หนูแปลงเป็นราชสีห์…มีโอกาสเล็กน้อย

มุกดา สุวรรณชาติ

โอกาสเป็นนายกฯ และตั้งรัฐบาลของแต่ละพรรค (ตอนที่ 1)

 

การขึ้นสู่อำนาจมิใช่มีเพียงกำลังความสามารถเท่านั้น แต่ยังต้องกุมโอกาสให้มั่น ส่วนใหญ่จะมีโอกาสเพียงแค่ครั้งเดียว ครั้งนี้แม้ทุ่มเทปูทางกว้านหา ส.ส เก่ามาตุนไว้ แต่บนเส้นทางมีหินใหญ่ขวางอยู่

โอกาสของอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ต้องมีเงื่อนไขใดบ้าง

พรรคภูมิใจไทยควรจะมีเสียงประมาณ 100 เสียงบวกลบ

พรรคพลังประชารัฐมีเสียงที่ประมาณ 50 เสียง พรรคประชาธิปัตย์ต่ำกว่า 50

พรรครวมไทยสร้างชาติไม่เกิน 40 เสียง

ดึงเสียงจากพรรคตั้งใหม่และพรรคเล็กอื่นๆ มาให้ได้ประมาณ 20 เสียง

แต่ค่าตอบแทนที่ภูมิใจไทยจะต้องจ่ายให้พรรคต่างๆ นั้นแพงมากทั้งการแบ่งกระทรวงและรัฐมนตรี และความมั่นคงของรัฐบาลก็อยู่ในลักษณะน่าหวาดเสียว ถ้ามีเสียงเกิน 250 มาไม่ถึง 10 เสียง

จะเห็นว่าขณะนี้ภูมิใจไทยดึง ส.ส.เก่าจากทุกพรรคเพื่อบรรลุเป้าหมายทั้ง 3 ข้อ แต่ไม่ง่าย ต้องรอโอกาส และเงื่อนไขหลายอย่าง

โอกาสแรก…ถ้าเสียงของฝ่ายรัฐบาลเดิมรวมกันแล้วเกิน 260 อนุทินคงไม่มีโอกาส เพราะว่าแม้จะได้เสียงมาเกิน 100 มากที่สุดของฝ่ายรัฐบาล แต่ประวิตร วงษ์สุวรรณ และประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็อยากเป็นนายกฯ และทั้ง 2 คนนั้นยังคุมเสียง ส.ว. รวมแล้วไม่น้อยกว่า 200

มองจากจุดนี้โอกาสอนุทินอยู่ท้ายสุด

 

เป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย…

ถ้าคะแนนฝ่ายรัฐบาลรวมกันแล้วได้เพียงแค่ 230-240 แม้กลุ่ม 3 ป. จะให้โอกาสอนุทิน โดยส่งไปชิงนายกฯ หวังดึงเสียงฝ่ายค้านให้แตกออกมา ภายหลัง (เพราะช่วงที่โหวตเลือกนายกฯ ส.ว.มาช่วยโหวตยังไงก็เกิน 375 อยู่แล้ว) แต่ก็จะเป็นรัฐบาลที่มีเสียง ส.ส.ข้างน้อย หรือเสียงปริ่มน้ำ การเป็นนายกฯ แบบนี้ก็พอทำได้ โดยไปแก้ปัญหาเอาข้างหน้า และอาจจะเป็นรัฐบาลได้ไม่นาน

ในทางสภาก็ต้องหา ส.ส.งูเห่าหรือใช้กล้วยมาสนับสนุน แต่ภูมิใจไทยจะต้องให้พรรคต่างๆ พอใจทั้งการแบ่งกระทรวงและรัฐมนตรี

ส่วนในทางการเมืองอาจจะยืดเวลาโดยการเสนอให้ร่างรัฐธรรมนูญใหม่เลือกตั้ง ส.ส.ร.ทันที ซึ่งกระบวนการขั้นตอนต่างๆ ก็ต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า 1 ปีจึงจะเสร็จ วิธีนี้ฝ่ายค้านอาจจะให้โอกาสเพื่อให้มีการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญและเป็นช่วงที่ ส.ว.หมดอำนาจเพราะครบวาระ 5 ปี มีนาคม 2567 โอกาสเป็นรัฐบาล 1 ปีหรือปีกว่าก็เป็นจริงได้

การที่ภูมิใจไทยจะโดดข้ามไปเป็นพรรคร่วมกับฝ่ายค้าน ต้องเป็นกรณีที่ฝ่ายค้านรวมกันแล้วเกิน 280 ภูมิใจไทยมาอีก 100 ทำให้เกิน 375 ไม่ต้องพึ่งพาเสียง ส.ว. แต่อนุทินจะกล้าหรือไม่ ที่จะไปเป็นแค่พรรคร่วม แต่หักกับ 3 ป.

