ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 23 - 29 มิถุนายน 2560 |
---|---|
คอลัมน์ | รายงานพิเศษ |
ผู้เขียน | วีระ ทรรทรานนท์ |
เผยแพร่ |
ครั้งหนึ่งสมัยเมื่อยังเป็นเด็กประมาณอายุได้ 10 ขวบ จำได้ว่าพอตกถึงเวลาโพล้เพล้ใกล้ค่ำทุกยามเย็น จะได้ยินเสียงกลองตีดังแว่วมาให้ได้ยินเป็นประจำ
เป็นเสียงกลองที่ตีดังบ้าง ค่อยบ้าง บางทีก็เร็ว บางทีก็ช้า คล้ายกับเหมือนจะเตือนให้คนที่ได้ยินได้นึกถึงอะไรบางอย่าง
เสียงกลองดังกล่าวดังแว่วมาจากเชิง “สะพานพลอย” ที่อยู่ใกล้ชิดติดกับ “ตลาดนกกระจอก” ใกล้กับหมู่บ้าน “กุฎีจีน” เชิงสะพานพระพุทธยอดฟ้าฝั่งธนฯ
ไม่ทราบแน่ชัดว่าสะพานกับตลาดดังกล่าวยังดำรงสถานภาพที่ใช้ได้อยู่หรือไม่ในปัจจุบัน
แต่ที่ยังไม่ลืมคือเสียงกลองตุ้มทุ้มที่ยังแว่วอยู่เสมอทุกครั้งที่ความคิดพาให้นึกไปถึง ด้วยว่าเป็นเสียงกลองจากโรงลิเกเอกชนที่เปิดการแสดงทุกหัวค่ำในยามเย็น
ผู้ใหญ่ในละแวกนั้นเคยบอกว่า “เขาตีกลอง โหมโรง”
จนกระทั่งเดี๋ยวนี้แล้ว แม้จะไม่ได้ยินเสียงกลองดังกล่าวนั้นมานานหลายสิบปี
แต่คำที่ผู้ใหญ่บอกว่า “โหมโรง” นั้นยังได้ยินติดหูอยู่ในความจำมิรู้เลือน
โหมโรง กับ เบิกโรง สองคำนี้มีความคล้ายคลึงกันทั้งตัวสะกดและความหมาย
เบิกโรง คือการแสดงก่อนดำเนินเรื่อง ดังที่เคยเรียกการรำไทยชนิดหนึ่งว่า “รำเบิกโรง” เป็นนัยว่าหลังจากการรำเบิกโรงนี้แล้ว จะเป็นการแสดงละครหลัก ละครเรื่องที่ผู้ชมกล่าวถึงและตั้งใจมาชมกันจริงๆ แม้จะมีเสียงดนตรีประกอบเป็นจังหวะสอดแทรก ก็เป็นเพียงการคลอกำกับการรำเท่านั้น
โหมโรง เป็นการประโคมดนตรีช่วงต้นของการแสดง เพื่อเป็นการซักซ้อมและเชิญชวน (ดังเช่นเสียงกลองที่เคยได้ยินตอนเด็กที่เอ่ยถึง) เป็นเพลงเริ่มต้นของการแสดงหรือเป็นลักษณะของเพลงเพื่อบรรเลงช่วงต้นของการแสดง เพื่อบอกให้ทราบว่า พิธีหรืองานการแสดงนั้นได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
หรืออีกนัยหนึ่ง โหมโรง ต้องมีการแสดงดนตรี
ทว่า เบิกโรง ไม่ต้องมีดนตรีเป็นสาระ ถือว่าเรื่องรำสำคัญกว่าเรื่องเพลง
ในวัฒนธรรมตะวันตก มีละครร้องชั้นสูงที่ถือเป็นยอดของงานศิลปะ ที่รวมศิลปะแขนงต่างๆ ไว้ด้วยกัน นอกจากเนื้อหาที่เข้มข้นทางดนตรีและความสามารถในการขับร้อง ที่ต้องมีการแสดง การแต่งเวที การออกแบบเสื้อผ้าและเทคนิคพิเศษอื่นๆ มีวงดุริยางค์กับผู้อำนวยเพลงบรรเลงไปพร้อมกับนักร้องบนเวที
