เชิงบันไดทำเนียบ : เช็คเรตติ้ง ‘ตู่-ปู’ รักสีเทา 4 คำถาม 6 ล้านไลก์ ‘บิ๊กป้อม’ จับมือบึ้ม ฟื้นเรตติ้ง

“เป็นไปตามที่ผมเคยบอกไว้แล้ว ว่าจะจับให้ได้ทำให้ได้”

.
‘บิ๊กป้อม’พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กล่าวภายหลังจับกุมมือต้องสงสัยลอบวางระเบิดพระมงกุฎเกล้าได้ที่ย่านบางเขน พร้อมไปป์บอมและอุปกรณ์ทำชนวนระเบิด
.
โดยการเข้าจับกุมครั้งนี้ ‘บิ๊กแดง’พล.ท.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ แม่ทัพภาคที่1 ได้นำทีมลงพื้นที่จับกุมและตรวจค้นด้วยตนเอง เป็นอีก “บทบู้” ที่เล่าขานของ ‘วงศ์เทวัญ’ คนนี้
.
เบื้องต้นผู้ต้องสงสัย คือ นายวัฒนา ภุมเรศวัย 61 ปี เป็นอดีตวิศวกรไฟฟ้า การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และพบบัตรพนักงาน กฟผ. และนาฬิกาที่มีรูป ‘ทักษิณ ชินวัตร’ อดีตนายกรัฐมนตรี อยู่ในบ้านด้วย จึงทำให้ประเด็น “เสื้อสี” ถูกตีกลับมาแรงๆ
.
สอดรับกับคำรับสารภาพของผู้ต้องสงสัยเอง โดย พล.อ.ประวิตร ยืนยันว่า นายวัฒนาเป็นผู้ก่อเหตุจริง หลังกล้องวงจรปิดคือหลักฐานสำคัญ ผู้ต้องสงสัยสวมชุดสีน้ำตาลอ่อน กางเกงสีครีม รองเท้าหนังสีดำ ใส่หน้ากากอนามัยและถือถึงผ้าสีขาว เดินเข้าไปในห้องวงษ์สุวรรณ ก่อนออกมาและเกิดเหตุระเบิดขึ้น
.
พร้อมกันนี้มีรายงานจากเจ้าหน้าที่เบื้องต้นว่าจากการสอบสวนนายวัฒนา ยอมรับว่าไม่ชอบทหารที่สลายการชุมชุมของคนเสื้อแดงและเคยก่อเหตุมาถึง 3 ครั้ง ในปี2550 คือ เหตุระเบิดหน้าเมเจอร์รัชโยธิน ซอยราชวิถี24 และหน้ากองบัญชาการกองทัพบก
.
“เขาบอกว่าเขาไม่ค่อยชอบทหาร และเคยก่อเหตุมาแล้ว 3 ครั้งในปี2550” พล.อ.ประวิตร กล่าว
.
อีกทั้งเบื้องต้นเจ้าหน้าที่รายงานว่า ผู้ต้องสงสัยให้การว่าก่อเหตุเพียงคนเดียวเท่านั้น แต่ฝ่ายความมั่นคงยังไม่เชื่อในคำให้การนั้น จึงต้องทำการสอบสวนเพิ่มเติมเพื่อขยายผล หาความเชื่อมโยงต่อไป โดยได้ควบคุมตัวคนใกล้ชิดนายวัฒนาเป็นผู้หญิง 1 คน มาให้ข้อมูลด้วยเช่นกัน
.
อย่างไรก็ตามมีการมองว่าหากข้อมูลเบื้องต้นนี้เป็นจริง ฝ่ายความมั่นคงต้องยกเครื่องใหม่ เพราะเป็นการก่อเหตุปรับเปลี่ยนไป โดยนายวัฒนามีความรู้เฉพาะด้าน และหากก่อเหตุเพียงคนเดียวได้จริง ย่อมสะท้อนถึงอุดมการณ์ความคิดที่มรหรือความคับข้องใจที่ค้างคามานานด้วย
.
อีกทั้งหากก่อเหตุเพียงคนเดียวได้ถึง 6 ครั้ง หลังพบวัสดุระเบิดคล้ายเหตุไปป์บอมหน้ากองสลากเก่า ไปป์บอมหน้าโรงละครแห่งชาติ และรพ.พระมงกุฎเกล้า ยิ่งตอกย้ำฝีมือว่าไม่ธรรมดา แม้เป็นข้าราชการเกษียณ
.
จึงทำให้ฝ่ายความมั่นคงยังไม่ปักใจเชื่อว่าจะก่อเหตุเพียงคนเดียว จึงต้องขยายผลเพิ่มเติม เพื่อสาวถึงตัวการใหญ่ที่อยู่เหนือกว่า แต่ก็ยังตัดปมการเมืองไม่ได้แน่นอน เพราะ เหตุระเบิดรพ.พระมงกุฎเกล้า เกิดขึ้น 22 พ.ค. ครบ 3 ปี ที่คสช.เข้ามาพอดี แถมเป็นโรงพยาบาลทหารด้วย
.
