เรื่องสั้นรางวัลรองชนะเลิศ มติชนอวอร์ด : ปราสาทใยแมงมุม

ขาเป็นอวัยวะที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตบนบก โดยส่วนใหญ่มีไว้ใช้ในการเดินและวิ่ง วิธีการใช้งานนั้นก็แทบจะไม่ต่างกัน คือใช้ก้าวขาซ้ายขวาสลับกันไป

เจ้าแมงมุมที่กำลังชักใยอยู่ มันลืมไปแล้วว่ามันก้าวเท้าไหนก่อนตอนออกจากบ้าน รู้แค่ว่าหน้าที่ในทุกวันตามสัญชาตญาณของมันก็คือการสร้างตาข่ายสีขาวใสๆ ไว้ดักแมลงผู้พลัดหลงไว้เป็นอาหาร แต่เจ้าแมงมุมตัวที่กำลังชักใยอยู่นี้มันไม่ต้องการกินเพื่อนร่วมป่าเหล่านั้นเลย เพราะสำหรับมันการได้นั่งมองจราจรทางอากาศของสิ่งมีชีวิตเหล่านี้คือความสวยงามสร้างความเพลิดเพลิน และทำให้ป่าแห่งนี้ดูเป็นป่ามากขึ้น

ในสังคมของแมงมุมมันถูกดูหมิ่นและสบประมาทอย่างมากว่า เสียชาติเกิดมาเป็นแมงมุมโดยแท้ แทนที่จะดักมากินเป็นอาหารมันกลับไปพูดคุยข้ามสายพันธุ์จนเกินงาม โดยเฉพาะกับแมลงปอสาวผู้มีก้อนก้นอันงามงอน ที่มีอานุภาพประหนึ่งแม่เหล็ก หากเผลอเมื่อไหร่มันจะดึงดูดสายตาของเจ้าแมงมุมให้มาจ้องอยู่ที่ก้นของแมลงปอโดยไม่รู้ตัวเสมอ

“นี่นาย นี่นาย” เสียงของแมลงปอช่วยเรียกสติมันกลับมาทันที

“ฉันมีอะไรมาให้ลองกิน” แมลงปอยื่นก้อนน้ำหวานให้แมงมุมเจ้าของดวงตาหลุกหลิกอันมีพิรุธ มันก็รับไว้อย่างว่าง่ายก่อนจะเอาปากดูดกินทีละนิดแก้เขิน

“เป็นไงบ้าง อร่อยรึเปล่า นี่เราเอามาจากดอกเข็มที่เพิ่งบานครั้งแรกเลยนะ”

ถึงแม้เจ้าแมงมุมจะยิ้มแล้วพยักหน้าแทนคำตอบ แต่ในใจของมันกลับรู้สึกว่ารสชาติก็จืดๆ เค็มๆ ไม่ต่างจากหยดน้ำค้างที่เคยกินทั่วไป นั่นเป็นเพราะว่าเมื่อเทียบกับรอยยิ้มของแมลงปอแล้ว มันช่างแลดูหวานกว่าสิ่งเธอนำมาให้เป็นไหนๆ

“ไอ้แมงมุมนอกคอก!” มีเสียงแหบๆ ตะโกนด่าเผ่าพันธุ์เดียวกันมาจากบนต้นไม้อีกฟากหนึ่ง

“อยากให้นายได้ลองกินสดๆ จากเกสร จะอร่อยกว่านี้หลายเท่าเลย” แมลงปอชวนคุยต่อ ราวกับว่าไม่ได้ยินเสียงอันไม่หวังดีนั้น

“กินไม่ดูกำพืด กินน้ำค้างน้ำหวานสันดานจิ้งหรีดเห็นแล้วหงุดหงิด เป็นแมงมุมแต่ดัดจริตอยากเป็นผีเสื้อ” เสียงกระแหนะกระแหนจากอีกฝั่งดังมาขัดจังหวะอีกครั้ง ทำเอาแมลงปอโมโหจนเก็บอาการเอาไว้ไม่อยู่

“นี่แกอยากโดนจับกินนักใช่ไหม!” แมลงปอตะโกนสวนกลับ ก่อนบินจากไปโดยไม่ร่ำลา พร้อมกับจ้องไปยังต้นเสียงตัวปัญหานั้น สายตานั้นที่ดูเคียดแค้นราวกับเป็นแมลงปอคนละตัวกับเมื้อกี้

ไม่แน่ชัดว่าแมลงปอสาวต้องการสื่อสารตามความหมายที่พูดนั้นจริงๆ หรือแค่เพราะเธอไม่สบอารมณ์ที่โดนทำลายบรรยากาศอันสุนทรีย์