 

เทียบอำนาจต่อรอง พล.อ.ประวิตร กับอนุทิน

ประเมินว่าประวิตรมีเสียง ส.ว.หนุนเกิน 100 และถ้าได้ ส.ส. 60 ก็พร้อมผสมพรรคไหนก็ได้ ทำให้คนของพรรคพลังประชารัฐมีความมั่นใจว่าประวิตรมีสิทธิ์ได้เป็นนายกฯ มากกว่าคนอื่น อย่างแย่ที่สุดก็ต้องได้เป็นพรรคร่วมรัฐบาลในลำดับสำคัญมีกำลังต่อรองสูงกว่าภูมิใจไทย

ถ้าไม่เป็นนายกฯ เอง ก็ชี้ขาดให้คนอื่นเป็นนายกฯ ดังนั้น โอกาสที่จะได้กระทรวงที่ต้องการก็สูงมาก คนของพลังประชารัฐจำนวนหนึ่งจึงไม่ไปเสี่ยงลงเรือรั่วกับ พล.อ.ประยุทธ์

แม้ประยุทธ์กระแสตก และยอมให้อนุทินเป็นนายกฯ แทน แต่ถ้าประวิตรไม่ยอม อนุทินก็เป็นนายกฯ ไม่ได้ เพราะประวิตรแม้มีเสียง ส.ส.เพียงแค่ 50-60 คน แต่ถ้ามี ส.ว.อีก 100 คน ก็ยังสามารถโดดข้ามฟากไปต่อรองกับเพื่อไทยได้ทันที

การต่อรองของเพื่อไทยกับประวิตรขึ้นอยู่กับจำนวน ส.ส. ถ้าเพื่อไทยมี 200 เสียง รวมกับ พปชร. แค่ 2 พรรคก็ได้ 260 แล้ว (ยังมี ส.ว 100) ถ้าดึงมาอีก 1 พรรคก็ตั้งรัฐบาลได้แบบแข็งแรง อยู่ที่ว่าจะให้ใครเป็นนายกฯ และจะยอมให้พรรคอื่นกี่กระทรวง

 

โอกาสของพรรคก้าวไกล

โอกาสของพรรคก้าวไกลในการที่จะส่งคนขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีในการเลือกตั้งปี 2566 นี้ คงไม่ใช่เป้าหมาย เพราะไม่อาจหาผู้สมัครที่แข็งแกร่งและมีอุดมการณ์ได้จำนวนมากถึง 400 เขต

ครั้งนี้ ถ้าได้ ส.ส.ถึง 50 คนก็ถือว่าประสบความสำเร็จ เนื่องจาก ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ที่เป็นระบบเอา 100 หาร ถ้าได้ประมาณ 5 ล้านคะแนนก็จะได้ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์เพียงแค่ 15 คนเท่านั้น

และถ้าหากยังชนะการเลือกตั้งเขตในระดับ 30 กว่าเขตเหมือนปี 2562 จำนวน ส.ส.ก็จะอยู่ที่ประมาณ 45-48 คน

แต่พรรคก้าวไกลคงไม่เดือดร้อนอะไรเพราะตั้งเป้าหมายไว้แล้วว่าตั้งพรรคขึ้นมาเพื่อจะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างให้เป็นประชาธิปไตยและมีความยุติธรรม

แต่การจะได้เป็นรัฐบาลหรือไม่ ก็มีความหมาย เพราะถ้าเป็นรัฐบาลก็สามารถโชว์ผลงานการบริหารกระทรวงว่าทำได้ดีแค่ไหน

แต่การทำหน้าที่ฝ่ายค้าน ทำได้ไม่ว่าจะมี ส.ส. 30- 50 หรือ 80 คน

การร่วมรัฐบาลของพรรคก้าวไกลคงจะมีเงื่อนไขมาก เพราะไม่ต้องการไปร่วมรัฐบาลกับกลุ่มที่มีผู้ทำรัฐประหารเป็นนายกฯ

ดังนั้น ถ้ามีกรณีที่ พล.อ.ประวิตรขึ้นเป็นนายกฯ แล้วดึงพรรคเพื่อไทยไปร่วม คาดว่าก้าวไกลคงจะไม่ไปร่วมด้วย

แต่กรณีที่พรรคเพื่อไทยเป็นนายกฯ เองโดยร่วมกับพรรคก้าวไกลเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล แต่จำเป็นต้องดึงพรรคฝ่ายรัฐบาลเก่ามาร่วมอันนี้คงไม่เป็นไร เพราะถ้าไม่ทำอย่างนั้นฝ่ายค้านก็ไม่สามารถมีจำนวน ส.ส.และ ส.ว.มาโหวตให้ตั้งนายกฯ และรัฐบาลได้

