‘กาย ณัฐชา’ เฉลย ‘ศิโรตม์’ ไฉน ‘ก้าวไกล’ ไม่ตอบโต้ ปมขัดแย้งประธานสภา

หมายเหตุ “ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์” (ส.ส.กาย) รองเลขาธิการพรรคก้าวไกล และ ส.ส.กทม. สองสมัย ให้สัมภาษณ์ “ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์” ในรายการ “มีเรื่องมาเคลียร์ by ศิโรตม์” เผยแพร่ผ่านทางช่องยูทูบมติชนทีวี ทุกวันเสาร์ เวลา 18.00 น.

ศิโรตม์ : การสัมมนา ส.ส.ก้าวไกล ที่เพิ่งจบไป มีอะไรเด็ดๆ บ้าง?

ณัฐชา : 3 วัน 2 คืน ที่เราได้ไปสัมมนากัน ส่วนใหญ่ก็จะเป็นการเตรียมการ เตรียมความพร้อม เนื่องจากว่ารอบนี้เรามี ส.ส.ใหม่เข้ามาเยอะพอสมควร ส่วนใหญ่ก็เป็น ส.ส.เขต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ส.ส.เขตใน 112 เขต มี ส.ส.เก่าอยู่เพียงแค่ 7-8 เขตเท่านั้นเอง ที่เหลือก็จะเป็น ส.ส.ใหม่ทั้งหมด

เพราะฉะนั้น เราก็จะมีการเตรียมความพร้อมว่าการวางตัวของ ส.ส.เขต ในการทำงานในพื้นที่ ในรูปแบบที่ผ่านมา กับการทำงานในรูปแบบของก้าวไกลที่กำลังจะสร้างขึ้นในอนาคต เราต้องทำอย่างไร

แล้วก็จุดมุ่งหวังของ ส.ส.พรรคก้าวไกล ไม่ใช่เพียงแค่ชนะเลือกตั้งในทุกๆ ครั้ง ไม่ใช่เพียงแค่เสียงสนับสนุนจากพี่น้องประชาชน แต่สิ่งสำคัญก็คือว่าในทุกๆ เขตพื้นที่ของเรา ต้องทำงานทางความคิดกับพี่น้องประชาชน

เพื่อให้สังคมและพี่น้องประชาชนในเขตพื้นที่นั้นๆ คิดและมีความเห็นไปพร้อมกันกับนโยบายก้าวไกลที่จะออกมาจากส่วนกลาง ที่ได้นำเสนอในการเลือกตั้งแต่ละครั้ง มันก็จะเป็นการทำงานควบคู่กันไป

อีกส่วนหนึ่งก็คือเรื่องของการเตรียมความพร้อม รอบที่แล้ว ก้าวไกลมีบทบาทหน้าที่อย่างไรในการทำงานในสภา แล้วก็ค่อนข้างมีเสียงสนับสนุนและชื่นชมจากพี่น้องประชาชนจำนวนมาก ถึงการทำหน้าที่ในสภาผู้แทนราษฎรในสี่ปีที่ผ่านมา

เพราะฉะนั้น การคาดหวังสูงของพี่น้องประชาชน ย่อมติดตามมาด้วยภาระอันหนักอึ้งที่ ส.ส.ใหม่ทุกคนจะต้องบริหารจัดการความคาดหวังตรงนั้น เราต้องยกระดับการทำงานให้มากขึ้นกว่าเดิมไปอีก โดยเฉพาะรอบนี้ เราเป็น ส.ส.ของฝ่ายรัฐบาลแล้ว การอภิปรายก็จะเป็นบริบทที่แตกต่างออกไป

ส่วนใหญ่ก็จะเป็นการสัมมนากันและให้ความรู้กันด้านนี้มากกว่าครับ

 

ศิโรตม์ : คนเขาตั้งข้อสังเกตกันเยอะว่าช่วงที่ก้าวไกลไปสัมมนากัน ก็มีการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการไม่มีคุณสมบัติเป็นประธานสภาของบุคลากรพรรคก้าวไกล แต่ไม่มีใครของก้าวไกลออกมาตอบโต้-ชี้แจงเลย อันนี้เป็นความจงใจของพรรคหรือเปล่า ทั้งที่จริงๆ นี่เป็นข้อกล่าวหาร้ายแรง?

