ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 5 - 11 พฤษภาคม 2560 |
---|---|
ผู้เขียน | องอาจ หาญชนะวงษ์ |
เผยแพร่ |
ขาเป็นอวัยวะที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตบนบก โดยส่วนใหญ่มีไว้ใช้ในการเดินและวิ่ง วิธีการใช้งานนั้นก็แทบจะไม่ต่างกัน คือใช้ก้าวขาซ้ายขวาสลับกันไป
เจ้าแมงมุมที่กำลังชักใยอยู่ มันลืมไปแล้วว่ามันก้าวเท้าไหนก่อนตอนออกจากบ้าน รู้แค่ว่าหน้าที่ในทุกวันตามสัญชาตญาณของมันก็คือการสร้างตาข่ายสีขาวใสๆ ไว้ดักแมลงผู้พลัดหลงไว้เป็นอาหาร แต่เจ้าแมงมุมตัวที่กำลังชักใยอยู่นี้มันไม่ต้องการกินเพื่อนร่วมป่าเหล่านั้นเลย เพราะสำหรับมันการได้นั่งมองจราจรทางอากาศของสิ่งมีชีวิตเหล่านี้คือความสวยงามสร้างความเพลิดเพลิน และทำให้ป่าแห่งนี้ดูเป็นป่ามากขึ้น
ในสังคมของแมงมุมมันถูกดูหมิ่นและสบประมาทอย่างมากว่า เสียชาติเกิดมาเป็นแมงมุมโดยแท้ แทนที่จะดักมากินเป็นอาหารมันกลับไปพูดคุยข้ามสายพันธุ์จนเกินงาม โดยเฉพาะกับแมลงปอสาวผู้มีก้อนก้นอันงามงอน ที่มีอานุภาพประหนึ่งแม่เหล็ก หากเผลอเมื่อไหร่มันจะดึงดูดสายตาของเจ้าแมงมุมให้มาจ้องอยู่ที่ก้นของแมลงปอโดยไม่รู้ตัวเสมอ
“นี่นาย นี่นาย” เสียงของแมลงปอช่วยเรียกสติมันกลับมาทันที
“ฉันมีอะไรมาให้ลองกิน” แมลงปอยื่นก้อนน้ำหวานให้แมงมุมเจ้าของดวงตาหลุกหลิกอันมีพิรุธ มันก็รับไว้อย่างว่าง่ายก่อนจะเอาปากดูดกินทีละนิดแก้เขิน
“เป็นไงบ้าง อร่อยรึเปล่า นี่เราเอามาจากดอกเข็มที่เพิ่งบานครั้งแรกเลยนะ”
ถึงแม้เจ้าแมงมุมจะยิ้มแล้วพยักหน้าแทนคำตอบ แต่ในใจของมันกลับรู้สึกว่ารสชาติก็จืดๆ เค็มๆ ไม่ต่างจากหยดน้ำค้างที่เคยกินทั่วไป นั่นเป็นเพราะว่าเมื่อเทียบกับรอยยิ้มของแมลงปอแล้ว มันช่างแลดูหวานกว่าสิ่งเธอนำมาให้เป็นไหนๆ
“ไอ้แมงมุมนอกคอก!” มีเสียงแหบๆ ตะโกนด่าเผ่าพันธุ์เดียวกันมาจากบนต้นไม้อีกฟากหนึ่ง
“อยากให้นายได้ลองกินสดๆ จากเกสร จะอร่อยกว่านี้หลายเท่าเลย” แมลงปอชวนคุยต่อ ราวกับว่าไม่ได้ยินเสียงอันไม่หวังดีนั้น
“กินไม่ดูกำพืด กินน้ำค้างน้ำหวานสันดานจิ้งหรีดเห็นแล้วหงุดหงิด เป็นแมงมุมแต่ดัดจริตอยากเป็นผีเสื้อ” เสียงกระแหนะกระแหนจากอีกฝั่งดังมาขัดจังหวะอีกครั้ง ทำเอาแมลงปอโมโหจนเก็บอาการเอาไว้ไม่อยู่
“นี่แกอยากโดนจับกินนักใช่ไหม!” แมลงปอตะโกนสวนกลับ ก่อนบินจากไปโดยไม่ร่ำลา พร้อมกับจ้องไปยังต้นเสียงตัวปัญหานั้น สายตานั้นที่ดูเคียดแค้นราวกับเป็นแมลงปอคนละตัวกับเมื้อกี้
ไม่แน่ชัดว่าแมลงปอสาวต้องการสื่อสารตามความหมายที่พูดนั้นจริงๆ หรือแค่เพราะเธอไม่สบอารมณ์ที่โดนทำลายบรรยากาศอันสุนทรีย์