ถ้าประวิตรเป็นนายกฯ ข้ามขั้ว โอกาสที่พรรคก้าวไกลจะไปเป็นฝ่ายค้านร่วมกับประชาธิปัตย์หรือภูมิใจไทย และรวมไทยสร้างชาติ ก็มีสูงมาก

 

พรรคชาติพัฒนากล้าสร้างอนาคต

เนื่องจากพรรคชาติพัฒนารู้ว่าฐานกำลังตัวเองเหลือไม่มากแล้ว

จึงยอมจับมือกับพรรคกล้าและก็มีความเป็นไปได้ที่จะร่วมมือกับเพราะสร้างอนาคตไทยภายใต้การนำของ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ซึ่งไม่รู้ว่าจะชื่อพรรคอะไร

แต่ถ้ามารวมกันจริงก็ถือว่ามีความกล้าที่จะสร้างอนาคตของพรรคแต่ถ้าดูตัวบุคคลและฐานเสียงถึงรวมกันแล้วจะได้ ส.ส.ถึง 10 คนหรือไม่ยังไม่แน่

แต่ถ้าได้ ส.ส. 7-8 คนก็ยังพอมีเก้าอี้รัฐมนตรีมาแบ่งปันได้บ้าง

แต่คงจะต้องเป่ายิ้งฉุบกันว่าใครจะได้เป็นรัฐมนตรี

 

พรรคไทยสร้างไทย

ยังไม่แน่ว่าจะยืนระยะเป็นพรรคเดี่ยวไม่รวมกับใคร ได้ต่อไปอีกนานเท่าไร

แต่ถ้าถอยเข้าพลังประชารัฐตอนหาเสียงลำบากแน่ และถ้ายืนอยู่ได้จะได้ ส.ส.กี่คน ถ้าได้ 7-8 คนมีสิทธิ์ร่วมรัฐบาลได้ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบว่าพรรครัฐบาลหลักรวมกันแล้วมีเสียงเกิน 270 หรือไม่

แต่ปัญหาเฉพาะหน้าคือจะได้ ส.ส.ถึง 7-8 คนหรือไม่

 

พรรครวมไทยสร้างชาติ

ทีมวิเคราะห์เคยบอกเมื่อเกือบ 4 เดือนที่แล้วว่า ประยุทธ์ต้องถูกประวิตรเบียดขับออกไปหาพรรคใหม่ และช่วงสุดท้ายใครๆ ก็รู้ว่าต้องมาอยู่รวมไทยสร้างชาติ

ถ้าตั้งเป้ารวมฝ่ายขวามาไว้ด้วยกัน แล้วให้ประยุทธ์เป็นคนนำ ก็คงได้คะแนนจำนวนหนึ่ง แต่อาจแพ้ ปชป. เพราะประยุทธ์เพิ่งประกาศว่าจะเป็นผู้นำ ถ้ากล้าๆ กลัวๆ แบบนี้ปลุกกระแสไม่ขึ้น ตอนนี้ยังอยู่ในอำนาจคงมีคนวิ่งเข้ามาร่วมจำนวนหนึ่ง บางคนมาเพราะความจำเป็นบีบบังคับ บางส่วนมาเพราะสู้ระบบ 100 หารไม่ได้ เช่น พรรครวมพลังคงต้องไปรวมกับรวมไทยสร้างชาติ

แต่ยุบสภาเมื่อไร ก็ไม่มีใครเกรงใจกันแล้ว ถึงตอนนั้น ยังจะมีการหักหน้าย้ายพรรครอบสุดท้าย และตอนหาเสียงจะมีคนมาบอกว่า 10 ปีที่ผ่านมา ท่านทำอะไรไว้บ้าง

ตอนนี้ยังวิจารณ์มากไม่ได้ ขอดูคนมาร่วม กับนโยบายก่อน

แต่อยากบอกว่าทุกคนที่ลงสมัครรับเลือกตั้ง ต้องกล้าให้คนวิจารณ์ทั้งบุคคล และพรรค

ความมั่นใจต่อพรรค ขนาดผู้นำยังลังเล ดังนั้น ต่อให้รวมฝ่ายขวาจัดมาทั้งหมด โอกาสที่จะได้ ส.ส.ถึง 40 คงจะยาก ตอนนี้ต้องลุ้นให้เกิน 25 เอาไว้เสนอชื่อนายกฯ มีโอกาสจบได้ทั้งสองแบบ

คือเป็นพรรคร่วมฝ่ายค้าน หรือพรรคร่วมรัฐบาล

สรุป โอกาสเป็นนายกฯ ของพรรคต่างๆ ณ เดือนธันวาคม 2565 ตามเกมการเมือง ที่มี ส.ว. 250 คน คือ 1.พลังประชารัฐ 2.เพื่อไทย ที่ตามมาห่างๆ คือภูมิใจไทย