คนโดนสิงห์ : “จัดหนัก” 6 โค้ชยักษ์พรีเมียร์ฯ 2016-2017

คอลัมน์ Technical Time-Out

ศึกลูกหนังยอดฮิต” “พรีเมียร์ลีก อังกฤษ” อาจปิดฤดูกาล 2016-2017 ไปแล้ว

แต่ยังมีเรื่องให้ขบคิดอีกมาก

โดยเฉพาะผลงานการคุมทีมของ 6 กุนซือสโมสรดังว่า “สอบผ่าน”

หรือ “ควรละอายแก่ใจ” กันบ้าง!

 

“โจเซ่ มูรินโญ่ (แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด) – จบอันดับ 6”

ไม่ว่า “โจเซ่ มูรินโญ่” จะมาแมนฯ ยูไนเต็ด ด้วยจุดประสงค์ใด แต่เป้าหมายแรกกุนซือระดับเขาต้องแชมป์ลีกสถานเดียว เรื่องอื่นคือโบนัส แถมเสริมทัพเนื้อๆ เน้นๆ ตั้งแต่นักเตะแพงสุดโลก “ปอล ป๊อกบา” ไปจนถึง ซลาตัน อิบราฮิโมวิช, เฮนริก มาคิตาร์ยาน และ เอริก ไบญี่ หมดเงินสูงสุดสโมสรเกือบ 150 ล้านปอนด์

ทว่า นอกจากพลาดแชมป์พรีเมียร์ลีกแบบไม่เห็นฝุ่นแล้ว ยังต้องกระเสือกกระสนกับพื้นที่ 4 ทีมหัวตารางเพื่อโควต้ายูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก และจบลงด้วยความสิ้นหวังชนิดผิดฝีมือ “เดอะ สเปเชียลวัน” ดีที่มี “ทางลัด” แชมป์ยูฟ่า ยูโรป้าลีก

จึงตีตั๋วไปแชมเปี้ยนส์ลีกได้อย่างไม่ต้องหน้าแหก

 

“อาร์แซน เวนเกอร์ (อาร์เซนอล) – จบอันดับ 5”

ต่อให้ “อาร์แซน เวนเกอร์” พาอาร์เซนอลไปเล่นยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ฤดูกาลหน้าเป็นปีที่ 20 ติดต่อกัน ก็ไม่สมควรได้ทำหน้าที่นี้อีก เพราะการร้างแชมป์ลีกตั้งแต่ฤดูกาล 2003-2004 ยืนยันชัดเจนว่า กุนซือชาวฝรั่งเศสซึ่งอยู่กับทีมตลอด 21 ปี เดินมาถึงทาง “ตัน” เป็นที่เรียบร้อย

จริงอยู่ที่เวนเกอร์เคยโชว์ฝีมือใช้เวลาแค่ 2 ปีแรกในการหยุดความเกรียงไกร “แมนฯ ยูไนเต็ด” และ “เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน” ด้วยการผงาดแชมป์พรีเมียร์ลีกทันที และ 1 ใน 2 แชมป์ลีกครั้งถัดมา ยังเป็นการคว้าแชมป์แบบไร้พ่ายทีมที่ 2 ในประวัติศาสตร์ลีกเมืองผู้ดี แต่เป็นทีมแรกรอบ 115 ปีก็ตาม

ส่วนการกู้หน้าเพียงแชมป์เอฟเอคัพ อังกฤษ ไม่พอกับการแก้ตัวที่พลาดทั้งสิทธิแชมเปี้ยนส์ลีก และแชมป์พรีเมียร์ลีก (อีกแล้ว) อย่างแน่นอน

แต่สุดท้ายอาร์เซนอลก็ต่อสัญญากับเวนเกอร์จนได้

 

“เจอร์เก้น คล็อปป์ (ลิเวอร์พูล) – จบอันดับ 4”

แม้จุดหมายอันดับ 1 ลิเวอร์พูลฤดูกาลนี้ จะเป็นแค่การไปเล่นยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก

แต่การเปิดตัวครึ่งฤดูกาลแรกกลับมีลุ้นเป็นแชมป์ลีกรอบ 27 ปี ทว่า จะด้วยความประมาท หรือพูดให้ดูดีหน่อยว่า “คิดไม่ถึง” ของ “เจอร์เก้น คล็อปป์” ที่ปล่อยนักเตะทีมชุดใหญ่ออกไปไม่สมส่วนกับการเข้ามา

การกวาดทั้ง ซาดิโอ มาเน่, จอร์จินโญ่ ไวนัลดุม, โฌเอล มาติป, รักนาร์ คลาวาน และ โลริส คาริอุส เป็นการเกาแทบจะถูกจุดแล้ว เพียงแต่การไปของ มาร์ติน สเคอร์เทล, โคโล ตูเร่, โฆเซ่ เอ็นริเก้, โจ อัลเลน, จอร์ดอน ไอบ์, คริสติย็อง เบนเตเก้ และ มาริโอ บาโลเตลลี่

