รายงานพิเศษ : มหรสพงานถวายพระเพลิง ปลอบประโลมปวงประชา ส่งเสด็จองค์ราชัน

มหรสพ หรือการแสดงรื่นเริง เป็นองค์ประกอบที่มีอยู่ในทุกการจัดงาน ไม่ว่าจะเป็นงานมงคลหรืองานอวมงคล มหรสพนั้นนอกจากจะให้ความสนุกสนานรื่นเริงแล้ว ยังเป็นเครื่องบ่งบอกถึงฐานะ ความมั่งคั่ง เกียรติยศ ฐานันดรของเจ้าภาพ หรือหากเป็นงานที่จัดเพื่อบุคคลอื่นก็เป็นการแสดงระดับการให้เกียรติบุคคลนั้น

ดังที่ปรากฏในหนังสือ “ธรรมเนียมพระบรมศพและพระศพเจ้านาย” เขียนโดย นนทพร อยู่มั่งมี ตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์มติชน ความตอนหนึ่งว่า

“…ชนิดของการแสดงอาจแปรเปลี่ยนไปตามพระราชประสงค์ขององค์พระมหากษัตริย์และความประสงค์ของเจ้าภาพ แต่โดยหลักแล้วอยู่ที่การแสดงที่มีหลากหลายชนิดหลายประเภท

ไม่เพียงเท่านั้น ชนิดของมหรสพจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับฐานันดรศักดิ์ที่ลดหลั่นกัน และโดยมากคงมีเฉพาะ โขน หุ่น หนัง และดอกไม้เพลิง ที่อาจถือเป็นการแสดงหลักเท่านั้น นอกจากนี้ กีฬาบางชนิดก็อาจนับเนื่องในการมหรสพถูกจัดขึ้นนอกเหนือจากธรรมเนียมเดิม เช่น การชกมวย…”

ดังนั้น ในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่กำลังจะมาถึงนี้ มหรสพจึงเป็นองค์ประกอบสำคัญอย่างหนึ่งในการถวายพระเกียรติสูงสุดแด่องค์พระมหากษัตริย์ผู้เสด็จสู่สรวงสวรรค์ และเป็นการปลอบประโลมประชาชนชาวไทยที่โศกเศร้ากับความสูญเสียครั้งใหญ่นี้

ข้อมูลจากกรมศิลปากรบอกว่า การถวายพระเพลิงพระบรมศพแต่ครั้งโบราณจัดเป็นงานใหญ่ มีมหรสพสมโภชงานออกพระเมรุพระบรมอัฐิ เป็นแบบแผนประเพณีสืบทอดกันมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนได้ชม และถือว่าเป็นงานออกทุกข์ในเวลาเดียวกัน ทั้งยังถือเสมือนเป็นการแสดงพระกฤดาธิการของพระมหากษัตริย์

ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ได้มีการจัดมหรสพสมโภชงานออกพระเมรุตามแบบแผนประเพณีเป็นครั้งแรกในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ในงานออกพระเมรุพระบรมอัฐิสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก พ.ศ.2339 ครั้นถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ได้มีประกาศงดการแสดงมหรสพสมโภชในงานออกพระเมรุ สืบเนื่องมาจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงมีรับสั่งให้ลดทอนความใหญ่โตในการพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพของพระองค์เอง ซึ่งรวมไปถึงการลดทอนความใหญ่โตของพระเมรุมาศด้วย

ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 9 ในการพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (สมเด็จย่า) เมื่อปี พ.ศ.2539 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รื้อฟื้นการประโคมดนตรี หรือการประโคมย่ำยาม และการมหรสพ

เนื่องจากทรงเห็นว่าเพื่อไม่ให้บรรยากาศเงียบเหงาเหมือนครั้งพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 เมื่อปี พ.ศ.2528

ทั้งยังเป็นการรักษาโบราณราชประเพณีไว้ด้วย

สําหรับมหรสพสมโภชในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ผู้รับผิดชอบคือกระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมศิลปากร ได้เตรียมการจัดการแสดงมหรสพสมโภชอย่างยิ่งใหญ่สมพระเกียรติ ใช้นักแสดงรวม 3,084 คน แบ่งเป็น 2 ส่วน ได้แก่

1. การแสดงโขนหน้าพระที่นั่งทรงธรรม จัดการแสดงโขนเรื่องรามเกียรติ์ ชุดพระรามข้ามสมุทร-ยกรบ-รำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ แสดงโดย นาฏศิลปิน สำนักการสังคีต นักเรียน นักศึกษาวิทยาลัยนาฏศิลป์ทั่วประเทศ 12 แห่ง และสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ รวมผู้แสดง ผู้พากย์-เจรจา ผู้บรรเลง ขับร้องและผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้อง ประมาณ 300 คน

2. ส่วนการแสดงมหรสพ ณ เวทีกลางแจ้งบริเวณสนามหลวงด้านทิศเหนือ มี 3 เวที

ประกอบด้วย

เวทีที่ 1 เวทีการแสดงหนังใหญ่เบิกหน้าพระ และโขนเรื่องรามเกียรติ์ การแสดงบนเวทีนี้มี 3 ส่วน ได้แก่