แต่ดูท่าทางเจ้าแมงมุมมังสวิรัติตัวนี้จะไม่รู้สึกรู้สาอะไร มันปล่อยให้คำเหยียดหยามกลายเป็นลมที่ลอยทวนหูไป แล้วใช้สองขาหน้ากอดอก ใช้อีกแขนที่ว่างลูบคางพลางยืนมองใยแมงมุมรูปดอกไม้ ผลงานศิลปะชิ้นล่าสุดที่สร้างขึ้นมาประดับป่าแห่งนี้ให้เป็นเหมือนแกลเลอรี่ของมัน
อันที่จริงโดยธรรมชาติของแมลงปอนั้นเป็นสัตว์นักล่า มันกินแมลงแทบจะทุกชนิดที่อ่อนแอกว่าเป็นอาหาร ด้วยความเร็วของกล้ามเนื้อปีกและขาทั้งหกของมัน สามารถใช้ความเร็วไล่จับเหยื่อได้อย่างสบาย ไม่ว่าจะเป็น ยุง ผึ้ง แมลงวัน ผีเสื้อ หรือแม้กระทั่งแมลงปอด้วยกันเอง จนเมื่อมันได้ผ่านมาพบกับแมงมุม ผู้ถักใยเป็นรูปดอกไม้อย่างประณีต อาศัยอยู่ในซอกหินอันโดดเดี่ยว ทำให้มุมมองเธอที่มีต่อการเอาตัวรอดในป่าแห่งนี้เปลี่ยนไป
ในแรกเริ่มที่ทำความรู้จักกันนั้น ก็ด้วยท่าทางแปลกๆ เปิ่นๆ ของแมงมุมที่กำลังถักใยลวดลายประหลาดกับพฤติกรรมที่ดูแตกต่างจากชาวบ้านชาวเมืองแมงมุมทั่วไป ชวนให้แมลงปอสนอกสนใจบินเลาะเข้ามาใกล้เรื่อยๆ จนมาเกาะอยู่ที่แง่งหินข้างๆ ก่อนอมยิ้มแล้วเอ่ยถามอย่างนึกขำขันในใจ
“นี่แมงมุม ทำไมนายมาถักใยอยู่ตรงนี่ล่ะ นายก็น่าจะรู้นะว่าตรงนี้ไม่มีแมลงหน้าโง่ตัวไหนผ่านมาให้ดักกินหรอก” แมลงปอปล่อยคำถามออกไปอย่างไม่หวังผลในคำตอบเท่าไหร่ เพราะเดาไม่ออกว่าแมงมุมกำลังคิดอะไรอยู่
แมงมุมพยายามบังคับสายตาให้ห่างออกมาจากก้อนก้นของแมลงปอ ด้วยการตั้งสมาธิจับจ้องอยู่ที่การสานใย ซึ่งมองดูเหมือนจะเป็นงานฝีมือที่ยุ่งยากไม่เบา แต่ขาทั้งแปดของมันได้แสดงให้เห็นการทำงานประสานกันอย่างมีประสิทธิภาพ อย่างที่ถ้าใครมานั่งจ้องมองตามขาของมันก็คงต้องมีงงกันบ้าง
ถึงแม้จะนึกนานไปหน่อยแต่แมงมุมก็ไม่ได้ปล่อยให้คำถามของแมลงปอเป็นหมัน
“ก็ฉันไม่ได้ชักใยเพื่อจะดักกินใครนี่นา” มันตอบเธอโดยที่ไม่มองหน้า สองขาของมันยังสาวใยออกจากก้น แล้วไต่ไปตามใยที่ใช้เป็นทางเดินอย่างนิ่มนวล เพื่อบรรจงถักทอใยแบบเส้นต่อเส้น
“แล้วเธอทำมันไปทำไมละ” แมลงปอต้องการคำตอบมากกว่าคำถามแรก
“ฉันว่ามันสวยดี”
และก็เหมือนว่าลวดลายที่ค่อยๆ สานตัวได้สะกดแมลงปอเข้าให้แล้ว เธอนิ่งมองแมงมุมถักใยจนไม่รู้ตัวว่าเวลาผ่านไปนานมาก มากพอที่จะได้เห็นผลงานใยแมงมุมรูปดอกไม้ที่เสร็จสมบูรณ์
“อันที่จริงฉันจะจับเธอกินก็ไม่ยากเลยนะ แต่ดูเธอตลกดี ฉันคงกินไม่ลงหรอก”
เป็นครั้งแรกที่แมงมุมมองหน้าแมลงปอ แต่ก็เป็นการมองแบบแอบๆ เพราะกลัวแมลงปอจะรู้ว่าสายตามันต้องการจะมองไปที่ก้นของเธอมากกว่า
เหมือนว่าความโกรธที่มีในวันก่อนจะทำให้แมลงปอหงุดหงิดไม่หาย จนส่งผลต่อการควบคุมความเร็วในการบินของเธอ
“เฮ้ย! ระวัง!” เสียงเตือนจากผู้ร่วมทางสัญจรยังไม่ทันจะขาดคำก็…
“โครม!”
