1 แต้มล้ำค่าจากโสมขาว ต่อความหวัง ‘ช้างศึก’ ไปบอลโลก

“ช้างศึก” ทีมฟุตบอลทีมชาติไทย ทำผลงานในศึกฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือก ได้อย่างน่าประทับใจ ในช่วง 2 เกมที่เรียกว่ายากที่สุดของรอบนี้ เพราะต้องเล่นเหย้า-เยือนกับทีมระดับโลกอย่าง “โสมขาว” เกาหลีใต้ ทีมอันดับ 22 ของโลก ที่ไปฟุตบอลโลก รอบสุดท้ายมาแล้วถึง 11 ครั้งด้วยกัน มากที่สุดในทวีปเอเชียแล้ว

โดยเฉพาะเกมนัดแรกที่ต้องบอกว่าหักปากกาเซียน เพราะสามารถบุกไปยันเสมอได้ถึง โซล เวิลด์คัพ สเตเดี้ยม 1-1 จากประตูตีเสมอของ “แบงค์” ศุภณัฏฐ์ เหมือนตา เก็บ 1 คะแนนสำคัญ แถมยังทำให้เกาหลีใต้ชวดเก็บชัยชนะรวดทุกเกมในรอบคัดเลือกรอบนี้อีกด้วย

เกมวันนั้นทีมชาติไทยได้รับคำชมอย่างมากโดยเฉพาะแท็กติกเกมรับ ที่ต่อยอดจาก เอเชี่ยนคัพ 2023 เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ด้วยการเสียให้เกาหลีใต้แค่ประตูเดียวเท่านั้น กลับกันถ้าลองย้อนไป 2 นัดแรก เกาหลีใต้ยิง จีน กับ สิงคโปร์ รวมได้ถึง 8 ประตูด้วยกัน

อย่างไรก็ตาม ในเกมนัดต่อมาที่กลับมาเล่นในราชมังคลากีฬาสถาน แม้ว่าจากผลงานนัดแรกจะช่วยปลุกกระแสฟุตบอลไทยให้กลับมาฟีเวอร์อีกครั้ง บัตรเข้าชมขายหมดตั้งแต่ช่วงแรกๆ และมีคนเข้ามาชมในสนามถึง 45,458 คน ทว่า ผลงานในสนามทีมชาติไทยคราวนี้โดนถล่มไปถึง 0-3 ด้วยกัน

แต่ทั้งสองเกมทีมชาติไทยทำผลงานได้ดีมากๆ ทำให้ ฮวาง ซุน ฮง กุนซือขัดตาทัพทีมชาติเกาหลีใต้ กล่าวชื่นชมว่าไทยมีผู้เล่นที่มีคุณภาพทั้งแดนหน้าและแดนกลาง ทำให้ต้องมีการวางแท็กติกเพื่อเอาชนะ อย่างไรก็ตาม ที่น่าชื่นชมคือคุณภาพของทีมในอาเซียนดีขึ้นมาก พัฒนาเร็วมากๆ

ฉะนั้น เกาหลีใต้จะอยู่เฉยๆ ไม่ได้ ต้องทำงานหนักเพื่อพัฒนาตัวเองขึ้นไปด้วยเช่นกัน ไม่เช่นนั้นจะถูกไล่ทันสักวัน

 

มาว่ากันถึงสถานการณ์ในการลุ้นเข้ารอบบ้าง

เริ่มจากอันดับบนตารางคะแนนของกลุ่มซีตอนนี้ เกาหลีใต้ นำเป็นอันดับ 1 ของกลุ่ม มี 10 คะแนนจาก 4 นัด แถมผลต่างประตูได้เสียบวก 11 ลูก ทำให้โอกาสเข้ารอบต่อไปค่อนข้างสดใส ตามด้วยจีน ที่หลังจากชนะสิงคโปร์ ทำให้มี 7 คะแนน ประตูได้เสีย +1 และไทยเป็นอันดับ 3 มี 4 คะแนนแต่ประตูได้เสียติดลบ 2 ส่วนสิงคโปร์ รั้งบ๊วย มี 1 คะแนน โอกาสตกรอบทีมแรกสูงมากๆ

สำหรับโปรแกรมการแข่งขันใน 2 นัดสุดท้ายของทั้งสองทีมนั้น นัดที่ 5 วันที่ 6 มิถุนายน จีนเปิดบ้านพบไทย ส่วนสิงคโปร์เปิดบ้านพบเกาหลีใต้ และนัดที่ 6 วันที่ 11 มิถุนายน ไทยเล่นในบ้านพบสิงคโปร์ ส่วนจีนต้องไปเยือนเกาหลีใต้

เงื่อนไขที่ทีมชาติไทยจะผ่านเข้ารอบ มี 3 กรณีด้วยกัน คือ

1. ถ้าไทยชนะจีนและสิงคโปร์ ต้องลุ้นให้จีนไม่ชนะเกาหลีใต้ในนัดสุดท้าย จะผ่านเข้ารอบแบบไม่ต้องลุ้นเรื่องของประตูได้เสีย (ไทยจะมี 10 คะแนน ส่วนจีนจะมี 7 หรือ 8 คะแนน)

