การจัดแสดงนิทรรศการมรดกทางวัฒนธรรมของเกาหลีในรูปแบบดิจิทัลเสมือนจริง ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร

พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เกาหลี ร่วมกับกรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม ประเทศไทย จัดนิทรรศการ “สัมผัสประสบการณ์ใหม่: ศิลปะเกาหลีในโลกเสมือนจริง” ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร  นิทรรศการครั้งนี้จัดขึ้นระหว่างวันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๕ ถึงวันอาทิตย์ที่ ๒๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๖  เป็นการนำมรดกทางวัฒนธรรมแบบประเพณีของเกาหลีมาจัดแสดงร่วมกับสื่อดิจิทัลให้มีบรรยากาศเสมือนจริง โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการถ่ายทำและอธิบายเรื่องราว จำนวน ๒ เรื่อง  ร่วมกับการแสดงประติมากรรมที่เป็นสัญลักษณ์ทางพุทธศาสนาของไทยและเกาหลีประเทศละหนึ่งองค์

นิทรรศการนี้จัดขึ้นเป็นครั้งแรก เพื่อให้ชาวไทยที่มีความคุ้นเคยกับวัฒนธรรมเกาหลีได้รับชม  และในอีกด้านหนึ่งถือว่าเป็นนิทรรศการที่มีความหมายต่อวัฒนธรรม K-Culture เพราะได้นำเอามรดกทางวัฒนธรรมแบบประเพณีของเกาหลีมานำเสนอผ่านวีดิทัศน์ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลเสมือนจริง  ซึ่งถือว่าเป็นนิทรรศการรูปแบบใหม่ และมุ่งหวังให้นิทรรศการนี้ช่วยสร้างความเข้าใจวัฒนธรรมความเชื่อในพุทธศาสนาของทั้งสองประเทศได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งผู้ชมสามารถเข้าใจเนื้อหาได้อย่างง่ายดาย โดยมีนายพนมบุตร จันทรโชติ อธิบดีกรมศิลปากร และ Yoon Sung Yong ผู้อำนวยการใหญ่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เกาหลี ร่วมพิธีเปิดนิทรรศการอย่างเป็นทางการ เมื่อเร็ว ๆ นี้

นายพนมบุตร จันทรโชติ อธิบดีกรมศิลปากร  ความร่วมมือทางวิชาการและ แลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมร่วมกัน ระหว่างกรมศิลปากร และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเกาหลี ว่า “ในโอกาสที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพการจัดการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ในเดือนนี้ เพื่อแสดงออกถึงการเชื่อมโยงมิติทางวัฒนธรรมระหว่างสองประเทศ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เกาหลี และกรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม จึงร่วมกันจัดนิทรรศการครั้งนี้เป็นการนำมรดกทางวัฒนธรรมแบบประเพณีของเกาหลีมาตีความใหม่ โดยใช้สื่อดิจิทัลในรูปแบบ Immersive เป็นเครื่องมือในการสร้างบรรยากาศการเรียนรู้เสมือนจริง นอกจากนี้พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เกาหลี ยังได้นำประติมากรรมหินขนาดใหญ่ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ทางพุทธศาสนามาจัดแสดงร่วมกับประติมากรรมของไทย เพื่อใช้เป็นสื่อประกอบการเล่าเรื่องเพื่อให้ผู้ชมสามารถเข้าถึงและเข้าใจในเรื่องความเชื่อทางพุทธศาสนาของชาวเกาหลีได้โดยง่าย”

Yoon Sung Yong ผู้อำนวยการใหญ่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เกาหลี กล่าวว่า นับตั้งแต่ประเทศไทย และประเทศเกาหลี ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทางวิชาการและแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมร่วมกันในปี ค.ศ ๒๐๑๙ ในวันนี้ท่ามกลางวิกฤตโรคระบาดทั่วโลก แต่เราก็ได้จัดนิทรรศการขึ้นที่กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน รวมทั้งจัดแสดงเป็นแห่งแรกในทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยนิทรรศการครั้งนี้เป็นการพบกันครั้งแรกระหว่างมรดกวัฒนธรรมของทั้งสองประเทศ โดยมีรูปปั้นพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ๒ องค์จากทั้งสองประเทศที่นำมาจัดแสดงร่วมกัน ซึ่งถูกสร้างขึ้นในสถานที่ที่ต่างกัน และมีอายุยาวนานกว่า ๑,๐๐๐ ปีก่อน