การจราจรทางอากาศวันนี้เกิดอุบัติเหตุบินชนกันจนตกไปหลายตัว แมลงเต่าทองผู้อยู่ในเหตุการณ์ให้ปากคำว่า ต้นเหตุมาจากแมลงปอตัวหนึ่งที่บินเร็วเกินกฎหมายกำหนด ทำให้เหล่าแมลงมีปีกต้องหลบกันพัลวัน บ้างก็เกี่ยวกันจนเสียหลักร่วงหล่นระนาวเกลื่อนพื้นระเนระนาดอย่างที่เห็น
หลังจากได้สร้างใยแมงมุมรูปดอกไม้ในวันก่อนไปแล้วแมงมุมก็ออกเดินทางหาแรงบันดาลใจใหม่ๆ มันกระโดดไปตามโขดหินต่อไปตามกิ่งไม้ไต่ไปตามดอกใบอย่างไม่รีบร้อน จนมาเห็นดอกเข็มที่เพิ่งบาน ชวนให้นึกถึงน้ำหวานที่แมลงปอเคยเอาให้มันกิน มันไม่ได้คิดถึงรสชาติ มันคิดถึงแมลงปอแสนงามตัวนั้น
ท้องมันเริ่มต้องการบางอย่างที่เรียกว่าอาหาร มันจึงกระโดดมาที่ใบไม้ที่มีก้อนน้ำค้างเกาะอยู่เพื่อดูดกินประทังชีวิต
“นี่นะเหรอแมงมุมพิลึกที่เขาว่ากัน” เสียงของผีเสื้อสองตัวคุยกันระหว่างดูดน้ำหวานจากเกสรดอกเข็ม
แมงมุมทำเป็นไม่ได้ยิน มันหันหลังแล้วกระโดดไต่ตามต้นไม้หวังให้ออกห่างจากเสียงนั้นให้เร็วที่สุด บางครั้งมันกลับคิดว่าถ้าหูหนวกเสียได้ โลกของมันก็คงน่าอยู่ขึ้น
“น้ำค้างควรเป็นอาหารของผู้ที่จำเป็นต้องใช้เสียงมิใช่หรือ?” จิ้งหรีดหนุ่มแสดงอาการหวงผ่านคำพูด
“แล้วน้ำค้างเป็นของเจ้าตั้งแต่เมื่อไหร่?” แมงมุมถามกลับแทนคำตอบ เพราะมันค่อนข้างมั่นใจว่าน้ำค้างเป็นของธรรมชาติ แมงมุมก็รู้ว่ามันมีสิทธิ์กิน
เป็นเรื่องกลยุทธ์ของการโต้เถียง หากไม่ยอมรับในเหตุผลของอีกฝ่ายก็ให้สร้างเหตุผลใหม่ขึ้นมา
“น้ำค้างมีไว้สำหรับผู้ที่มีเสียงอันไพเราะเท่านั้น แมงมุมอย่างเจ้าเคยใช้เสียงขับกล่อมป่านี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” จิ้งหรีดอีกตัวช่วยเถียง
“แกไม่เหมาะสมที่จะกินน้ำค้าง” จั๊กจั่นที่เกาะบนต้นไม้แอบฟังอยู่ก็โผล่มาช่วยอีกเสียง
เมื่อความขัดแย้งในบทสนทนามาถึงจุดหนึ่ง ก็เป็นหน้าที่ของผู้ที่ถูกรุมต้องหาทางออกจากวงล้อมนั้นให้ได้
“แล้วข้ามีสิทธิ์กินอะไรได้บ้างล่ะ” แมงมุมถามกลับด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าวที่สุดเท่าที่ความกล้าหาญในตัวมันจะอำนวย ซึ่งก็ดังกว่าเสียงกระซิบเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
แล้วก็มีคำตอบลอยลงมาจากฟ้า
“เจ้าควรจะกินสิ่งที่เจ้าจับได้ในวันนี้ไงเล่า” แมลงเต่าทองบินผ่านมาผสมโรง
ถึงจะยังไม่รู้ว่าแมลงหลงทางตัวใดที่เผลอมาติดใยของมัน แต่ตอนนี้ใจของมันได้หล่นลงไปอยู่ที่ตาตุ่มเรียบร้อยแล้ว