แต่ดูท่าทางเจ้าแมงมุมมังสวิรัติตัวนี้จะไม่รู้สึกรู้สาอะไร มันปล่อยให้คำเหยียดหยามกลายเป็นลมที่ลอยทวนหูไป แล้วใช้สองขาหน้ากอดอก ใช้อีกแขนที่ว่างลูบคางพลางยืนมองใยแมงมุมรูปดอกไม้ ผลงานศิลปะชิ้นล่าสุดที่สร้างขึ้นมาประดับป่าแห่งนี้ให้เป็นเหมือนแกลเลอรี่ของมัน

อันที่จริงโดยธรรมชาติของแมลงปอนั้นเป็นสัตว์นักล่า มันกินแมลงแทบจะทุกชนิดที่อ่อนแอกว่าเป็นอาหาร ด้วยความเร็วของกล้ามเนื้อปีกและขาทั้งหกของมัน สามารถใช้ความเร็วไล่จับเหยื่อได้อย่างสบาย ไม่ว่าจะเป็น ยุง ผึ้ง แมลงวัน ผีเสื้อ หรือแม้กระทั่งแมลงปอด้วยกันเอง จนเมื่อมันได้ผ่านมาพบกับแมงมุม ผู้ถักใยเป็นรูปดอกไม้อย่างประณีต อาศัยอยู่ในซอกหินอันโดดเดี่ยว ทำให้มุมมองเธอที่มีต่อการเอาตัวรอดในป่าแห่งนี้เปลี่ยนไป

ในแรกเริ่มที่ทำความรู้จักกันนั้น ก็ด้วยท่าทางแปลกๆ เปิ่นๆ ของแมงมุมที่กำลังถักใยลวดลายประหลาดกับพฤติกรรมที่ดูแตกต่างจากชาวบ้านชาวเมืองแมงมุมทั่วไป ชวนให้แมลงปอสนอกสนใจบินเลาะเข้ามาใกล้เรื่อยๆ จนมาเกาะอยู่ที่แง่งหินข้างๆ ก่อนอมยิ้มแล้วเอ่ยถามอย่างนึกขำขันในใจ

“นี่แมงมุม ทำไมนายมาถักใยอยู่ตรงนี่ล่ะ นายก็น่าจะรู้นะว่าตรงนี้ไม่มีแมลงหน้าโง่ตัวไหนผ่านมาให้ดักกินหรอก” แมลงปอปล่อยคำถามออกไปอย่างไม่หวังผลในคำตอบเท่าไหร่ เพราะเดาไม่ออกว่าแมงมุมกำลังคิดอะไรอยู่

แมงมุมพยายามบังคับสายตาให้ห่างออกมาจากก้อนก้นของแมลงปอ ด้วยการตั้งสมาธิจับจ้องอยู่ที่การสานใย ซึ่งมองดูเหมือนจะเป็นงานฝีมือที่ยุ่งยากไม่เบา แต่ขาทั้งแปดของมันได้แสดงให้เห็นการทำงานประสานกันอย่างมีประสิทธิภาพ อย่างที่ถ้าใครมานั่งจ้องมองตามขาของมันก็คงต้องมีงงกันบ้าง

ถึงแม้จะนึกนานไปหน่อยแต่แมงมุมก็ไม่ได้ปล่อยให้คำถามของแมลงปอเป็นหมัน

“ก็ฉันไม่ได้ชักใยเพื่อจะดักกินใครนี่นา” มันตอบเธอโดยที่ไม่มองหน้า สองขาของมันยังสาวใยออกจากก้น แล้วไต่ไปตามใยที่ใช้เป็นทางเดินอย่างนิ่มนวล เพื่อบรรจงถักทอใยแบบเส้นต่อเส้น

“แล้วเธอทำมันไปทำไมละ” แมลงปอต้องการคำตอบมากกว่าคำถามแรก

“ฉันว่ามันสวยดี”

และก็เหมือนว่าลวดลายที่ค่อยๆ สานตัวได้สะกดแมลงปอเข้าให้แล้ว เธอนิ่งมองแมงมุมถักใยจนไม่รู้ตัวว่าเวลาผ่านไปนานมาก มากพอที่จะได้เห็นผลงานใยแมงมุมรูปดอกไม้ที่เสร็จสมบูรณ์

“อันที่จริงฉันจะจับเธอกินก็ไม่ยากเลยนะ แต่ดูเธอตลกดี ฉันคงกินไม่ลงหรอก”

เป็นครั้งแรกที่แมงมุมมองหน้าแมลงปอ แต่ก็เป็นการมองแบบแอบๆ เพราะกลัวแมลงปอจะรู้ว่าสายตามันต้องการจะมองไปที่ก้นของเธอมากกว่า

เหมือนว่าความโกรธที่มีในวันก่อนจะทำให้แมลงปอหงุดหงิดไม่หาย จนส่งผลต่อการควบคุมความเร็วในการบินของเธอ

“เฮ้ย! ระวัง!” เสียงเตือนจากผู้ร่วมทางสัญจรยังไม่ทันจะขาดคำก็…

“โครม!”