 

รวมทั้งเป็นการพบกันระหว่างประเพณีดั้งเดิม และสมัยใหม่  ผ่านภาพยนตร์ดิจิทัลเสมือนจริง ๒ เรื่องที่ผลิตโดยพิพิธภัณฑ์แห่งชาติเกาหลีซึ่งนำมาเสนอในนิทรรศการนี้ ทั้งหมด ๒ เรื่อง คือ เรื่อง “การเดินทางของวิญญาณ” และ “กระบวนพยุหยาตราและผู้คน” เรื่องราวเหล่านี้ปรากฏหลักฐานอยู่ในภาพจิตรกรรม “พญายมราชทั้งสิบ” และ “อึย-คเว” บันทึกของราชสำนักสมัยราชวงศ์โชซอน ซึ่งเป็นสมบัติที่เก็บรักษาอยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เกาหลี และได้รับการคุ้มครองโดย UNESCO ในเนื้อหาเรื่อง “การเดินทางของวิญญาณ” ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลจะนำพาเราก้าวข้ามไปพบกับโลกหลังความตาย การพิพาษาและการเวียนว่ายตายเกิดตามคติพุทธศาสนา ส่วนในเรื่อง “กระบวนพยุหยาตราและผู้คน” ทุกท่านจะได้สัมผัสบรรยากาศของพิธีกรรมที่ยิ่งใหญ่และงดงามตามธรรมเนียมในลัทธิขงจื๊อในสมัยโชซอน เป็นการปลุกกระแส K-Culture ให้กลับมามีชีวิตให้เราท่านได้เรียนรู้เรื่องราวในอดีต ณ เวลาปัจจุบันได้อย่างเต็มตา

วัฒนธรรม K-Culture รูปแบบใหม่, นิทรรศการที่ท่านจะได้สัมผัสกับมรดกทางวัฒนธรรมแบบประเพณีของเกาหลีในรูปแบบดิจิทัล

 

นิทรรศการครั้งนี้มีเนื้อหาที่สำคัญคือ สื่อวีดิทัศน์ดิจิทัลเสมือนจริง เรื่อง “การเดินทางของวิญญาณ” และ “กระบวนพยุหยาตราและผู้คน” ซึ่งสร้างขึ้นจากเรื่องราวในสมัยราชวงศ์โชซอน (พ.ศ. ๑๙๓๕ – ๒๔๕๓) จากภาพจิตรกรรมในพุทธศาสนา “พญายมราชทั้งสิบ” และ อึยคเว (แบบธรรมเนียมในราชสำนัก) บันทึกทางการของราชสำนักโชซอน ซึ่งทั้งสองรายการ เป็นสมบัติที่เก็บรักษาอยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เกาหลี ได้ถูกนำเสนอด้วยวิธีการใหม่ในการเข้าไปท่องสำรวจภายในผลงานศิลปะจากอดีตโดยข้ามพ้นข้อจำกัดทางกายภาพ สื่อดิจิทัลพาโนรามาที่ฉายภาพเต็มพื้นที่ห้องจัดแสดงจะนำพาให้เราพบกับการพิพากษาหลังความตายและการเวียนว่ายตายเกิดตามคติพุทธศาสนาใน “การเดินทางของวิญญาณ” “กระบวนพยุหยาตราและผู้คน”จะนำเราไปสู่สถานที่ในการจัดพิธีกรรมใหญ่ ตามธรรมเนียมในลัทธิขงจื้อ ด้วยแสงและสีที่สวยสดงดงาม เสียงอันอลังการ รวมถึงเรื่องราวที่เกี่ยวกับโลกหลังความตายตามคติความเชื่อของชาวเกาหลี และปลุกความทรงจำอันล้ำค่าในช่วงเวลาของกระบวนพยุหยาตรา เรื่องราวที่พิเศษเหล่านี้ ได้นำเสนอผ่านมรดกทางวัฒนธรรมแบบดิจิทัลทำให้เราได้สัมผัสกับชีวิตในอดีต ณ เวลาปัจจุบันอย่างเต็มตา

