ย้ำแค้น 7 ปี/ชกคาดเชือก วงค์ ตาวัน

วงค์ ตาวัน

ชกคาดเชือก

วงค์ ตาวัน

 

ย้ำแค้น 7 ปี

 

ความยากลำบากที่เกิดขึ้นในวันนี้ จากสถานการณ์โควิดที่ระบาดรุนแรง ความไม่พร้อมของการจัดหาวัคซีนในบ้านเรา นำไปสู่ปัญหาเศรษฐกิจ ด้วยมาตรการล็อกดาวน์หรือกึ่งล็อกดาวน์ จนรายได้เงินทองฝืดเคืองมากว่าปีแล้ว

ความจริงสภาพเช่นนี้เป็นเหมือนกันในทั่วโลก

แต่ไทยเราหนักกว่าตรงที่เศรษฐกิจดำดิ่งมาก่อนหน้านั้นถึง 5 ปี รวมแล้วกว่า 7 ปีที่คนไทยประสบปัญหาปากท้อง

เพราะเราอยู่ภายใต้รัฐบาลรัฐประหารตั้งแต่ปี 2557 แล้วสืบต่ออำนาจหลังเลือกตั้งปี 2562 ด้วยกลไกรัฐธรรมนูญที่ล็อกตัวนายกฯ ล่วงหน้าด้วย 250 ส.ว.

ดังนั้น เมื่อเกิดปัญหาชีวิตความเป็นอยู่ โรคภัยไข้เจ็บ และความอดอยากยากจน ทำให้หลายคนนึกย้อนไปถึงต้นตอปัญหา เรื่องราวความเป็นมาที่เกิดขึ้นเมื่อ 7 ปีที่แล้ว

ทำให้เหล่าดาราคนดัง ที่ออกมาโอดครวญถึงปัญหาการทำมาหากินในวันนี้ มักโดนคนอีกส่วนหนึ่งตั้งคำถามกลับทำนองว่า ก็เมื่อ 7 ปีที่แล้วไปเรียกเขามาเองไม่ใช่เหรอ วันนี้ก็ต้องรับกรรมไปสิ อะไรทำนองนั้น

ใครที่ไปมีบทบาทในม็อบนกหวีดที่เริ่มชุมนุมตั้งแต่ปลายปี 2556 ต่อเนื่องถึงต้นปี 2557 ในวันนี้โดนขุดอดีตย้อนหลังไปถึงพฤติกรรมที่ไปร่วมเป่านกหวีดไปตามๆ กัน

เพื่อเน้นย้ำให้เห็นว่า นั่นแหละคือที่มาของสภาพเศรษฐกิจในทุกวันนี้!

เพราะคนเหล่านี้ ไปเชิญชวน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เข้ามายึดอำนาจ เสร็จแล้วเขาก็เป็นนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลภายใต้คณะรัฐประหารยาวนานถึง 5 ปี

พอมีเลือกตั้ง 24 มีนาคม 2562 ก็ยังได้เป็นนายกฯ ต่อไปอีก แบบนอนมา

เดิมทีรัฐบาลทหาร ไม่ใช่คำตอบของการบริหารประเทศแล้ว หาความเชี่ยวชาญทางเศรษฐกิจไม่ได้อยู่แล้ว จากนั้นมาเจอสถานการณ์โรคระบาดระดับโลกเข้าให้ เจอสภาพเศรษฐกิจที่ตกต่ำลงลึกยากจะกอบกู้ได้อย่างนี้

แต่เรายังอยู่ภายใต้รัฐบาลที่มีแกนนำเป็นนายพลเอกเหมือนเดิม

แล้วจะฝ่าฝันวิกฤตด้านสาธารณสุข ต่อเนื่องด้วยการกอบกู้เศรษฐกิจอย่างยากลำบากได้อย่างไร

ในอารมณ์หงุดหงิดกับชีวิตในวันนี้ จึงทำให้เกิดความขุ่นเคืองใจย้อนลึกไปถึงเหตุการณ์ม็อบนกหวีด ที่นำมาสู่การรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557

 

เมื่อเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ฝีไม้ลายมือของรัฐบาล ด้วยผิดพลาดอย่างชัดเจนในการจัดหาวัคซีน ทำให้ไทยเราได้มาล่าช้า เมื่อเกิดระบาดระลอก 3 ทำให้ไม่มีวัคซีนคอยแก้ปัญหาได้

