ประกวดเรื่องสั้นวิทยาศาสตร์ : สุขสันต์วันเกิด

โดย พัด ภาณุนันทน์

 

…ผมชอบเวลาเงียบงันยามราตรี ร่างกายสงบนิ่ง หลับใหล เว้นแต่ห้วงความคิดที่มักจะกระโดดโลดแล่น มันล่องลอยไปตามเสียงเรียกใครของบางคน ใครคนนี้คือคนพิเศษที่ผมปราถนาจะพบทุกค่ำคืน เพราะเธอมักแอบมากระซิบ…บอกความลับอยู่เสมอ…

2 สิงหาคม 2560

 

ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา ในชุดสูททักซิโด้สีเทาเข้ม กระหยิ่มยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว ขณะที่เขากำลังนั่งไขว่ห้างอยู่ในร้านกาแฟเจ้าประจำ ฆ่าเวลาอันยาวนานก่อนเริ่มภารกิจช่วงบ่ายด้วยการอ่านบทสัมภาษณ์ของตัวเอง ในนิตยสารธุรกิจชื่อดังอย่างสบายอารมณ์ ภารกิจในวันครบรอบวันเกิด 30 ปีของเขาในวันนี้ คือเข้าร่วมงานประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทแห่งหนึ่ง ที่กำลังจะแถลงผลประกอบการขาดทุน (ย่อยยับ) ในไตรมาสล่าสุด เขารู้ดีว่าผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่เริ่มทยอยขายมันทิ้งก่อนที่จะรอให้ถึงวันนี้ด้วยซ้ำ

“ใครๆ ก็เดาออกว่าบริษัทนี้กำลังจะล่ม” เสียงโบรกเกอร์ผู้ดูแลพอร์ตหุ้นพันล้านของเขาลอยเข้ามาในหัว

“ให้ผมขายมันทิ้งเถอะครับ ดร.ภาคิน คุณถือหุ้นบริษัทนี้แค่ 3% หากยอมขาดทุนตอนนี้ อย่างน้อยก็ยังไม่กระทบบัญชีมาร์จิ้นของคุณ”

ภาคิน หัวเราะอย่างผ่อนคลาย ก่อนจะบอกแผนการบางอย่างที่ทำเอาโบรกเกอร์ส่วนตัวเข้าแทบไม่เชื่อหูตัวเอง

“อันที่จริง ในช่วงที่ราคาหุ้นกำลังตกแบบนี้ ผมกะว่า จะกวาดเพิ่มอีกสักหน่อย เพิ่มพอร์ตนี้สัก 50% เข้าท่าดีไม่น้อย ผมจะได้กลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ เผื่ออีกสามเดือนหุ้นมันวิ่งเป็นกระทิงบ้าขึ้นมา ผมจะได้กลายเป็นเจ้าของกิจการหลายหมื่นล้านโดยไม่รู้ตัว” คำพูดตลกร้ายของ ดร.ภาคิน ทำเอาโบรกเกอร์แทบขำไม่ออก เพราะเขารู้ว่าเซียนหุ้นพันล้านนี้ไม่เคยพูดเล่น และการคาดการณ์ของเซียนหุ้นมือหนึ่งคนนี้ ก็แม่นยิ่งกว่าหมอดูในตำนานเสียอีก

เดลี่ มันนี่ : คุณมักเก็งหุ้นได้กำไรเสมอ พอจะบอกความลับนั้นได้มั้ยคะ

ดร.ภาคิน : ไม่ได้หรอกครับ เพราะความลับ…มันก็คือความลับ

ภาคินวางนิตยสาร เดลี่ มันนี่ ลงบนตัก ขณะที่ภูภูมิ เพื่อนสนิทของเขา ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของร้านกาแฟแห่งนี้ เดินมาเสิร์ฟเครื่องดื่มที่โต๊ะ

“มอคค่าที่สั่งมาแล้ว” ภูภูมิเอ่ยขึ้น “และวัฟเฟิลชิ้นพิเศษ ของขวัญวันเกิดของนาย” ภูภูมิเซอร์ไพรส์วันเกิดเพื่อนรักของเขาด้วยวัฟเฟิลชิ้นหนึ่ง ปักเทียนเล่มน้อยไว้บนนั้น ภาคินหัวเราะให้กับความพยายามของภูภูมิ