ทำให้สภาพทีมจำกัดจำเขี่ยยามแข้งหลักพาเหรดกันเจ็บ

ส่งผลเสีย และเกือบไม่ได้ไปแชมเปี้ยนส์ลีกอย่างที่เห็น

 

“เป๊ป กวาร์ดิโอล่า (แมนเชสเตอร์ ซิตี้) – จบอันดับ 3”

คำว่า “เสียคน” คงใช้กับ “เป๊ป กวาร์ดิโอล่า” ได้อย่างไม่เคอะเขิน

เพราะแมนฯ ซิตี้ ประเคนทุกอย่างที่มีอยู่ให้หมดแล้ว โดยเฉพาะเงินซื้อนักเตะแบบถึงไหนถึงกัน จนยอดเบิกงบฯ ฤดูกาลแรกพุ่งเลยหลัก 160 ล้านปอนด์

มากสุดวงการลูกหนังโลกต่อหนึ่งตลาดซื้อขาย

แต่กลับลงเอยด้วย” “หายนะ”

ถ้าไม่นับการได้โควต้ายูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก หลังเป็นปีแรกในฐานะกุนซือที่เป๊ปต้องจั่วลม!

ทั้งที่ตลอด 7 ปีกับตำแหน่งหัวโขนบาร์เซโลน่า และบาเยิร์น มิวนิก ต้องมีแชมป์ติดไม้ติดมือทุกปี แถมยังมากถึง 21 แชมป์

รวมทั้งต้องรับรู้อีกว่า ปรัชญาเกมรุกของเขาคงใช้ได้กับ “บาร์ซ่า” ที่มี “ลิโอเนล เมสซี่” หรือ “เสือใต้” ในบุนเดสลีก้า เยอรมนี

เนื่องจากล้มเหลวไม่เป็นท่าที่อังกฤษและเวทียุโรป เมื่อเปลี่ยนจากผู้เล่นบาร์เซโลน่ากับบาเยิร์นมาเป็นแข้ง “เรือใบสีฟ้า”!

 

“เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ (ท็อตแนม ฮอตสเปอร์) – จบอันดับ 2”

ถึงจะพลาดแชมป์ลีกสูงสุด 2 ปีติด หรือตั้งแต่ได้แชมป์หนสุดท้ายปี 1961 กลายเป็นว่า “เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่” “สอบผ่าน” ฉลุยกับการเป็นโค้ชสเปอร์สเพียงปีที่ 3 แถมยังต่างจาก 5 โค้ชที่เหลือทั้งสไตล์เน้นเกมรุก แต่ไม่ลืมเกมรับ จนเป็นทีมยิงมากสุด และเสียประตูน้อยสุดในพรีเมียร์ลีก

แล้วยังมีแกนหลักเป็นนักเตะทีมชาติอังกฤษ แฮร์รี่ เคน, เดเล่ อัลลี, เอริก ดายเออร์, ไคล์ วอล์กเกอร์ ที่เพิ่งโดนดร็อปพักหลัง และ แดนนี่ โรส ซึ่งเจ็บยาว

เกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกที่แม้จะจอดแค่รอบแบ่งกลุ่ม นั่นเป็นเพราะโชคร้ายอยู่ร่วมกลุ่มทีม “ม้ามืด” อย่างอาแอส โมนาโก และเลเวอร์คูเซ่น

 


“อันโตนิโอ คอนเต้ (เชลซี) – จบอันดับ 1”

แทบไม่มีที่ติสำหรับ “อันโตนิโอ คอนเต้” ซึ่งเป็นทั้งผู้มาใหม่ และร้างจากงานกุนซือระดับสโมสรมาแรมปี แต่ทำให้สังเวียนพรีเมียร์ลีกที่หลายคนเข็ดขยาด กลายเป็นสนามเด็กเล่นสำหรับเชลซีของเขา ที่ปรับเพียงระบบการเล่นเซ็นเตอร์ฮาล์ฟ 3 คน และเพิ่มเติมแค่ “เอ็นโกโล่ ก็องเต้, ดาวิด ลุยซ์, มาร์กอส อลอนโซ่”

แม้จะมีบางช่วงที่แกว่งอยู่บ้าง ทว่า อดีตนายใหญ่ทีมชาติอิตาลีรายนี้ยัง “เอาอยู่” ขณะที่การเสียท่าเกมชิงดำเอฟเอคัพต่ออาร์เซนอล คงเป็นอุบัติเหตุลูกหนัง

…หรือไม่ก็อาการเมาค้างจากความสำเร็จเกมลีกเท่านั้น