ณัฐชา : ก็คือว่าเราร่วมรัฐบาลกันอย่างแน่นอน 312-313 เสียง ตอนนี้ เราก็ผนึกกัน เราต้องทำงานร่วมกันในอีกสี่ปีข้างหน้า

แน่นอนว่าผลการเลือกตั้งออกมา สมาชิกของแต่ละพรรคย่อมมีความคิดเห็นและวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆ นานา แต่ว่าโดยการตัดสินใจของพรรคแล้ว ว่าเราจะตัดสินใจขับเคลื่อนไปในทิศทางไหน ของเรา (พรรคก้าวไกล) ก็ค่อนข้างที่จะเคารพในการตัดสินใจของพรรค แล้วก็เชื่อมั่นว่าการตัดสินใจของพรรคนั้น จะเป็นการตัดสินใจที่เป็นทางออกของประเทศ

แล้วก็ไม่อยากให้ภาพของ ส.ส.ใหม่ หรือภาพของสมาชิกพรรคก้าวไกลไปกระทบกระทั่งกับพรรคร่วมรัฐบาล ตรงนี้ก็เป็นการขอความร่วมมือกัน ไม่อยากให้ออกมาแสดงความคิดเห็นใดๆ เลยในช่วงนี้ เพราะอาจจะมีการขยายไปต่างๆ นานา

บางทีความคิดความเห็นของเราอาจจะสะท้อนออกไปเพียงเล็กน้อย แต่ว่ามีการนำไปขยายในภาพต่างๆ แล้วทำให้เกิดการกระทบกระทั่งกัน ก็เลยมีการขอความร่วมมือกันครับ

 

ศิโรตม์ : ถามจริงๆ ส.ส.สัมมนากัน 3 วัน มันกลืนเลือดเยอะไหม คือถูกวิจารณ์ว่าพรรคไม่มีคนมีคุณสมบัติเป็นประธานสภา ถ้าเป็นผม ผมก็กลืนเลือดเยอะเหมือนกันนะ ทนได้ยังไงครับเนี่ย?

ณัฐชา : แน่นอน เราก็ต้องยอมรับว่าเราเป็น ส.ส.ใหม่ สมัยแรกกันเกือบทั้งหมด 80 เปอร์เซ็นต์ของพรรค เราก็เข้ามาทำงานในสภา แต่ว่าเราเคยชินมากกว่า เรื่องการ (ถูก) ปรามาส มันเคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อครั้งพรรคอนาคตใหม่

ตอนที่ผมเข้ามาเป็น ส.ส.ใหม่ๆ เขาบอกผม “ส.ส.สามล้อถูกหวย” ทั้งๆ ที่ขับสามล้อก็ไม่เป็น เขาก็บอกว่าไม่น่าจะทำงานในสภาได้หรอก เข้าไปในสภาก็คงจะเงียบเป็นเป่าสาก ไม่สามารถจะทำงานขับเคลื่อนอะไรต่างๆ ได้

แต่เราก็ได้พิสูจน์ฝีมือให้พี่น้องประชาชนได้เห็นแล้ว ว่าสี่ปีที่ผ่านมา ในนามอนาคตใหม่เองก็ดี แล้วต่อเนื่องมาจนเป็นก้าวไกลนั้น เราสามารถทำงาน

นอกจากทำงานให้พี่น้องประชาชนเห็นแล้ว เรายังยกระดับการทำงานในสภาผู้แทนราษฎรเพิ่มมากขึ้น ว่าการทำงานในสภาผู้แทนราษฎรนั้น ในสิ่งที่เราเห็นกับสิ่งที่เคยเป็นอยู่ บางทีมันอาจจะเห็นแย้งกัน

แล้วสุดท้าย เราก็ต่อสู้ทางความคิดกับพี่น้องประชาชนจนประสบความสำเร็จ และเสียงชื่นชมมาจากพี่น้องประชาชน ว่าเราสามารถยกระดับการทำงานของสภาผู้แทนราษฎรได้ ขณะที่เราเป็นฝ่ายค้าน

ครั้งนี้ เราเรียกว่าเป็นความคุ้นชินมากกว่า ไม่ว่าใครจะมาปรามาส ก็ไม่ถือว่ากลืนเลือด แต่เรารับฟังแล้วนำไปพัฒนาต่อ เราก็คาดการณ์ไว้แล้วว่าจะต้องมีเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นอย่างแน่นอน เนื่องจากว่าเราเป็น ส.ส.ใหม่เกือบทั้งหมด

เราก็อยากจะพิสูจน์ให้พี่น้องประชาชนเห็นว่า รอบนี้การทำงานของเรา ไม่ว่าจะในสภาหรือว่าในทำเนียบรัฐบาล เราจะสามารถยกระดับคุณภาพการทำงานของการเป็นตัวแทนพี่น้องประชาชนได้อีกครั้ง