“ฉันนึกว่านายจะลืมวันเกิดฉันไปแล้วซะอีก”

“จะลืมได้ไง นี่วันเกิดเพื่อนรักของฉันเลยนะเว้ย”

ภูภูมิกับภาคินเป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบทั้งคู่ก็แยกย้ายกันไป แต่ก็ยังติดต่อ และคอยช่วยเหลือกันเสมอ เมื่อภาคินกลายเป็นนักธุรกิจชื่อดัง เขาก็ไม่ลืมที่จะให้ความช่วยเหลือภูภูมิ โดยสนับสนุนเงินทุนให้เพื่อนรักของเขาเปิดร้านกาแฟร้านนี้ เพื่อทำตามความฝันของตัวเองจนสำเร็จ พวกเขาร่วมทุกข์ร่วมสุขมานานกว่าจะมีวันนี้ได้

ภาคินชิมวัฟเฟิลที่เพื่อนรักของเขาตั้งใจทำให้ ก่อนจะหยิบแก้วกาแฟขึ้นมาดื่ม เมนูเดิมที่เขามักสั่งเป็นประจำ คือมอคค่า กาเฟอีนจากกาแฟกระตุ้นการทำงานช่วงบ่ายได้เป็นอย่างดี เว้นแต่ว่าส่วนผสมของช็อกโกแลตจะช่วยเจือจางไม่ให้มันเข้มข้นจนเกินไป …แน่นอนว่าเขาไม่อยากตาแข็งจนนอนไม่หลับ เพราะนั่นอาจทำให้เขาพลาดที่จะเจอใครบางคน ใครคนนั้นที่เขาอยากจะเสวนาด้วยทุกๆ คืน แต่การเสวนานั้นดูคล้ายจะไม่เป็นแบบปกติปุถุชนสักเท่าไหร่

เพราะพวกเขานัดเสวนากันในความฝัน

ภาคินไม่เคยปิดบังเรื่องเคล็ดลับความสำเร็จ ดร.หนุ่มวัยสามสิบกับการเป็นนักลงทุนหลายพันล้าน ภายในระยะเวลาเพียงห้าปีที่เขาได้กลายเป็นมหาเศรษฐี หลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัย เขาก็เริ่มทำงานที่แบงก์แห่งหนึ่ง ก่อนที่เขาจะใช้เวลาไม่นานนักเรียนรู้เรื่องผลิตภัณฑ์ทางการเงิน และการลงทุนอย่างสนใจใคร่รู้ วิธีการนี้เขาบอกเสมอ มันคือ “ครูพักลักจำ”

ทำอย่างไรถึงจะรวยได้…คือคำถามที่วนเวียนอยู่ในหัวของชายหนุ่มที่เติบโตมาในครอบครัวร้านขายของชำ พ่อกับแม่ของเขาเป็นเจ้าของธุรกิจก็จริงอยู่ แต่ไม่ได้ร่ำรวยมากมายอะไรนัก นั่นออกจะขัดใจเขาอยู่ไม่น้อย ตามประสาวัยรุ่นใจร้อน อยากรวยไวๆ อยากสบายดูโก้หรู การเดินตามรอยพ่อแม่ที่ปูทางให้ลูกชายเพียงคนเดียวอาจไม่เข้าท่าสักเท่าไหร่ เพราะธุรกิจลงทุนลงแรงเองไม่ใช่งานถนัด เขาคิดว่ามันไม่เวิร์ก มันจึงเป็นที่มาของการ “ลงทุนในตลาดหุ้น” ภาคินเคยบอกว่าเขาเคยเป็นแมลงเม่าโง่ๆ ตอนเริ่มเล่นหุ้นใหม่ๆ ลงทุนด้วยเงินเก็บทั้งชีวิตตัวเอง เจ๊ง ติดหนี้เป็นล้าน และเคยพยายามฆ่าตัวตายโดยกินยานอนหลับทั้งกระปุกมาแล้ว แต่โชคดีที่รอดมาได้ ก่อนจะคิดได้ว่าการฆ่าตัวตายไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ชาญฉลาดเลยสักนิด แต่การล้มแล้วลุกคือวิถีของผู้ชนะ นับตั้งแต่นั้นเขาจึงมุ่งมั่น ตั้งใจเรียนต่อจนจบปริญญาเอก และพยายามเรียนรู้จากความล้มเหลวในอดีต ประสบการณ์ทำให้ภาคินหาวิธีการลงทุนได้อย่างชาญฉลาด มีกลเกมบางอย่างที่ทำให้เขาได้กำไร จากหลักหมื่น กลายเป็นแสน จากแสนกลายเป็นล้าน สิบล้าน ร้อยล้าน และพันล้านในที่สุด ปัจจุบันเขาถูกขนานนามว่าเป็นอินทรีแห่งวงการหุ้น เขาไม่ใช่แมลงเม่าโง่ๆ อีกต่อไป