อีกทั้งข้อสันนิษฐานที่ฝ่ายความมั่นคงยังไม่ตัดทิ้ง คือ “ทหารนอกแถว” และ “ทหารแตงโม” หรือ “คนมีสี” จะอยู่เบื้องหลังหรือไม่ เพราะการก่อเหตุครั้งนี้ถือว่ารุนแรง ทั้งการก่อเหตุและสะเทือนทัพคสช.ไม่น้อย
.
แต่การก่อเหตุในลักษณะนี้จะสะท้อนหรือไม่ แม้’คสช.’จะพยายาม ‘ปรองดอง’ แต่การ’ปรองดอง’นี้ ยังไม่เกิดขึ้นจริง ด้วยสิ่งที่ยังค้างคาในอดีต หนทาง ‘ปรองดอง’ ของ ‘คสช.’ จากนี้คงต้องยกเครื่องอีกมาก
.
แต่ “สถานการณ์สร้างผู้นำ” ยังคงใช้ได้อยู่ โดยเฉพาะกับ ‘บิ๊กป้อม’พล.อ.ประวิตร แม้จะอยู่ในช่วงพักฟื้นร่างกายหลังทำบายพาสหัวใจ และเหตุระเบิดเกิดขึ้นสามารถโยงการเมืองได้ชัดเจน ทั้งวันที่ 22 พ.ค. ครบ 3 ปี คสช. เลือกโรงพยาบาลทหาร และห้องวงษ์สุวรรณ ด้วย
.
ทุกสายตาจึงเพ่งมาที่ ‘บิ๊กป้อม’ โดยเฉพาะการตั้งคำถามต่อ “ความมั่นคง-ความสงบ” ที่เป็น “ของขาย” ของ ‘คสช.’ เลยทีเดียว และคำปรามาสว่า “จับไม่ได้หรอก” ที่พูดกันทั่ว จึงเป็นที่มาของการย้อนคำพูดของ ‘บิ๊กป้อม’ หลังจับกุมได้ว่า “จะต้องจับให้ได้”
.
เหตุการณ์นี้จึงเป็นเครดิตของ ‘บิ๊กป้อม’ ที่แม้จะป่วยและพักฟื้น แต่ยังทำงานได้และยังไหว แม้วัย 72 ปี ย่างเข้า 73 ปี แล้วก็ตาม แถมฟื้นตัวเร็ว จนหลายคนแปลกใจ
.
กลับกันน้องรักอย่าง ‘บิ๊กตู่’พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหน้าคสช. ที่ออก 4 คำถามถึงอนาคตประเทศ มีการมองว่านายกฯทำโพลเองหรือหยั่งคะแนนเสียง เพื่อตัดสินใจอะไรบางอย่างต่ออนาคต โดยเฉพาะเสียงล่ำลือว่า “จะอยู่ต่อ” หรือไม่ก็ตาม
.
แต่การตื่นตัวของสังคมก็ไม่ได้สูงมากนักในการออกมาตอบคำถาม 4 ข้อ ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ มีท่าทีที่ไม่ได้กังวลต่อตัวเลขคนที่มาตอบคำถามว่าจะมากหรือน้อย
.
“ไม่ได้คาดหวังให้ทุกคนมาตอบให้เป็นเรื่องราวใหญ่โตอะไร เพียงต้องการสร้างการรับรู้เท่านั้นเอง” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
.
ย่อมสะท้อนว่า นายกฯไม่ได้หวังจำนวนเพื่อหาเสียงหนุนเพื่อบางสิ่งบางอย่าง แต่ต้องการรู้ว่าประชาชนคิดอย่างไร จึงให้เขียนคำตอบมากกว่ากากบาทเลือกคำตอบ เหตุผลสำคัญที่ต้องยอมรับคือกราฟความนิยม ‘คสช.’ ลดลง และ คงที่ มาตลอดในระยะหลังๆ ด้วยปัญหาเศรษฐกิจ การจัดระเยียบสังคม และเรื่องความสงบที่ยังมีการก่อเหตุอยู่
.
จากนี้ไปอีก 1 ปีครึ่ง ก่อนจะมีเลือกตั้งตามโรดแมป ‘คสช.’จะต้องเรียกคะแนนนิยมกลับมา และ ‘บิ๊กตู่’ เองก็ต้องเรียกความเชื่อมั่นของประชาชนกลับมาด้วย เพื่อไม่ให้การรัฐประหารปี2557 ต้อง “เสียของ” และปูทางหากต้องไปเป็น “นายกฯคนนอก” ต่อ ตามที่มีการคาดการกันของฝ่ายการเมือง
.
การถามของนายกฯ แม้คำถามจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า “ชี้นำ” แต่ก็เป็นคำถามที่นายกฯจะได้คำตอบสำคัญ คือ “ประชาชนต้องการอะไร อยากให้รัฐบาลทำอะไร” เพื่อนำมาแก้ไข ดึงกราฟความนิยม คสช. ขึ้นมา
.