มักมีเสียงโต้ตอบจากฝ่ายกองเชียร์รัฐบาลทำนองว่า ถ้าไปเปลี่ยนรัฐบาลตอนนี้ เปลี่ยนนายกฯ ตอนนี้ แล้วจะมีใครทำงานในขณะที่โควิดกำลังวิกฤตหนักได้

จริงๆ แล้ว ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่า ถ้าเปลี่ยนนายกฯ และรัฐบาลระหว่างการแก้ปัญหายังอลหม่านเช่นนี้ จะทำให้ขาดตอน หาใครมาทำแทนไม่ได้

เพราะปัญหาจริงๆ ตอนนี้คือ เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงรัฐบาลได้ เพราะการเมืองเราภายใต้กติกาปัจจุบัน ภายใต้กลไกองค์กรอิสระ องค์กรต่างๆ ในบ้านเมือง เอื้ออำนวยต่อการเมืองแบบผูกขาด

ไม่ว่ารัฐบาลนี้จะผิดอะไรขนาดไหน ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ กลไกทางรัฐสภา ก็มีระบบงูเห่าอันโจ๋งครึ่ม ไม่แยแสอะไร กลไกองค์กรอิสระก็ตัดสินแบบมาตรฐานสูง คือร้องเข้าไปก็ไม่เคยมีความผิด ยังไม่รวมถึงกลไกกองทัพที่สนับสนุนเหนียวแน่น ภายใต้ยุครัฐบาลเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับขุนศึกขุนนาง

แต่ถ้าหากเราอยู่ภายใต้การเมืองที่เสรีเป็นปกติ

ถ้าสถานการณ์วิกฤตหนัก จัดหาวัคซีนล่าช้า มาไม่ทัน มาแล้วก็แค่ตัวสองตัว จนคนไม่กล้าฉีด การกระตุ้นเศรษฐกิจก็เกาไม่ถูกที่คัน เพราะขาดมือบริหารเศรษฐกิจระดับเท่าทันโลก

ภายใต้สภาพที่ประชาชนไม่พึงพอใจอย่างสูงยิ่งเช่นนี้ ถ้าการเมืองเป็นเสรีธรรมดา ก็สามารถเปลี่ยนรัฐบาลได้ เปิดโอกาสให้คนเก่งกาจที่เหมาะกับสถานการณ์วันนี้ เข้ามาทำหน้าที่แทนได้

แต่การเมืองไทยวันนี้ทำไม่ได้

ไม่ว่าทั่วโลกจะฉีดวัคซีนไปอย่างคืบหน้าขนาดไหน จนหลายประเทศเริ่มกลับสู่กิจกรรมปกติ เริ่มถอดหน้ากากได้ ธุรกิจการค้าเริ่มกลับมาได้

แต่ของไทยเรากลับตรงข้ามกับประเทศส่วนใหญ่ คือระลอก 3 ยิ่งเลวร้าย ระบาดหนัก คนป่วยเพิ่มพรวด คนตายพุ่ง ธุรกิจต่างๆ ยิ่งต้องปิดตาย ทำมาค้าขายไม่ได้

เป็นถึงขนาดนี้ ถ้าการเมืองปกติ ต้องเปลี่ยนได้ ต้องระดมมือดีๆ ที่เหมาะกับการรับมือวิกฤตด้านโรคระบาด เหมาะกับการคิดโปรเจ็กต์ฟื้นเศรษฐกิจอย่างเหนือชั้น

แต่เพราะเราไม่ปกติ เราก็เลยต้องอยู่กันไปอย่างนี้ อย่างดีก็แค่ร่วมกันสวดมนต์เพื่อความสงบจิตสงบใจ

นั่นจึงทำให้หลายคนต้องย้อนกลับไปถึงต้นเรื่องความเป็นมา คือการก่อสถานการณ์เมื่อปี 2557 จนได้รัฐบาลทหารและระบบผูกขาดที่ยาวนาจนถึงวันนี้

วันที่วิกฤตหนัก จนต้องใช้รัฐบาลที่เชี่ยวชำนาญอีกแบบหนึ่ง แต่เปลี่ยนไม่ได้!?!