นั่นคือบทพูดที่มักใช้ตอบพวกนักข่าว เวลาสัมภาษณ์ลงนิตยสารหรือหนังสือพิมพ์อยู่บ่อยๆ แต่แท้จริงแล้ว เขามีความลับ …แน่นอนว่าเขาไม่เคยบอกใคร เพราะความลับก็คือความลับ แต่ถึงบอกใครไป ก็ไม่มีใครเชื่ออยู่ดี กับสุดยอดความลับที่ว่า ตัวเขาเองสามารถล่วงรู้เหตุการณ์ในอนาคตได้

จะเป็นอย่างไรถ้าในทุกๆ คืนมีคนมากระซิบเตือนว่าวันพรุ่งนี้จะเกิดระเบิดในเบลเยียม หรือแผ่นดินไหวในญี่ปุ่น หรือกระทั่งการประท้วงรุนแรงที่นำมาซึ่งการปฏิวัติทางการเมืองในประเทศไทยเองเช่นในหลายปีก่อน มันคงดีไม่น้อยที่มีคนเตือนคุณก่อนที่จะลงทุนซื้อหุ้นอะไรก็ตามที่ “เสี่ยง” หรือบางทีคุณอาจเทขายมันทันก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจ ในอีกด้านหนึ่งคงจะดีเหมือนกัน ที่มีคนมาบอกว่าในอนาคตจะมีแนวโน้มอะไรดีๆ เกิดขึ้นบ้าง เช่น ตลาดทองคำกำลังไปได้สวย หรือคอนโดฯ ในพื้นที่แนวรถไฟฟ้าสามารถสร้างผลกำไรได้ดี หรือเก็งหุ้นบริษัทนี้ไว้สิ อีกสามเดือนราคาจะเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวเลยนะ อะไรทำนองนี้

ใช่แล้วล่ะ ภาคิน มีเลขาฯ ส่วนตัว คนที่คอยกระซิบบอกเขาทุกคืนถึงเหตุการณ์ในอนาคต มันคือเรื่องมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน ในคืนที่เขาตัดสินใจกินยานอนหลับเพื่อฆ่าตัวตาย ระหว่างห้วงนิทราอันยาวนานนั้น เขาหลับฝันเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง เธอมีใบหน้ากลมสวยได้รูป ผิวขาวและผมซอยสั้น พร้อมดวงตาสีเขียวมรกตที่สะกดให้เขารู้สึกหลงใหล ผู้หญิงคนนี้มาปรากฏตัวในความฝันของเขาเพื่อสื่อสารเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ก่อนที่ภาคินจะฟื้นขึ้น ตอนแรกเขาคิดว่าคงเป็นฤทธิ์กล่อมประสาทของยา หรือไม่ตัวเองคงบ้าไปแล้วแน่ๆ แต่เมื่อเขารอดตายราวปาฏิหาริย์ และกลับมาใช้ชีวิตได้อีกครั้ง ก็พบว่านิมิตที่หญิงสาวปริศนากระซิบบอกในคืนนั้น ได้เกิดขึ้นจริง และจากนั้นเป็นต้นมาเขาก็หลับฝันเห็นเธอเกือบทุกคืน ไม่เพียงแต่เรื่องงานเท่านั้น แต่เธอยังส่งสัญญาณบอกเรื่องราวที่สำคัญเรื่องอื่นๆ อีกด้วย นี่คือเหตุผลว่าทำไมภาคินถึงประสบความสำเร็จได้ เพราะมีผู้ช่วยพิเศษคนนี้นี่เอง