ใยแมงมุมรูปดอกไม้สะท้อนกับแสงแดดเป็นประกาย และยิ่งในขณะที่มีเม็ดน้ำค้างเกาะอย่างในตอนนี้ เมื่อแสงส่องผ่านยิ่งดูเป็นสายระยิบระยับงดงามอย่างที่สุด จนแม้แต่ตัวของเจ้าแมงมุมเองยังเผลอนิ่งตะลึงมองในผลงานตัวเองอยู่นาน
แต่ทุกอย่างที่ว่ามาก็เหมือนกลายเป็นสีดำดับมืดลงไปในทันที เมื่อสายตาของมันมาหยุดอยู่ที่ปล้องก้อนก้นอันงอนงามที่มันคุ้นเคย
แมลงปอกำลังดิ้น
ยิ่งดิ้นใยแมงมุมนั้นก็ยิ่งพันตัวมันแน่นหนายิ่งขึ้นจนมันค่อยๆ หมดแรง
ในที่สุดใยแมงมุมก็ได้ทำหน้าที่อันแท้จริงของใยแมงมุมเสียที หลังจากที่มันใช้ผิดวัตถุประสงค์มาโดยตลอด คล้ายกับดาบที่ถูกเก็บในฝักมานานนั้นได้ลองลิ้มเลือดเข้าให้แล้ว
แมงมุมรีบกระโดดขึ้นไปยังผลงานชิ้นโบแดงของมัน
แต่ถึงแม้จะมีขาถึงแปดขาก็ไม่ได้ช่วยอะไร รีบแค่ไหนก็ยังไปไม่ทันใจอยู่ดี
แมลงปอหยุดนิ่ง ใยพันรอบตัวมันหนาแน่นจนกระดุกกระดิกไม่ได้
เมื่อแมงมุมไต่มาถึง มันพยายามรื้อใยออกจากตัวของแมลงปอ โดยหารู้ไม่ว่าการกระทำอันหวังดีของมันกำลังทำให้ใยนั้นกลับเพิ่มหนาแน่นมากขึ้น
ตอนนี้แมลงปอมีใยพันรอบตัวจนแทบมองดูเป็นก้อนเดียวเหมือนดักแด้
เหตุการณ์ในวันนี้อยู่ในสายตาขอเหล่าแมลงที่มุงดูราวกับว่านี่คือละครเวที เมื่อถึงบทสุดท้ายของโศกนาฏกรรม
จนไม่มีแมลงตัวไหนรู้ว่าประโยคสุดท้ายที่ออกจากปากแมลงปอคือคำว่าอะไร
ต่างเดากันไปต่างๆ นานา บ้างก็ล้อเลียน บ้างก็หัวเราะ บ้างก็เฉยๆ แต่นี่ก็คือวงจรชีวิต ปกติ เพราะกฎของป่าแห่งนี้ไม่อนุญาตให้นำความสงสารเข้ามา
มีเพียงแมงมุมตัวเดียวเท่านั้นที่รู้ว่าแมลงปอพูดว่าอะไร
นี่คือความเศร้าที่สุดในชีวิตเท่าที่แมงมุมตัวหนึ่งจะมีได้
“ขอโทษที่ฉันทำให้ใยที่เธออุตส่าทำมาสวยๆ พังนะ”
ที่ทุกสายตาในป่าติดตามอยู่ตอนนี้คือ แมงมุมเจ้ากรรมกำลังชักใยพันแมลงปอจนดูคล้ายกับมัมมี่ แล้วใช้จุดนั้นเป็นจุดศูนย์กลาง ในการถักโยงใยต่อขึ้นไป ยาวขึ้นไป สูงขึ้นไป และขยายความกว้างไป จนกินขนาดรัศมีกว้างใหญ่กว่าเดิมหลายเท่าตัว
ไม่มีใครรู้ว่าแมงมุมกำลังจะทำอะไร
จนกระทั่งเวลาผ่านไป
วันพ้นคืน คืนพ้นไปอีกวัน
โดยไม่หยุดพัก แมงมุมชักใยตลอดทั้งวันทั้งคืน
ล่วงเลยไปเป็นอาทิตย์ แมลงในป่าแห่งนี้ก็ได้ตะลึงกับสิ่งมหัศจรรย์ที่ลำพังอาศัยแค่เพียงสัญชาตญาณอย่างเดียวคงทำไม่ได้
มันทั้งสูงใหญ่ ประณีต และงดงามอย่างที่สุด
ราวกับอนุสรณ์สถานกลางป่า
หากจะถามว่านี่คืออนุสรณ์แห่งความรักหรือไม่ ก็คงจะไม่มีคำตอบ นอกจากปล่อยให้ปราสาทที่ทำจากใยแมงมุมหลังนี้ตอบทุกอย่างด้วยตัวมันเอง
หลังจากนั้นแมงมุมก็ไม่เคยชักใยอีกเลยจนวันตาย