ละครร้องดังกล่าวคือ อุปรากร (opera) ที่ไม่ใช่ละครร้องธรรมดา แต่เป็นแบบคลาสสิค ที่โลกตะวันตกทั่วไปถือกันว่าเป็นศิลปะชั้นสูง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งอิตาลีซึ่งเป็นถิ่นกำเนิด ที่เมืองเวนิสของอิตาลีมีโรงละครเวทีขนาดใหญ่ มีที่นั่งบรรจุผู้ชมนับพัน เรียกว่าหอแสดงอุปรากร (Opera House) ชื่อ เตอาโตร ซัน คัสซีอาโน (Teatro San Cassiano) สร้างเมื่อ ค.ศ.1637 หรือ พ.ศ.2180
ที่เอ่ยถึงอุปรากรขึ้นมา ก็เป็นเพราะว่า ถ้าไม่มีอุปรากรก็จะไม่มีโหมโรงดังที่จั่วหัวเรื่องเอาไว้
อุปรากรเรื่องที่มีคนดูผู้ชมมากก็ต้องมีการซื้อบัตรผ่านประตู บ่อยๆ ครั้งมีการเบียดเสียดแย่งที่นั่งกันเป็นที่วุ่นวายพร้อมทั้งมีเสียงพูดคุยสนทนากันอย่างไม่จบสิ้น
ดังนั้น ก่อนจะเริ่มการแสดงจริงบนเวที จึงต้องมีการบรรเลงดนตรีก่อนที่ละครจะลงโรง เพื่อเป็นการฆ่าเวลาให้ผู้ชมที่ยังพูดคุยกันและยังเข้าที่นั่งไม่เรียบร้อย ได้จัดการที่นั่งของตนและหยุดการสนทนาที่ไม่จำเป็น
ดนตรีที่บรรเลงดังกล่าวเรียกได้ว่าเป็นการบรรเลงก่อนเวลา เป็นดนตรีโหมโรงแบบสั้นๆ ซึ่งไม่ใช่ดนตรีเพลงสำหรับฟังและคนก็ไม่ค่อยจะฟัง
ดังนั้น ดนตรีประเภทโหมโรงจึงมีกำเนิดเป็นดนตรีก่อนเวลา ตัวอย่างเช่น ดนตรีก่อนอุปรากรของ จูเซปเป แวร์ดี (Giuseppe Verdi) ค.ศ.1813-1901 คีตกวีผู้ใหญ่อิตาเลียนซึ่งอยู่ในช่วงระยะเวลาเดียวกับรัชสมัยของรัชกาลที่ 2-5 ของกรุงรัตนโกสินทร์
ดนตรีบรรเลงดังกล่าวในสมัยนั้นเรียกว่า ดนตรีแบบ (toccata) หรืออินตราดา (intrada) หรือโซนาตา (sonata) ที่มีความหมายว่า “เรียกความสนใจ” หรือ “ท่อนนำ” หรือการแสดงเสียงดนตรีพร้อมกันที่เรียกอีกอย่างหนึ่งได้ว่าเป็น ซินโฟเนีย (sinfonia) เป็นกลุ่มเครื่องเป่าทรัมเป็ต ได้ยินดังพร้อมๆ กันสั้นๆ เพียงสองสามวินาที ก่อนจะค่อยๆ เข้าสู่แบบแผนทีละน้อย
ผู้ชมค่อยๆ เงียบเสียงลงแล้วออเคสตราบรรเลงเบาๆ ก่อนเพื่อเรียกความสนใจโดยใช้ประโยคสั้นๆ ก่อนจบ
ซึ่งต่อมาภายหลังจึงเรียกเป็นศัพท์เทคนิคว่า โอเวิร์ตเชอร์ (Overture) หรือดนตรีโหมโรง
ดนตรีหรือเพลงโหมโรงมีมาแต่โบราณนับได้หลายร้อยปี ก่อนที่จะมาเป็นโหมโรงในปัจจุบันนั้น ที่สำคัญมีสองประเภทคือ โหมโรงฝรั่งเศส (French Overture) กับโหมโรงอิตาลี (Italian Overture)
แม้จะมีในรูปแบบ 3 ท่อน (movements) เหมือนกันก็ตาม แต่ลักษณะความเร็วของแต่ละท่อนนั้นไม่เหมือนกัน
