตอร์ ซิตี้, ลีดส์ ยูไนเต็ด และ เซาธ์แฮมป์ตัน ต่างจบอันดับท็อปโฟร์ของตาราง ทั้งได้เลื่อนชั้นอัตโนมัติและได้ไปเตะเพลย์ออฟ

เรียกว่าเป็นสถานการณ์ที่สลับกันไปสลับกันมาวนๆ อยู่ในกลุ่มเลื่อนชั้นตกชั้นไม่กี่ทีม ยกเว้นนานๆ ทีที่จะมีเซอร์ไพรส์สอดแทรกขึ้นมา เช่นลูตันเมื่อฤดูกาลที่แล้ว หรือ อิปสวิช ทาวน์ ที่คว้ารองแชมป์ลีกแชมเปี้ยนชิพฤดูกาลนี้

สุดท้ายแล้ว หาก 3 ทีมตกชั้น และ 3 ทีมเลื่อนชั้นฤดูกาลหน้าก็ยังสลับๆ หน้ากันมาเหมือนอย่างนี้ ก็น่าสนใจว่าบรรดาผู้บริหารองค์กรลูกหนังเมืองผู้ดีจะหาทางแก้ปัญหาเรื่องเงินๆ ทองๆ นี้ได้ลงตัวหรือไม่

เพื่อไม่ให้มาตรฐานระหว่าง 2 ลีกสูงสุดของประเทศห่างกันเสียจนทำให้มัน “กร่อย” เหมือนอย่างฤดูกาลนี้ •

 

Technical Time-Out | SearchSri