หน้านิตยสารเผยให้เห็นชายหนุ่มรูปร่างหน้าตาภูมิฐานดี บนหน้ากระดาษพาดด้วยข้อความตัวใหญ่ “อินทรีผงาดฟ้าเมืองไทย เปิดใจเศรษฐีเซียนหุ้น ดร.ภาคิน” ภาคินยิ้ม และเอ่ยเบาๆ

“ฝันดีนะคืนนี้” เขาคล้ายจะเอ่ยกับตัวเองเช่นนั้น แต่เชื่อเถอะ เขาไม่ได้พูดกับตัวเอง

 

ผ้าม่านบางๆ พัดแผ่วเบาไปตามแรงลมทางหน้าต่างที่เปิดแง้มไว้ หลอดไฟหน้าระเบียงยังทำหน้าที่ของมันได้ดี แสงไฟส่องสลัวเข้ามาในห้องนอน เผยให้เห็นชายคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ริมหน้าต่าง สายลมที่พัดโชยมาทำเอาร่างของเขาสะท้าน เขากำลังรอใครบางคนอยู่

แสงดาวพร่างพราวระยิบระยับบนฟ้า ภาคินเหม่อมองออกไปยังฟากฟ้าไกลเบื้องหน้า ชื่นชมความสวยงามท่ามกลางความมืดมิด ตั้งแต่เค้าจำความได้ เขาไม่เคยกลัวตอนกลางคืนเลยสักนิด แม้ว่ามันจะไม่มีแสงสว่าง และความมืดก็ทำให้ทุกอย่างดูน่ากลัวไปหมด แต่เขาไม่เคยคิดกลัวมันแม้แต่น้อย แต่เขากลับฉงนสงสัยว่าความมืดมิดบนฟากฟ้านั้นมีอะไร ห้วงดวงดาวนั้นมีอีกโลกนึงมั้ย มันคือสรวงสวรรค์ใช่รึเปล่า

“อะไรกวนใจหรอ” เสียงนุ่มหวานดังขึ้นจากด้านหลัง ภาคินค่อยหันไปตามเสียงเรียก แขกคุ้นเคยมาหาเขาแล้ว …หญิงสาวในชุดสีขาวเข้ารูป เว้นแต่เครื่องประดับสีเงินรูปร่างประหลาดที่ติดอยู่ที่ปกเสื้อ และข้อมือ จะทำให้ดูแปลกตาไปบ้าง ผมสั้นของเธอถูกหวีเรียบเแปล้ไปทางด้านหลัง เผยให้เห็นใบหน้าสะสวยชัดเจน และดวงตาสีเขียวคู่นั้น

“เปล่าหรอก ก็แค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะ” ภาคินตอบ ก่อนที่เขาจะเริ่มเปิดประเด็น “พรุ่งนี้มีอะไรเป็นพิเศษรึเปล่า”

“ช่วงนี้เจอกันปุ๊บก็ถามแต่เรื่องงานเลยนะ” เธอหยอก “ไม่ต้องกลัวขนาดนั้นหรอกน่า ถึงสึนามิมาอีกระลอก ก็ไม่เจ๊งหรอก”

“อันที่จริงฉันก็ไม่ได้อยากคุยเรื่องงานนักหรอก” ภาคินเขยิบเข้าไปใกล้หญิงสาว เอื้อมมือไปสัมผัสเธอ แต่แล้วมือของเขากลับสัมผัสได้แต่มวลอากาศว่างเปล่า เขาถอนหายใจ

“ดวงจิตสินะ” เขาเอ่ยขึ้น หญิงสาวยิ้มรับ คล้ายเป็นการตอบคำถามนั้น

“คุณรู้ดีว่าฉันคืออนาคต ตอนนี้ฉันจึงไม่มีตัวตน อย่างน้อยก็อีกเกือบศตวรรษนึง ฉันเดินทางข้ามเวลามาหาคุณได้ ก็เพราะดวงจิต มันเป็นสิ่งมหัศจรรย์เพียงสิ่งเดียวที่อยู่เหนือกาลเวลา และข้อจำกัดทางกายภาพทั้งปวง” หญิงสาวจ้องหน้าชายหนุ่ม เผยให้เห็นดวงตามรกตกลมโต ดวงตาที่ซ่อนปริศนามากมายไว้ภายใต้ประกายงดงามนั้น

“เธอทำได้ยังไง”

