ฉบับวันที่ 23-29 ก.ย. 2559

แม้จะเทียบกับ “พี่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ได้ แต่ก็เป็นเกียรติภูมิอันสูงส่ง ไม่ธรรมดา สำหรับพล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ที่จะสามารถเกษียณราชการ ใน “ชั้นยศ” สูงสุดระดับ “จอมพล” ภายใต้ ตำแหน่ง “ปลัดกระทรวงกลาโหม”

แต่กระนั้น ด้วยตำแหน่งชั้นยศ อันสูงส่งนั้น มิได้นำมาแต่ความภาคภูมิเท่านั้น

หากแต่ มี “ทุกขลาภ” เบียดแทรกเข้ามาด้วย และที่สำคัญไม่ใช่ ทุกขลาภ เฉพาะตัวพล.อ.ปรีชา หากแต่ลามไปถึง คนในครอบครัวอย่าง”ถ้วนหน้า”ด้วย เมื่อถูกกล่าวหาในประเด็นร้อนๆ โดยต่อเนื่อง ไม่ว่า

1) พล.อ.ปรีชา และนางผ่องพรรณ ถูกตั้งข้อสงสัย เกี่ยวกับบัญชีเงินฝากสหกรณ์ออมทรัพย์ของกองทัพภาคที่ 3 จำนวน 46.99 ล้านบาท

2) ป้อม-ปฏิพัทธ์ จันทร์โอชา บุตรคนสุดท้อง ถูกกล่าวหารับราชการทหาร อย่างมีอภิสทธิ์ และอภิสิทธิ์นั้นถูกลงนามโดยพล.อ.ปรีชา ผู้เป็น พ่อ เสียด้วย

3) กบ-ปฐมพล จันทร์โอชา บุตรคนโต ถูกตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับการตั้งหจก.คอนเทมโพรารี คอนสตรัคชั่น เข้าไปรับเหมาก่อสร้าง 2 โครงการ กับกองทัพภาค 3 ส่วนหน้า คือสร้างอาคารค่ายพ่อขุนผาเมือง และตึกแถวนายทหารประทวน โรงพยาบาลค่ายวชิรปราการ จ.ตาก จำนวน 26.9 ล้านบาท ในช่วงปี 2558-2559

และ4) คุณอู้ด -ผ่องพรรณ จันทร์โอชา ถูกกล่าวหาเอางบและเครื่องมือราชการ ไปสร้างฝาย ลำน้ำห้วยต้นผึ้ง ในเขตอุทยานแห่งชาติดอยเวียงผา(ปางปอย) โดยเป็นกิจกรรมที่ถูกวิพากษ์อย่างร้อนแรง ว่า เว่อร์ อลังการ และแถมยังตั้งชื่อฝาย “ผ่องพรรณพัฒนา”โดยไม่สนใจว่าจะเสียดแทงความรู้สึกของคนทั่วไปอย่างไร
.
แม้ข้อกล่าวหาข้างต้น บางเรื่องจะยุติลง อย่างป.ป.ช.ชี้ว่าพล.อ.ปรีชา ไม่ได้จงใจแสดงบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จ

ขณะที่กรณีอื่นก็มีคำชี้แจงว่า เป็นเรื่องเล็ก ใครๆก็ทำ และเป็นการปฏิบัติตามขั้นตอนปกติ พล.อ.ปรีชาไม่เกี่ยวข้อง

ส่วนกรณีของมาดามอู้ด ก็เป็นเรื่องที่ชาวบ้านตั้งชื่อฝายให้ และงบประมาณราชการที่ใช้ก็เะป็นเงินเล็กน้อยเท่านั้น

แต่ถามว่า เรื่องจบหรือไม่…คำตอบ ก็คือ ไม่จบ

แถมยังส่อจะบานปลายออกเป็นเรื่องใหญ่ด้วยเพราะนี่ไม่ใช่เรื่อง ในครอบครัวของพล.อ.ปรีชาเท่านั้น หากแต่ มีผลสะเทือนและสืบเนื่องไปถึงพี่ชาย ที่กำลังประกาศจะปฏิรูปประเทศในทุกด้าน

โดยเฉพาะเรื่องผลประโยชน์ เรื่องการ์คอรัปชั่น เรื่องคุณธรรม จริยธรรม อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ มาตรฐานที่พล.อ.ประยุทธ์ ประกาศต่อสังคมจึง “สูง” อย่างยิ่ง

และที่สำคัญ กำลังจะมีการสืบทอดเรื่องนี้ต่อไปในรัฐบาลหน้าด้วย

เมื่อมีกรณีน้องชายมาเปรียบเทียบ จึงกลายเป็นเรื่องอันผะอือผะอม กลืนไม่เข้าคายไม่ออกในทันที
นอกจากส่งเสียงเตือนกันและกัน ให้เงียบๆไว้

แต่ศึกการชิงอำนาจผ่านการเลือกตั้ง กำลังจะเกิดขึ้น ซึ่งหวาดเสียวอย่างยิ่งว่าจะเงียบไม่ได้ เพราะฝ่ายตรงข้ามจ้องเขม็ง มองหา”จุดอ่อน”เพื่อบุกทะลวงเข้าไปทะลายอยู่ตลอดเวลา

อาจจะโค่นไม่ได้ในทันทีทันใด

แต่การตีวัวกระทบคราด และการ “หยิกเล็กให้เจ็บเนื้อ” ก็เป็นยุทธวิธีที่ถูกนำมาใช้ โดยหวังว่าจะบั่นเซาะอำนาจที่แข็งแกร่งลง

ดังนั้น ที่นางผ่องพรรณ จันทร์โอชา กล่าวทีเล่นทีจริงว่า “ช่วงนี้เรตติ้งกำลังแรง ขออยู่เฉยๆ ดีกว่า”

อาจจะไม่เป็นเช่นนั้นเสียแล้ว