นิทรรศการมรดกทางวัฒนธรรมพุทธศาสนาของไทยและเกาหลีที่มาบรรจบกันในพื้นที่เดียวกัน

นิทรรศการครั้งนี้ได้จัดแสดงประติมากรรมพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ๒ องค์ที่แตกต่างกันจากสองประเทศในโลกตะวันออกคือ เกาหลี และ ไทย รูปลักษณ์ ช่วงเวลาที่สร้าง และฝีมือช่างล้วนผิดแผก แต่รูปเคารพทั้งสองต่างก็สื่อสะท้อนถึงผู้ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเมตตาที่จะช่วยเหลือมวลมนุษย์ให้พ้นจากความทุกข์ ประติมากรรมพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรศิลปะเกาหลี สร้างขึ้นเมื่อพุทธศตวรรษศที่ ๑๔ ขุดพบที่วัดพงฮวังซา      เมืองคยองจู ประเทศสาธารณรัฐเกาหลี  ประติมากรรมนี้ประดับตกแต่งเครื่องศิราภรณ์ที่ประดิษฐานรูปพระธยานิพุทธอมิตาภะ อันเป็นสัญลักษณ์แห่งพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรบนพระเศียร และประดับตกแต่งพระวรกายด้วยเครื่องประดับต่างๆ  พระหัตถ์ซ้ายถือหม้อน้ำอมฤต (กุณฑิกะ) พื้นผิวมีลักษณะหยาบตามเนื้อหินแกรนิตที่นำมาแกะสลัก หินแกรนิตเป็นวัสดุที่แกะสลักได้ยากเนื่องจากมีเนื้อที่ค่อนข้างหยาบ แต่ก็เป็นวัสดุที่นิยมนำมาใช้ในงานประติมากรรมทางพุทธศาสนาสมัยโบราณของเกาหลีมากที่สุด ประติมากรรมหินแกรนิตจากเกาหลีมีการแสดงรูปแบบที่เป็นนามธรรมอย่างชัดเจน ในขณะที่พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรของไทย สร้างขึ้นในภาคผู้บำเพ็ญพรต เกล้าผมสูงเหนือศีรษะ หรือที่เรียกว่า “ชฎามกุฎ” ที่มวยผมประดิษฐานพระพุทธรูปปางสมาธิ อันหมายถึงพระธยานิพุทธอมิตาภะ และห่มหนังกวางที่พระอังสา (ไหล่) ด้านซ้าย พระเนตรมองลงเบื้องล่าง ตามพระนามของพระองค์ “อวโลกิเตศวร” อันหมายความว่า “พระผู้มองลงต่ำ” คติการนับถือพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรในพุทศาสนาฝ่ายมหายานมีความสำคัญและแพร่หลายจากอินเดียมาสู่ในดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เมื่อราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒

นิทรรศการครั้งนี้เกิดขึ้นจากความร่วมมือระหว่างพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เกาหลีกับกรมศิลปากร ประเทศไทย ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากการที่ทั้งสองหน่วยงานมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันมาอย่างยาวนาน โดยเมื่อปีพ.ศ. ๒๕๖๒ ทั้งสองหน่วยงานได้มีการลงนามความร่วมมือกันในการแลกเปลี่ยนทางวิชาการและวัฒนธรรม อีกทั้งยังได้รับความร่วมมืออย่างดียิ่งจากศูนย์วัฒนธรรมเกาหลี ประจำประเทศไทย ซึ่งมีส่วนอย่างมากในการทำให้นิทรรศการครั้งนี้เกิดขึ้นได้ และในวาระนี้หวังเป็นอย่างยิ่งว่า การจัดนิทรรศการครั้งนี้จะทำให้มิตรภาพของไทยและเกาหลีที่มีต่อกันมาอย่างยาวนาน รวมทั้งการแลกเปลี่ยนบุคลากรและวัฒนธรรมได้เติบโตเข้มแข็งยั่งยืน อีกทั้งเจตจำนงเดียวกันของหน่วยงานหลักทางวัฒนธรรมของทั้งสองประเทศนี้จะเป็นสัญลักษณ์แห่งการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมของทั้งสองประเทศต่อไป  และหวังว่าการจัดนิทรรศการรูปแบบใหม่ ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ในโอกาสพิเศษนี้จะช่วยให้ท่านได้สัมผัสกับวัฒนธรรมดั้งเดิมของเกาหลีได้ง่ายและใกล้ชิดมากขึ้น และจะได้รับความรักอย่างยิ่งจากชาวไทยเช่นเดียวกับที่ท่านได้เทใจให้แก่วัฒนธรรมป็อบของเกาหลี เช่น ละคร ภาพยนตร์ และดนตรี มาก่อนนี้แล้ว