แบบของโหมโรงฝรั่งเศสใช้ลีลาแบบ ช้า-เร็ว-ช้า
สำหรับแบบของอิตาเลียนคือ เร็ว-ช้า-เร็ว
โดยที่ทั้งสองประเภทต่างก็มีพัฒนาการมายาวนานหลายร้อยปีด้วยกัน
สำหรับไทยเรามีดนตรีที่บรรเลงเกี่ยวกับชีวิตของชาวไทย อันเป็นประเพณีที่ปฏิบัติในพิธีต่างๆ ตั้งแต่เกิดจนตาย มีพิธีต่างๆ เกี่ยวข้องกับดนตรีโดยมาก พิธีที่ต้องบรรเลงดนตรีอันเกี่ยวกับชีวิตนี้ สามารถแยกออกเป็นพระราชพิธีในส่วนของหลวงของพระเจ้าแผ่นดินและพิธีของประชาชนข้าแผ่นดินทั่วไป
สำหรับการบรรเลงเกี่ยวกับการแสดงต่างๆ อาจารย์มนตรี ตราโมท ได้กล่าวถึงการบรรเลงประกอบการแสดงว่า มหรสพของไทยภาคกลางมีอยู่มากมายหลายอย่าง
แต่ที่ถือว่าเป็นการแสดงที่เป็นแบบแผนเป็นหลักของนาฏศิลป์จริงๆ ก็คือ โขน ละคร ซึ่งดนตรีที่บรรเลงประกอบต้องใช้วงปี่พาทย์ทั้งสิ้น โดยจะต้องเริ่มต้นด้วยการโหมโรงก่อนทั้งนั้น
การโหมโรงถือว่าเป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งของการแสดง เพราะโหมโรงจะทำให้รู้ว่าการแสดงนั้นๆ จะได้มีการแสดงขึ้นแล้ว ณ บัดนี้ กับได้ประกาศให้ผู้ที่อยู่ไกลได้ทราบด้วยว่า ที่นี่มีการแสดงและกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว เพราะว่าเพลงโหมโรงนั้นประกอบด้วยกลองทัดซึ่งทำให้ได้ยินไปได้ในระยะไกล
ทวีสิทธิ์ ไทรวิจิตร บอกไว้ในเรื่องสังคีตนิยมดังนี้ว่า เพลงโหมโรงหมายถึงเพลงที่ใช้ประโคมเบิกโรงหรือเพลงที่เราเล่นนำก่อนการแสดงจริง เพื่อบอกให้ชาวบ้านทราบว่าที่นี่เขามีอะไรกัน
นอกจากนั้น เป็นการอัญเชิญเทพยดาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายมาชุมนุมกัน เพื่อเป็นสิริมงคลแก่งานนั้น นอกเหนือไปจากการรำลึกถึงครูบาอาจารย์ที่ได้ประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ให้
และ จารุวรรณ ไวยเจตน์ ได้บอกแถมไว้ในพื้นฐานอารยธรรมไทยว่า การโหมโรงยังเป็นการตรวจความเรียบร้อยของเครื่องดนตรีก่อนแสดงอีกด้วย
นอกจากโหมโรงโขน ละคร แล้ว เพลงโหมโรงของไทยยังมีชนิดต่างๆ อีกหลายชนิด เช่น โหมโรงปี่พาทย์ โหมโรงเสภา ฯลฯ เป็นต้น
ทั้งหมดที่กล่าวมาตั้งแต่ต้นจนกระทั่งถึงบรรทัดหนังสือนี้ คงจะได้รำลึกถึงความแตกต่างของโหมโรงตะวันตก (Overtrue) กับโหมโรงตะวันออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งของประเทศไทย ซึ่งจะยังคงดำรงไว้ให้อยู่คู่กับนาฏศิลป์ไทยอีกต่อไปนานเท่านาน