ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 8 - 14 มิถุนายน 2561 |
---|---|
คอลัมน์ | รายงานพิเศษ |
ผู้เขียน | รุ่งโรจน์ ภิรมย์อนุกูล ภาควิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง |
เผยแพร่ |
สมเด็จพระเพทราชา เชื้อวงศ์บ้านพลูหลวง (จบ)
ย้อนอ่านตอนแรก คลิก
สมเด็จพระเพทราชามีความผูกพันกับวัดกุฎีทอง
วัดกุฎีทองเป็นพระอารามที่สำคัญแห่งหนึ่งในจังหวัดสุพรรณบุรี ตั้งอยู่ที่ริมแม่น้ำสุพรรณ (ท่าจีน) ฝั่งตะวันตก ด้านใต้ของแนวกำแพงเมืองโบราณ
วัดแห่งนี้ผู้เขียนเชื่อว่ามีความสัมพันธ์กับสมเด็จพระเพทราชา ทั้งนี้เพราะ
1. จากนิทานคำบอกเล่าของผู้คนย่านนี้ก่อนหน้าปี พ.ศ.2560 (ก่อนที่ละครเรื่องบุพเพสันนิวาสจะดัง) กล่าวว่า สมเด็จพระเพทราชามาซ่อมวัดแห่งนี้ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่แปลกประหลาดว่า เหตุใดผู้คนย่านนี้จึงจำเรื่องราวเกี่ยวกับกษัตริย์พระองค์นี้ได้ แต่ในขณะเดียวกันกลับไม่กล่าวถึงกษัตริย์กรุงเก่าพระองค์อื่น
2. วิหารของวัดกุฎีทองเป็นอาคารในสมัยอยุธยาราวรัชกาลสมเด็จพระเพทราชา หน้าบันของวิหารเป็นงานจำหลักไม้ฝีมือช่างหลวง สามารถเทียบเคียงได้กับหน้าบันของศาลาการเปรียญวัดใหญ่สุวรรณาราม จังหวัดเพชรบุรี
ซึ่งกล่าวกันว่าศาลาการเปรียญแห่งนี้แต่เดิมคือตำหนักในพระราชวังหลวงกรุงเก่า ที่สมเด็จพระเจ้าเสือพระราชโอรสของสมเด็จพระเพทราชาอุทิศถวายวัด
อนึ่ง การปรากฏหน้าบันฝีมือช่างหลวงที่วัดกุฎีทองเป็นเรื่องสำคัญเพราะในละแวกย่านนั้นไม่ปรากฏลักษณะงานเช่นนี้
3. ในศาลาการเปรียญได้เก็บรักษาคานหามของหลวงอยู่ชิ้นหนึ่ง
ไม้ที่รองนั่งชำรุดผุพังไปตามกาลเวลาและส่วนที่เป็นคานได้หายไปแล้ว
แต่ที่ขอบประดับกระจังและปิดทอง สะท้อนให้เห็นถึงงานช่างหลวงสมัยอยุธยาตอนปลาย และอาจจะเป็นไปได้ว่านี่อาจจะเป็นพระราชยาน
แต่ประเด็นปัญหาคือ เหตุใดที่วัดกุฎีทองจึงปรากฏคานหาม
ถ้าเปรียบเทียบตัวอย่างพระราชยานที่พบในหัวเมือง เช่น วัดพระศรีรัตนมหาธาตุพิษณุโลก ซึ่งมีข้อความในพระราชพงศาวดารว่าสมเด็จพระเจ้าบรมโกศเคยเสด็จ แต่วัดกุฎีทองไม่เคยพบหลักฐานว่าสมเด็จพระเพทราชาเสด็จเหตุใดจึงปรากฏพระราชยานได้ ถ้าไม่ใช่เป็นของอุทิศจากกรุงศรีอยุธยา