– การแสดงหนังใหญ่เบิกหน้าพระ และการแสดงเบิกโรงหนังใหญ่ ชุดจับลิงหัวค่ำ ผู้แสดงเป็นครูอาวุโสสำนักการสังคีต กรมศิลปากร ร่วมกับครูอาวุโสสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์

– การแสดงโขนหน้าจอและโขนชักรอก เรื่องรามเกียรติ์ ชุดพระรามข้ามสมุทร ชุดศึกทศกัณฐ์ครั้งแรก ทัพสิบขุนสิบรถ ชุดท้าวมาลีวราชว่าความ ชุดนางมณโฑหุงน้ำทิพย์ ชุดศึกทศกัณฐ์ ขาดเศียรขาดกร และชุดสีดาลุยไฟ พระรามคืนนคร เป็นการแสดงของกรมศิลปากร

– การแสดงโขนหน้าจอและโขนชักรอก เรื่องรามเกียรติ์ ชุดรามาวตารทศกัณฐ์รบสดายุ หนุมานถวายพล พิเภกสวามิภักดิ์ เป็นการแสดงของโขนพระราชทาน มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ

แสดงโดยนาฏศิลปิน สำนักการสังคีต กรมศิลปากร ร่วมด้วยครู อาจารย์ นักเรียน นักศึกษา วิทยาลัยนาฏศิลป์ 12 แห่ง และสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ จำนวน 1,020 คน และผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องประมาณ 100 คน รวม 1,120 คน

และส่วนการแสดงโขนพระราชทานของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ ใช้ผู้แสดงประมาณ 200-300 คน

เวทีที่ 2 เวทีการแสดงละคร หุ่นหลวง และหุ่นกระบอก

ประกอบด้วย ละครเรื่องพระมหาชนก

การแสดงหุ่นหลวงตอนหนุมานเข้าห้องนางวานริน

การแสดงหุ่นกระบอก เรื่องพระอภัยมณี ตอนกำเนิดสุดสาคร จนถึงพระฤๅษีช่วยสุดสาคร

รำกิ่งไม้เงินทอง ละครในเรื่องอิเหนาตอนบุษบาชมศาล-อิเหนาตัดดอกไม้-ฉายกริช-ท้าวดาหาบวงสรวง

และละครเรื่องมโนห์รา

ใช้ผู้แสดง บรรเลง ขับร้อง จากสำนักการสังคีต กรมศิลปากร และสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ 322 คน

และผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้อง ประมาณ 100 คน รวม 422 คน

เวทีที่ 3 เวทีการบรรเลงดนตรีสากล “ธ คือ ดวงใจไทยทั่วหล้า” เป็นการบรรเลงและขับร้องเพลงพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เพลงเทิดพระเกียรติ บทเพลงที่ประพันธ์ขึ้นเพื่อถวายความอาลัย และบทเพลงที่สื่อความหมายสอดคล้องกับการแสดงแต่ละองก์ 7 องก์ ได้แก่

องก์ที่ 1 ดุจหยาดทิพย์ชโลมหล้า

องก์ที่ 2 ใต้ฟ้าร่มเย็น เพราะพระบารมี

องก์ที่ 3 ทวยราษฎร์น้อมสดุดี

องก์ที่ 4 ถวายภักดีองค์ราชัน

องก์ที่ 5 สถิตนิรันดร์ในใจราษฎร์

องก์ที่ 6 ปวงข้าบาทบังคมถวาย

องก์ที่ 7 สู่สวรรคาลัยในทิพย์วิมาน

โดยผู้บรรเลง ขับร้อง และผู้แสดง จากสำนักการสังคีต กรมศิลปากร สถาบันดนตรีกัลยาณิวัฒนา สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ วงดนตรี อ.ส.วันศุกร์ วงสหายพัฒนา โรงเรียนราชินี กรมดุริยางค์ทหารบก กองดุริยางค์ทหารเรือ กองดุริยางค์ทหารอากาศ กองสวัสดิการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมประชาสัมพันธ์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย Royal Bangkok Symphony Orchestra

นอกจากการบรรเลงดนตรีแล้ว เวทีนี้ยังมีการแสดงตะวันตกในเนื้อเรื่องพื้นเมืองของไทยอย่างการแสดงบัลเล่ต์เรื่องมโนราห์ แสดงโดยนักเรียน นักศึกษา วิทยาลัยนาฏศิลป์

รวมการแสดงทั้งหมดในเวทีที่ 3 ใช้ผู้บรรเลง ขับร้อง และผู้แสดง 753 คน ผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้อง 189 คน รวม 942 คน

การแสดงมหรสพทุกเวทีกำหนดเวลาเริ่มแสดง 18.00 น. ในวันพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร วันที่ 26 ตุลาคม จนถึงเวลา 06.00 น. ของวันที่ 27 ตุลาคม ทั้งนี้ การแสดงของทุกเวทีจะหยุดการแสดงเมื่อมีพระราชพิธีในพระเมรุมาศและมณฑลพิธี

หลังจากงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงเสร็จสิ้นแล้ว ในวันที่ 2-30 พฤศจิกายน 2560 รัฐบาลจะเปิดให้ประชาชนเข้าชมพระเมรุมาศและนิทรรศการงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง

และตลอดทั้งเดือนจะจัดแสดงมหรสพบนเวทีให้ประชาชนได้ชมเหมือนในวันพิธีจริงด้วย