“ในโลกอนาคต มนุษย์ได้ค้นพบความลับของจักรวาล มันไม่ใช่วิทยาการล้ำเลิศ แต่มันคือสัจธรรมบางอย่างที่ดำรงอยู่เนิ่นนานมา สัจธรรมที่ว่า ดวงจิตมนุษย์เป็นเพียงสิ่งเดียวที่สามารถเดินทางได้ไวกว่าความเร็วแสง ดังนั้น เราจึงเดินทางย้อนเวลาได้ โดยการใช้ดวงจิต มนุษย์ในโลกอนาคตถูกฝึกสมาธิจนสามารถแยกดวงจิตออกจากกายได้ เราจึงมองเห็นเวลาเป็นกายภาพ ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต กาลเวลาเสมือนเส้นดินสอที่ถูกวาด ลากไปมา โลกของคุณคืออดีตที่ฉันมองเห็น มันดำเนินไปตามเส้นเหล่านั้น และหากฉันต้องการจะติดต่อใครบางคนในยุคร้อยปีที่แล้ว วิธีเดียวคือฉันจะต้องโผล่เข้ามาในความฝันของเขาเท่านั้น เพราะมนุษย์ธรรมดาอย่างคุณ จะมีดวงจิตว่างเปล่าและมีพลังมากพอในยามหลับใหล เฉกเช่นในเวลานี้ จิตเราทั้งคู่ก็เหมือนกับวิทยุสื่อสาร เมื่อจูนคลื่นได้ตรงกันก็คุยกันได้ ส่วนกายมนุษย์นั้นหยาบเกินไป เราไม่อาจพาสิ่งที่เป็นกายภาพเดินทางข้ามเวลาได้ นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมฉันถึงไม่มีตัวตนในโลกของคุณ”

“น่าเสียดายที่เราคุยกันได้แค่ในฝันเท่านั้น ถ้าเราต่างมีตัวตนในโลกของกันและกันคงจะดีสินะ”

“กลัวฉันจะหายไปเหรอคะ” หญิงสาวเอ่ยอย่างรู้ทัน “คุณไม่ต้องกลัวหรอกค่ะ ถึงฉันหายไป ฉันก็มั่นใจได้ว่าคุณเก่งมากพอที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ด้วยตนเอง เหมือนอย่างที่เคยเป็นมา คุณจะมีความรู้ มีเงินทอง มีคนรัก และมีอนาคตที่ดี”

เธอยิ้ม ก่อนจะเดินมาชิดริมหน้าต่าง เหม่อมองไปยังความมืดเบื้องหน้า กำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง บางทีเธออาจกำลังคิดถึงอนาคต โลกที่เธอจากมา

“วันนี้คือวันเกิดของฉัน” ภาคินเอ่ยขึ้น หลังจากที่เงียบอยู่นาน “2 สิงหาคม 2560 แต่ในทางตรงกันข้าม มันคือวันครบรอบการตายของฉันเมื่อ 5 ปีก่อนด้วยเช่นกัน ฉันอยากรู้จริงๆ ว่าทำไมตอนนั้น เธอถึงมาช่วยชีวิตฉัน”

หญิงสาวกลับหันมามองหน้าชายหนุ่มครู่หนึ่ง ก่อนที่จะตัดสินใจเอ่ยความจริงบางอย่าง ความจริงที่เธอไม่เคยบอกให้ภาคินรู้ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา

“เพราะฉันติดหนี้บุญคุณคุณ ดร.ภาคิน การมีชีวิตอยู่ของคุณในวันนี้ ทำให้ฉันมีโอกาสได้เกิดมา” สิ้นสุดถ้อยคำของหญิงสาว ภาคินตาเบิกโพลง เขาตกใจกับคำตอบนั้น หญิงสาวยิ้มก่อนจะพูดต่อ