4. จากชื่อวัดกุฎีทอง ซึ่งปรากฏในโคลงบทที่ 129 ของนิราศสุพรรณได้กล่าวตำแหน่งที่ชื่อกดีทอง อยู่ตอนใต้ของเมืองสุพรรณ ซึ่งก็น่าจะหมายถึงวัดกุฎีทองนี้ และสะท้อนให้เห็นว่าเป็นชื่อที่เรียกกันมาแต่ครั้งปลายกรุงศรีอยุธยา
แต่เป็นเรื่องที่น่าประหลาดว่า เหตุใดวัดในเมืองสุพรรณจึงมีกุฎีทอง ทั้งๆ ที่เรือนปิดทองจะต้องเป็นเรือนหลวงเท่านั้น และถ้าเทียบเคียงกับวัดภุมรินทร์กุฎีทอง จังหวัดสมุทรสงคราม ซึ่งมีเรือนไม้ปิดทองและตามคำบอกเล่าของคนย่านอัมพวาว่า มีการยกเรือนหลวงของสมเด็จพระอมรินทรามาตย์มาถวายที่วัด ดังนั้น กุฎีทองที่วัดกุฎีทองก็ต้องเป็นของสมเด็จพระเพทราชาที่คำบอกเล่าระบุว่าพระองค์มาบูรณะวัดนี้
จากหลักฐานทั้งหมดจึงทำให้มองได้ว่าสมเด็จพระเพทราชามีความสัมพันธ์กับวัดกุฎีทองนี้มาก ถ้าพระญาติวงศ์ของพระองค์ไม่ใช่คนย่านนี้ เหตุใดที่วัดนี้จึงปรากฏนิทานคำบอกเล่าเกี่ยวกับสมเด็จพระเพทราชา และยังพบศิลปวัตถุที่เป็นงานช่างหลวงในสมัยอยุธยาตอนปลายจำนวนมาก
รวมถึงชื่อวัดกุฎีทองน่าจะเป็นชื่อใหม่เมื่อมีการนำเรือนหลวงมาอุทิศให้วัด
ดังนั้น จะเป็นไปได้หรือไม่ว่าย่านนี้ในช่วงก่อนที่พระองค์จะเสวยราชสมบัติมีชื่อว่าบ้านพลูหลวง
เชื้อวงศ์บ้านพลูหลวงคนบ้านนอกจริงหรือ
จากข้อความพระราชพงศาวดารฉบับสมเด็จพระพนรัตน์ได้กล่าวว่า เมื่อสมเด็จพระเพทราชาขึ้นเสวยราชสมบัติแล้วเชื้อวงศ์บ้านพลูหลวงต่างมีความชื่นชมยินดีได้เดินเข้ามากรุงศรีอยุธยานำมัจฉมังสาและผลตาลแก่อ่อนตามประสาคนบ้านนอกเข้ามาถวาย
สมเด็จพระเพทราชาทรงได้ให้เชื้อหลวงบ้านพลูหลวงเข้ามาในพระราชวังหลวง
ในพระราชพงศาวดารยังได้บันทึกไว้อีกว่า เมื่อเชื้อวงศ์บ้านพลูหลวงเข้ามาในพระราชวังหลวงแล้วกระทำกิริยาไม่สมควร ถูกเหล่าข้าราชสำนักตักเตือน จนสมเด็จพระเพทราชารับสั่งว่า “คนเหล่านี้มันเป็นชาวบ้านนอก เคยชำนาญพูดจามาแต่ก่อนอย่างนั้น เรามิได้ถือ”
นอกจากนี้ ในพระราชพงศาวดารยังกล่าวต่อไปอีกว่า เมื่อเหล่าเชื้อวงศ์บ้านพลูหลวงเมาสุราก็ร้องเพลงเก็บดอกไม้ร้อยและเพลงไก่ป่าต่างๆ สมเด็จพระเพทราชาทรงฟังแล้วสรวล
จากข้อความในพระราชพงศาวดารทำให้สร้างภาพลักษณ์ของเชื้อวงศ์บ้านพลูหลวงเป็นคนบ้านนอกคอกนาที่ไม่รู้จักขนบธรรมเนียม ซึ่งจะมีผลกระทบถึงองค์สมเด็จพระเพทราชาว่าพระองค์ก็ทรงเป็นบ้านนอก
แต่ในประเด็นนี้ผู้เขียนกลับเห็นแตกต่างดังต่อไปนี้