การจราจรทางอากาศวันนี้เกิดอุบัติเหตุบินชนกันจนตกไปหลายตัว แมลงเต่าทองผู้อยู่ในเหตุการณ์ให้ปากคำว่า ต้นเหตุมาจากแมลงปอตัวหนึ่งที่บินเร็วเกินกฎหมายกำหนด ทำให้เหล่าแมลงมีปีกต้องหลบกันพัลวัน บ้างก็เกี่ยวกันจนเสียหลักร่วงหล่นระนาวเกลื่อนพื้นระเนระนาดอย่างที่เห็น

หลังจากได้สร้างใยแมงมุมรูปดอกไม้ในวันก่อนไปแล้วแมงมุมก็ออกเดินทางหาแรงบันดาลใจใหม่ๆ มันกระโดดไปตามโขดหินต่อไปตามกิ่งไม้ไต่ไปตามดอกใบอย่างไม่รีบร้อน จนมาเห็นดอกเข็มที่เพิ่งบาน ชวนให้นึกถึงน้ำหวานที่แมลงปอเคยเอาให้มันกิน มันไม่ได้คิดถึงรสชาติ มันคิดถึงแมลงปอแสนงามตัวนั้น

ท้องมันเริ่มต้องการบางอย่างที่เรียกว่าอาหาร มันจึงกระโดดมาที่ใบไม้ที่มีก้อนน้ำค้างเกาะอยู่เพื่อดูดกินประทังชีวิต

“นี่นะเหรอแมงมุมพิลึกที่เขาว่ากัน” เสียงของผีเสื้อสองตัวคุยกันระหว่างดูดน้ำหวานจากเกสรดอกเข็ม

แมงมุมทำเป็นไม่ได้ยิน มันหันหลังแล้วกระโดดไต่ตามต้นไม้หวังให้ออกห่างจากเสียงนั้นให้เร็วที่สุด บางครั้งมันกลับคิดว่าถ้าหูหนวกเสียได้ โลกของมันก็คงน่าอยู่ขึ้น

“น้ำค้างควรเป็นอาหารของผู้ที่จำเป็นต้องใช้เสียงมิใช่หรือ?” จิ้งหรีดหนุ่มแสดงอาการหวงผ่านคำพูด

“แล้วน้ำค้างเป็นของเจ้าตั้งแต่เมื่อไหร่?” แมงมุมถามกลับแทนคำตอบ เพราะมันค่อนข้างมั่นใจว่าน้ำค้างเป็นของธรรมชาติ แมงมุมก็รู้ว่ามันมีสิทธิ์กิน

เป็นเรื่องกลยุทธ์ของการโต้เถียง หากไม่ยอมรับในเหตุผลของอีกฝ่ายก็ให้สร้างเหตุผลใหม่ขึ้นมา

“น้ำค้างมีไว้สำหรับผู้ที่มีเสียงอันไพเราะเท่านั้น แมงมุมอย่างเจ้าเคยใช้เสียงขับกล่อมป่านี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” จิ้งหรีดอีกตัวช่วยเถียง

“แกไม่เหมาะสมที่จะกินน้ำค้าง” จั๊กจั่นที่เกาะบนต้นไม้แอบฟังอยู่ก็โผล่มาช่วยอีกเสียง

เมื่อความขัดแย้งในบทสนทนามาถึงจุดหนึ่ง ก็เป็นหน้าที่ของผู้ที่ถูกรุมต้องหาทางออกจากวงล้อมนั้นให้ได้

“แล้วข้ามีสิทธิ์กินอะไรได้บ้างล่ะ” แมงมุมถามกลับด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าวที่สุดเท่าที่ความกล้าหาญในตัวมันจะอำนวย ซึ่งก็ดังกว่าเสียงกระซิบเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

แล้วก็มีคำตอบลอยลงมาจากฟ้า

“เจ้าควรจะกินสิ่งที่เจ้าจับได้ในวันนี้ไงเล่า” แมลงเต่าทองบินผ่านมาผสมโรง

ถึงจะยังไม่รู้ว่าแมลงหลงทางตัวใดที่เผลอมาติดใยของมัน แต่ตอนนี้ใจของมันได้หล่นลงไปอยู่ที่ตาตุ่มเรียบร้อยแล้ว