“ไม่ต้องตกใจไปหรอกค่ะ ฉันไม่ใช่ลูกหลานคุณหรอก แต่คุณคือแต้มต่อสำคัญที่ทำให้บรรพบุรุษของฉันได้เจอกัน ในบ่ายวันหนึ่ง จู่ๆ ฉันก็นึกสนุกอยากรู้ว่า พ่อกับแม่ฉันเจอกันได้ยังไง เหตุการณ์ประจวบเหมาะ เริ่มต้นจากความบังเอิญจุดเล็กๆ ค่อยปะติดปะต่อดำเนินไปเรื่อยๆ กลายเป็นความรักที่ยิ่งใหญ่ พวกเขาแต่งงานกัน และมีฉันขึ้นมา จากนั้นฉันก็อยากรู้ลึกมากขึ้นไปอีกว่า แล้วสมัยปู่ย่าตายาย และทวดๆ ของฉันล่ะ มีปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้พวกเขาเจอกัน ยิ่งย้อนดูก็ยิ่งสนุก เหมือนฉากย้อนเวลาในละคร ฉันคือผู้สังเกตการณ์ คอยมองดูโดมิโนเหล่านั้นถอยหลังกลับ และแล้วฉันก็พบเรื่องราวของใครบางคน ณ ทางแยกหนึ่ง ทางแยกแห่งการตัดสินใจที่ได้เปลี่ยนทุกสิ่งทุกอย่างไปตลอดกาล นั่นคือคุณ ดร.ภาคิน” หญิงสาวจ้องหน้าเขา

“ผู้ชายถังแตกคนหนึ่งที่กำลังจะฆ่าตัวตาย กำลังจะทำให้ทุกฉากในเส้นทางชีวิตฉันจบลง ฉันสงสัยว่าหากคุณเลือกที่จะตาย ทุกอย่างจะจบลงง่ายๆ อย่างนั้นเลยหรือ ภาพเหตุการณ์ที่ฉันย้อนดูคืออะไรกันเล่า แล้วตัวฉันล่ะจะเป็นยังไง ฉันจะหายวับไปเลยรึเปล่า”

ภาคินครุ่นคิดตามหญิงสาว เขานึกย้อนไปวันนี้เมื่อ 5 ปีก่อน ในห้องเช่าเล็กๆ แห่งหนึ่ง เขาอาละวาดข้าวของกระจัดกระจาย ก่อนที่เขาจะกลั้นใจ กรอกยาทั้งกระปุกเข้าไปในปาก เมื่อภาพเหตุการณ์นั้นวิ่งวน จู่ๆ เขาก็รู้สึกกลัวที่แคบขึ้นมาเสียดื้อๆ

“อนาคตคือทางแยกนับล้านๆ ทาง มันมีเหตุและผลที่จะเกิดขึ้นในแต่ละรูปแบบ ซึ่งแต่ละแบบถูกกำหนดไว้แล้ว แต่จักรวาลไม่ได้เผด็จการขนาดนั้น อย่างน้อยมันยังเปิดโอกาสให้เราได้เลือกทางเดินนั้นด้วยตัวเอง และสามารถเปลี่ยนแปลงได้ แล้วแต่ว่าคุณจะเลือกเส้นทางไหน สำหรับเราทั้งคู่ต่างเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน ณ เส้นทางนี้ ฉันคือปลายทาง ส่วนคุณคือต้นทาง ไม่มีคุณก็ไม่อาจมีฉัน” หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองฟากฟ้ายามราตรี ท่าทางเธอดูผ่อนคลายมากขึ้น ภาคินนิ่งเงียบ รอคอยให้เธอพูดต่อ

“บางทีทุกอย่างอาจถูกกำหนดมาแบบนี้แล้ว อาจเป็นโชคชะตา ฟ้าลิขิต หรือจะเรียกว่าอะไรก็ตามแต่ การย้อนเวลามาเปลี่ยนแปลงอดีต คือเส้นที่ถูกวาดไว้แล้วตั้งแต่แรก เพราะถ้าหากฉันไม่กลับมา อนาคตจะเบี่ยงเบนไปเส้นทางอื่น นั่นคือไม่ว่ายังไงก็ตามภารกิจของฉันต้องทำให้คุณมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ได้”

“และเธอก็ทำสำเร็จแล้ว …ใช่มั้ย” ภาคินย้อนถามอีกครั้ง หญิงสาวหัวเราะ

“ยังหรอกค่ะ ยังไม่สำเร็จ แต่ฉันออกจะมั่นใจ ว่ามันจะสำเร็จได้…เร็วๆ นี้” เธอกระหยิ่มยิ้ม พลางเดินเข้ามาประชิดร่างชายหนุ่มเบื้องหน้า ภาคินได้ยินหัวใจของตัวเองเต้นโครมคราม