แต่ “คะแนนนิยม” ก็ปฏิเสธไม่ได้ แม้นายกฯจะปฏิเสธตลอดว่า “ไม่ใช่นักการเมืองอาชีพ” ก็ตาม จึงเป็นวิวาทะกับ ‘ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร’ อดีตนายกฯ ขึ้นมาทันที หลังฉลอง 6 ล้านไลก์บนเฟซบุ๊กในสัปดาห์ที่ผ่านมา
.

“ผมไม่ได้บอกว่าจะต้องมาไลก์ผม 6 ล้านคน กี่ล้านผมไม่รู้ หรือคนเดียว หรือ 10 คน ผมก็รับฟัง มีร้อยคนก็รับฟัง 100 คน เขาว่าอย่างไร แต่ผมไม่ได้ถามคำถามว่า จะเลือกตั้งเร็วหรือไม่เร็ว ผมไม่ได้ถามแบบนั้น การเลือกตั้งเป็นไปตามกระบวนการอยู่แล้ว มีขั้นตอนและกฎหมายอยู่แล้ว และจะไปถามทำไม เลือกตั้งเร็วกว่าเดิมหรือไม่ ผมไม่สนใจ อย่าไปเป็นเครื่องมือของใครเขา” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
.
กลายเป็น “วิวาทะ” ที่กลุ่มต้านคสช. แฟนคลับ ‘ยิ่งลักษณ์’ พากันโจมตี ‘บิ๊กตู่’ ไม่น้อย จนถึงขั้นท้าให้มาลง “เลือกตั้ง” แข่งเสียด้วยซ้ำ

.
ซึ่งเฟซบุ๊กของ ‘ยิ่งลักษณ์’ ถือเป็นช่องทางสำคัญที่ ‘ยิ่งลักษณ์’ ใช้สื่อสารกับมวลชนเป็นหลัก นับตั้งแต่รัฐประหาร2557 แม้เพจนี้จะเปิดมาตั้งแต่ ‘ยิ่งลักษณ์’ ลงเลือกตั้งปี2554 แล้วก็ตาม
.

“ใครก็ทำได้ อยู่ที่ประชาชนจะเชื่อแค่ไหนระหว่างกดไลก์กับผลการปฏิบัติ” นายกฯเขียนโน๊ตโต้ 6 ล้านไลก์ให้สื่อ
.
หากไล่ตั้งแต่ เหตุจับกุมมือต้องสงสัยวางระเบิด รพ.พระมงกุฎเกล้า ที่ฝ่ายความมั่นคงเผยสารภาพเบื้องต้น “ไม่ชอบทหาร” และมีการพบรูปอดีตนายกฯ’ทักษิณ’ มาถึงกรณีการกด 6 ล้านไลก์ และ 4 คำถาม สามารถสะท้อนถึงสภาวะการต่อสู้ “ทางความคิด” ของสังคม ยังมีอยู่ตลอด แต่ต่างที่การแสดงออก
.
ซึ่งทั้งหมดอยู่บนฐาน “ความรัก-ความชอบ” ส่วนตัว ต่อสิ่งที่ตนเองเชื่อ และความต้องการ “ความรัก” จากคนอื่นหรือมวลชน ที่ต่างฝ่ายต่างเช็คเรตติ่งของตัวเอง ไม่ว่า 4 คำถาม หรือ ยอด 6 ล้านไลก์ ก็ตาม
.

ที่เรียกกันว่า “ความรักสีเทา” !!