1. จากที่ได้กล่าวไปข้างต้นแล้วว่า สมเด็จพระเพทราชาพระองค์ทรงประสูติในกรุงศรีอยุธยา โดยที่พระราชบิดาเป็นคนเชื้อวงศ์บ้านพลูหลวงที่ควรจะเป็นคนบ้านนอกมารับราชการในกรุงศรีอยุธยา ดังนั้น สมเด็จพระเพทราชาและพระราชบิดาก็ไม่ได้เป็นคนบ้านนอก
2. เนื้อความที่กล่าวถึงเชื้อวงศ์บ้านพลูหลวงมาเยี่ยมสมเด็จพระเพทราชาที่กรุงศรีอยุธยาเป็นข้อความที่ถูกเพิ่มในสมัยรัตนโกสินทร์ พบครั้งแรกในพระราชพงศาวดารฉบับสมเด็จพระพนรัตน์ซึ่งชำระในสมัยปลายรัชกาลที่ 1
ศ.ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์ เสนอว่าพระราชพงศาวดารที่ชำระในสมัยรัตนโกสินทร์มีแทรกข้อความในแง่ลบให้แก่สมเด็จพระเพทราชาจนถึงสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ ทั้งนี้เพราะเหล่าผู้ดีในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์มองว่า เพราะการขึ้นเสวยราชสมบัติของสมเด็จพระเพทราชาเป็นต้นกำเนิดของการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2
ดังนั้น พระราชพงศาวดารที่ถูกชำระขึ้นในช่วงสมัยนี้จึงแทรกเรื่องราวอคติทางประวัติศาสตร์ลงไป
3. ขนบธรรมเนียมราชสำนักเป็นสิ่งที่มูลนายต้องปฏิบัติโดยเฉพาะมูลนายที่ต้องเข้าเฝ้าไม่ใช่มูลนายทุกคนจะทราบ ดังนั้น เจ้าเมืองตามหัวเมืองที่นานๆ จะได้มาเข้าเฝ้าก็ไม่แน่ว่าจะกระทำถูกต้อง
4. การที่เชื้อวงศ์บ้านพลูหลวงร้องเพลงเก็บดอกไม้ร้อย เพลงไก่ป่าต่างๆ ผู้เขียนเห็นว่าไม่ใช่เรื่องแปลกประการใด เพราะเพลงปรบไก่ยังมีเล่นตอนสมโภชรับพระแก้วมรกตจากเมืองเวียงจันทน์ในสมัยธนบุรีและงานสมโภชพระเมรุมาศท้องสนามหลวง
สมเด็จพระเพทราชาได้กรมหลวงโยธาทิพกรมหลวงโยธาเทพเป็นมเหสี
เมื่อสมเด็จพระเพทราชาขึ้นเสวยราชสมบัติแล้วพระองค์โปรดให้กรมหลวงโยธาทิพและกรมหลวงโยธาเทพเป็นมเหสีฝ่ายขวาและฝ่ายซ้าย
ในพระราชพงศาวดารฉบับสมเด็จพระพนรัตน์ได้เพิ่มข้อความว่าสมเด็จพระเพทราชาให้หมอทำเสน่ห์กรมหลวงโยธาเทพ ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นอคติทางประวัติศาสตร์เหมือนกับการกล่าวว่าเชื้อวงศ์บ้านพลูหลวงเป็นคนบ้านนอก
ประเด็นสำคัญที่สมเด็จพระเพทราชาต้องรับพระราชขนิษฐาและพระราชธิดาเพราะ
กรมหลวงโยธาทิพและกรมหลวงโยธาเทพ ตามในบันทึกของต่างชาติพระองค์มีบทบาทในราชสำนักเป็นอย่างมาก ดังนั้น การที่สมเด็จพระเพทราชาทรงสถาปนาเจ้านายทั้งสองเป็นพระมเหสีเพราะต้องประสานอำนาจในทางการเมือง