“รู้มั้ยคะว่าอะไรที่ทำให้ฉันมั่นใจมากขนาดนั้น มีเหตุผลอยู่สองข้อ ข้อแรกคือความผูกพันค่ะ มันทำให้คุณหลงใหลผู้หญิงที่ไม่มีตัวตนคนนี้ขึ้นมาได้อย่างน่าประหลาด ส่วนอีกข้อนึงนั้น…” หญิงสาวเขยิบเข้ามาใกล้มากขึ้น ก่อนจะกระซิบข้างหูชายหนุ่มที่อะดรีนาลินกำลังพลุ่งพล่าน

“…คือความโลภค่ะ คุณได้ลองลิ้มรสมันไปบ้างแล้ว ช่างหอมหวานและล่อใจไม่แพ้กัน ฉันหวังว่าคุณจะจดจำความรู้สึกนั้นได้ และมีความสุขกับมันนะคะ” เธอกระซิบแผ่วเบาในตอนท้าย พร้อมขยิบตาให้ชายหนุ่ม ก่อนที่ร่างของเธอจะเริ่มพร่ามัว ภาคินรู้สึกลอยเคว้ง เขาพยายามเรียกสติกลับคืนมา แต่ก็ไม่เป็นผล ทุกอย่างรอบตัวกลายเป็นภาพเบลอ และดูคล้ายจะเลือนหายไป

“เราอาจได้พบกันอีกครั้ง…” นั่นคือถ้อยคำสุดท้ายที่หญิงสาวเอื้อนเอ่ย ภาคินไม่แน่ใจนักว่าใช่คำมั่นสัญญาหรือเปล่า วินาทีต่อจากนั้นความมืดมิดก็ดึงเขาจมลงสู่ภวังค์นิทราอีกครา

 

แสงแดดส่องกระทบใบหน้าชายหนุ่มที่เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ภาคินนอนแผ่หลาอยู่บนพื้นห้อง รอบกายเขามีข้าวของกระจัดกระจาย กระป๋องเบียร์นับสิบกลาดเกลื่อน รวมถึงยาเม็ดสีขาวหล่นกระจายอยู่บนพื้น เพราะอุณหภูมิที่ค่อยสูงขึ้น ทำให้เขาเริ่มอึดอัด และรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา

ชายหนุ่มค่อยพยุงตัวเองลุกขึ้นนั่ง อาการปวดหัวแฮงก์ตอนเช้าทำให้รู้สึกแย่ไม่น้อย ก่อนที่เขาจะพบสภาพห้องเละตุ้มเป๊ะ และยานอนหลับพวกนั้น สมองเขาใช้เวลาประมวลผลในเสี้ยววินาที ปะติดปะต่อเรื่องราวได้สำเร็จ ก่อนที่เขาจะวิ่งไปค้นหาอะไรบางอย่างบนเตียงนอน

โทรศัพท์มือถือซุกอยู่ใต้ผ้าห่ม ภาคินกดปุ่มเปิดดูหน้าจอ มันบอกเวลา 10.43 น. วันที่ 02/08/2555

ภาคินตบหน้าไปฉาดหนึ่งเพื่อให้ตัวเองตื่น ก่อนจะหันไปคว้ารีโมต เปิดทีวี ผู้ประกาศข่าวกำลังรายงานข่าวเช้า

“…โทรศัพท์ลึกลับขู่วางระเบิดก่อนเปิดประชุมสภานัดแรก ในการกำหนดเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎรและรองผู้แทนฯ อีก 2 ตำแหน่ง ในเช้าวันนี้ 2 สิงหาคม 2555…”

ภาคินค้างไปชั่วครู่ สายตาสาดส่องไปทั่วห้อง ใช่แล้วล่ะ เขากำลังตื่นขึ้นมาในห้องพัก ณ อพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่ง ไม่ใช่ห้องนอนในคฤหาสน์สุดหรู ไม่มีรถลิมูซีน ไม่มีพอร์ตหุ้นพันล้าน ไม่ใช่ 5 ปียาวนานที่ผ่านพ้นไป แค่ความฝันประหลาดชั่วข้ามคืนเท่านั้น วันนี้เป็นวันครบรอบวันเกิดวัย 25 ปีของเขา เขายังคงเป็นพนักงานธนาคารแห่งหนึ่ง ที่กำลังจะถูกไล่ออกเพราะละเลยการปฏิบัติหน้าที่ แถมยังถังแตก ติดหนี้เป็นล้าน แต่อย่างน้อยทั้งหมดนี้ก็ยืนยันว่าเขายังไม่ตาย คงเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์เมื่อคืนละกระมังที่ทำให้เขาสลบไปก่อนที่จะฆ่าตัวตายได้สำเร็จ