 

แต่อันที่จริง ไม่ควรย้อนความเคืองแค้นไปยังม็อบนกหวีด เพียงเพื่อตราหน้า เพื่อป่าวประจาน แต่ย้อนกลับไปพูดถึงเรื่องราวเมื่อ 7 ปีก่อน เพื่อจะเน้นย้ำกับสังคมไทยว่า เลิกได้แล้วความคิดที่จะเอาอัศวินม้าขาวมากอบกู้บ้านเมือง เลิกได้แล้วถ้าคนไทยจะตีกันต้องให้ทหารออกมาควบคุมการปกครอง

เพราะนั่นคือการสร้างความหายนะให้กับการเมืองทั้งระบบ

ลัทธิตัวบุคคล ต้องมีอัศวินม้าขาวฉายเดี่ยวมาแก้ปัญหานั้น ล้าสมัยแล้ว เพราะนี่คือยุคดิจิตอล ต้องได้คนเท่าทันโลก ต้องใช้ระบบการเมืองที่เปิดกว้าง ให้คนเก่งๆ ทันสมัยกับแต่ละสถานการณ์เข้ามาทำงาน

เมื่อพูดถึงปัญหาที่เกิดจาก 7 ปีก่อน ต้องถกเถียงให้เห็นว่า ภายใต้รัฐบาลทหาร มาจนถึงรัฐบาลกึ่งทหาร กึ่งพรรคการเมืองในวันนี้ การให้น้ำหนักด้านบริหารประเทศชาติอยู่ตรงไหน

น้ำหนักสำคัญที่เห็นๆ คือการเร่งเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กองทัพ ต้องเร่งจัดซื้ออาวุธขนานใหญ่

แม้แต่ในวิกฤตโควิดและเศรษฐกิจขนาดนี้ จะพบว่ารัฐบาลชุดนี้ก็ไม่ยอมตัดงบฯ อาวุธ เรือดำน้ำหลายหมื่นล้านก็ยังเดินหน้าซื้อต่อไป

อีกทั้งรัฐบาลที่เป็นการรวมศูนย์อำนาจขุนศึกขุนนาง ก็จะมุ่งรักษาอำนาจเอาไว้เพื่อทำหน้าที่เป็นตัวแทนกลุ่มชนชั้นสูง

ต่างกับรัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตยเต็มตัว มาจากการเลือกตั้งโดยประชาชนเต็มระบบ ไม่มี 250 ส.ว.มามีอำนาจเหนือเสียงประชาชน

*รัฐบาลแบบหลังก็ต้องเอาอกเอาใจประชาชนเป็นหลัก ทำทุกอย่างเพื่อให้ประชาชนได้ประโยชน์ ได้พึงพอใจ เพื่อผลการเลือกตั้งครั้งต่อไป*

จะเรียกว่าประชานิยม ทำทุกอย่างเพื่อซื้อเสียงประชาชน หรือจะเรียกอะไรก็ตาม

แต่แบบนี้มิใช่หรือ ที่ประชาชนส่วนใหญ่ได้ประโยชน์

เพราะไม่ใช่รัฐบาลที่เข้ามาด้วย 250 ส.ว. ซึ่งเรือดำน้ำและอาวุธแพงๆ ต้องมาก่อน

แน่นอนการเมืองแบบประชานิยมนั้น ควรต้องพัฒนาต่อไปให้มีคุณภาพมากขึ้น ซึ่งก็ต้องด้วยการเลือกตั้งบ่อยๆ ให้ประชาชนเรียนรู้เพิ่มขึ้น ยกระดับประชาธิปไตยไปเรื่อยๆ ไม่มีสะดุด ไม่มีการล้มกระดาน

จุดสำคัญคือ การเมืองที่เป็นไปตามระบบรัฐสภาจริงๆ เราสามารถเปลี่ยนแปลงรัฐบาลที่เหมาะสมกับสถานการณ์ตรงวิกฤตในแต่ละช่วงได้ไม่ยากเย็น

ที่เห็นๆ ก็คือ รัฐบาลยุคโควิดเช่นนี้ ควรประกอบด้วยนักบริหารแบบไหน ทุกคนมีคำตอบได้ไม่ยาก!