2. ถ้าไทยชนะจีนและสิงคโปร์ แต่จีนชนะเกาหลีใต้ ทั้งสองทีมจะมี 10 คะแนนเท่ากัน จะต้องวัดกันที่ผลต่างประตูได้เสียอีกครั้งหนึ่ง

3. ถ้าไทยบุกเสมอจีน ก่อนจะชนะสิงคโปร์ แต่จีนแพ้เกาหลีใต้ ทั้งสองทีมจะมี 8 คะแนนเท่ากัน ซึ่งก็ต้องวัดกันที่ประตูได้เสียเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ถ้าหากไทยเสมอจีน ชนะสิงคโปร์ แต่ว่าจีนกลับไปเสมอหรือชนะเกาหลีใต้ได้ จีนก็จะเป็นฝ่ายผ่านเข้ารอบต่อไป รวมถึงถ้าหากไทยบุกไปแพ้จีน เท่ากับจะตกรอบทันทีเช่นกัน

ทั้งนี้ ปัจจัยสำคัญอยู่ที่เกมระหว่างทีมชาติไทยกับจีน ที่ไทยจะต้องไม่แพ้โดยเด็ดขาดเพื่อจะยื้อโอกาสเข้ารอบต่อไปให้ถึงนัดสุดท้าย ในขณะเดียวกันก็ต้องเน้นยิงประตูกับสิงคโปร์ให้ได้มากที่สุด เพื่อให้มีผลต่างประตูได้เสียที่ดีกว่าทีมชาติจีนนั่นเอง

 

เชื่อว่าดูจากฟอร์มการเล่นของทีมชาติไทยกับเกาหลีใต้ทั้งสองนัด การต้องดวลกับนักเตะระดับโลกไม่ว่าจะเป็น ซน ฮึง มิน, อี คัง อิน หรือ คิม มิน แจ ทีมชาติไทยทำผลงานได้ดีมากๆ ภายใต้การนำทีมของ มาซาทาดะ อิชิอิ จึงทำให้แฟนบอลพอจะคาดหวังผลงานในการบุกไปเยือนจีนได้ ว่าจะมีลุ้นเก็บแต้มกลับมาหรืออาจจะบุกไปชนะถึงถิ่นได้

แล้วก็ต้องบอกว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงตัวโค้ชใหม่ ทำให้จากที่จบ 2 นัดแรกความหวังของไทยริบหรี่เพราะดันแพ้คาบ้านต่อคู่แข่งแย่งชิงเข้ารอบอย่างจีน ทีมชาติไทยพลิกสถานการณ์มามีความหวังได้ จากการที่เก็บ 1 คะแนนล้ำค่าจากเกาหลีใต้มาได้ จึงทำให้ยังมีลุ้นเข้ารอบได้อยู่

มาซาทาดะ อิชิอิ หัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทย กล่าวถึง 2 นัดสุดท้ายที่จะต้องลุ้นเข้ารอบต่อไปว่า เรายังมีเวลาในการวางแผนการเล่นก่อนถึง 2 นัดสุดท้าย ที่ผ่านมาเรามีสมาธิแค่กับเกาหลีใต้เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ทั้งสองทีมมีการเปลี่ยนแปลงโค้ช ซึ่งเราจะนำเอาเทปการเล่นใน 2 เกมที่ผ่านมามาวิเคราะห์เพื่อเตรียมพร้อมต่อไป

เชื่อว่าทีมชาติไทยยังมีโอกาสในการเข้ารอบอยู่ใน 2 นัดที่เหลือ เพราะอะไรก็สามารถเกิดขึ้นได้

 

ส่วนทางด้าน “มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ กล่าวว่า จากนี้ไทยจะต้องเจองานหนักแน่ๆ นั่นคือการต้องไปเอาชนะจีนให้ได้ และรับการมาเยือนของสิงคโปร์ ซึ่งเราจำเป็นต้องเก็บให้ได้ 6 แต้ม เพื่อที่เราจะได้เข้าไปสู่รอบสาม

อีกจุดหนึ่งที่น่าสนใจเลยคือการเตรียมทีมก่อนเข้าสู่ 2 นัดสุดท้ายของคัดฟุตบอลโลก รอบนี้ ซึ่งทีมชาติไทยจะมีเวลาเก็บตัวราวๆ 10 วัน หลังจากที่ฟุตบอล “รีโว่ ไทยลีก 2023/24” แข่งขันนัดสุดท้ายของฤดูกาลในวันที่ 26 พฤษภาคมนี้ ก็จะเปิดให้ทีมชาติเริ่มเก็บตัวทันที

ส่วนฟุตบอลถ้วยนัดชิงชนะเลิศ ทั้ง “รีโว่ ลีกคัพ” หรือ “ช้าง เอฟเอ คัพ” จะรอหลังจบโปรแกรมทีมชาติแล้วค่อยมาแข่งขันกัน

กว่าจะถึงตอนนั้นก็ขอให้นักเตะไทยรักษาสภาพร่างกายดีๆ และพร้อมลงสนามกันทุกคนด้วย เพื่อสู้ให้เต็มที่ รักษาความหวังในการไปฟุตบอลโลกสมัยแรกเอาไว้ได้ก่อน •

 

เขย่าสนาม | Stivie Toon

[email protected]