เมื่อเรียกสติกลับคืนมาได้ ชายหนุ่มกระโดดโลดเต้น และหัวเราะอย่างบ้าคลั่งขึ้นมาโดยทันใด

…เมื่อเราตื่นจากฝัน เวลาผ่านพ้นรวดเร็วไม่หวนกลับ สิ่งสุดท้ายที่เธอทิ้งไว้ให้ผม คืออนาคต ผมรู้สึกขอบคุณเธอที่ทำให้ผมกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ผู้หญิงคนหนึ่งในความฝันอันเลือนรางเมื่อหลายปีก่อน…

 

5ปีผ่านไป

“สุขสันต์วันเกิดค่ะ ดร.ภาคิน” พนักงานเสิร์ฟเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม ภาคินละสายตาจากนิตยสารที่เขากำลังตั้งหน้าตั้งตาอ่าน

“วันนี้รับอะไรดีคะ”

“อันที่จริงผมกะจะมาทวงเค้กวันเกิดของตัวเองกินฟรีสักหน่อย เจ้านายคุณไม่อยู่เหรอครับ” ภาคินหยอกล้อพนักงานสาว ค้อนไปถึงเจ้านายหล่อน เธอหัวเราะคิก ก่อนจะหยิบบางอย่างขึ้นมายื่นให้

“วันนี้คุณภูมิไม่อยู่ค่ะ” เธอเอ่ย “แต่เขาฝากของขวัญวันเกิดมาให้ เขาบอกว่ามันจะเซอร์ไพรส์คุณแน่ๆ” ว่าแล้วภาคินก็รับซองจดหมายสีชมพูขนาดครึ่งเอสี่เปิดออกดู แว้บแรกเขานึกว่าเป็นแค่การ์ดอวยพรวันเกิดธรรมดา แต่ที่จริงมันคือการ์ดงานแต่งงาน ระบุข้อความเรียนเชิญร่วมงานแต่งงานระหว่าง ภูภูมิ คงธนาวัฒน์ และ เจสสิกา ยีลล์ ในวันเสาร์ที่จะถึงนี้

ภาคินนิ่งอึ้ง พูดอะไรไม่ออก ความรู้สึกยินดีเปี่ยมล้น เขาทั้งดีใจ และก็เซอร์ไพรส์เอามากๆ ด้วย ที่เพื่อนรักของเขากำลังจะแต่งงาน เมื่อมองดูรูปคู่ระหว่างภูภูมิ และว่าที่เจ้าสาว นั่นทำเอาภาคินยิ่งอึ้งไปอีก

เจสสิกา ยีลล์ มีดวงตาสีเขียว ดวงตาคู่นั้นที่คุ้นเคย ทำให้เขานึกถึงใครบางคนขึ้นมา พร้อมกันนั้นมีกระดาษโน้ตสั้นๆ เขียนถึงเขา แทรกอยู่ในซอง

“ขอโทษที่ไม่ได้มาเชิญนายด้วยตัวเอง และไม่ได้บอกก่อนหน้านี้ ฉันกะจะเซอร์ไพรส์นาย ซึ่งคิดว่าคงได้ผล ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือทุกอย่าง ถ้าไม่มีนายก็คงไม่มีร้านกาแฟร้านนี้ และแน่นอนว่าฉันก็คงไม่มีโอกาสได้พบลูกค้าคนพิเศษ ที่ได้กลายมาเป็นเจ้าสาวของฉันในวันนี้ …ขอบคุณนายจริงๆ สุขสันต์วันเกิดนะเพื่อนรัก”

วินาทีนั้นภาคินก็พลันคิดถึงใครบางคน ที่ได้เปลี่ยนแปลงชีวิตเขาไปตลอดกาล เขายังจดจำคำร่ำลาสุดท้ายนั้นได้เป็นอย่างดี

“แล้วเราจะได้พบกันอีกครั้ง…”

ภาคินยิ้ม …บางทีเขาน่าจะสั่งมอคค่าสักแก้ว…