ใยแมงมุมรูปดอกไม้สะท้อนกับแสงแดดเป็นประกาย และยิ่งในขณะที่มีเม็ดน้ำค้างเกาะอย่างในตอนนี้ เมื่อแสงส่องผ่านยิ่งดูเป็นสายระยิบระยับงดงามอย่างที่สุด จนแม้แต่ตัวของเจ้าแมงมุมเองยังเผลอนิ่งตะลึงมองในผลงานตัวเองอยู่นาน

แต่ทุกอย่างที่ว่ามาก็เหมือนกลายเป็นสีดำดับมืดลงไปในทันที เมื่อสายตาของมันมาหยุดอยู่ที่ปล้องก้อนก้นอันงอนงามที่มันคุ้นเคย

แมลงปอกำลังดิ้น

ยิ่งดิ้นใยแมงมุมนั้นก็ยิ่งพันตัวมันแน่นหนายิ่งขึ้นจนมันค่อยๆ หมดแรง

ในที่สุดใยแมงมุมก็ได้ทำหน้าที่อันแท้จริงของใยแมงมุมเสียที หลังจากที่มันใช้ผิดวัตถุประสงค์มาโดยตลอด คล้ายกับดาบที่ถูกเก็บในฝักมานานนั้นได้ลองลิ้มเลือดเข้าให้แล้ว

แมงมุมรีบกระโดดขึ้นไปยังผลงานชิ้นโบแดงของมัน

แต่ถึงแม้จะมีขาถึงแปดขาก็ไม่ได้ช่วยอะไร รีบแค่ไหนก็ยังไปไม่ทันใจอยู่ดี

แมลงปอหยุดนิ่ง ใยพันรอบตัวมันหนาแน่นจนกระดุกกระดิกไม่ได้

เมื่อแมงมุมไต่มาถึง มันพยายามรื้อใยออกจากตัวของแมลงปอ โดยหารู้ไม่ว่าการกระทำอันหวังดีของมันกำลังทำให้ใยนั้นกลับเพิ่มหนาแน่นมากขึ้น

ตอนนี้แมลงปอมีใยพันรอบตัวจนแทบมองดูเป็นก้อนเดียวเหมือนดักแด้

เหตุการณ์ในวันนี้อยู่ในสายตาขอเหล่าแมลงที่มุงดูราวกับว่านี่คือละครเวที เมื่อถึงบทสุดท้ายของโศกนาฏกรรม

จนไม่มีแมลงตัวไหนรู้ว่าประโยคสุดท้ายที่ออกจากปากแมลงปอคือคำว่าอะไร

ต่างเดากันไปต่างๆ นานา บ้างก็ล้อเลียน บ้างก็หัวเราะ บ้างก็เฉยๆ แต่นี่ก็คือวงจรชีวิต ปกติ เพราะกฎของป่าแห่งนี้ไม่อนุญาตให้นำความสงสารเข้ามา

มีเพียงแมงมุมตัวเดียวเท่านั้นที่รู้ว่าแมลงปอพูดว่าอะไร

นี่คือความเศร้าที่สุดในชีวิตเท่าที่แมงมุมตัวหนึ่งจะมีได้

“ขอโทษที่ฉันทำให้ใยที่เธออุตส่าทำมาสวยๆ พังนะ”

ที่ทุกสายตาในป่าติดตามอยู่ตอนนี้คือ แมงมุมเจ้ากรรมกำลังชักใยพันแมลงปอจนดูคล้ายกับมัมมี่ แล้วใช้จุดนั้นเป็นจุดศูนย์กลาง ในการถักโยงใยต่อขึ้นไป ยาวขึ้นไป สูงขึ้นไป และขยายความกว้างไป จนกินขนาดรัศมีกว้างใหญ่กว่าเดิมหลายเท่าตัว

ไม่มีใครรู้ว่าแมงมุมกำลังจะทำอะไร

จนกระทั่งเวลาผ่านไป

วันพ้นคืน คืนพ้นไปอีกวัน

โดยไม่หยุดพัก แมงมุมชักใยตลอดทั้งวันทั้งคืน

ล่วงเลยไปเป็นอาทิตย์ แมลงในป่าแห่งนี้ก็ได้ตะลึงกับสิ่งมหัศจรรย์ที่ลำพังอาศัยแค่เพียงสัญชาตญาณอย่างเดียวคงทำไม่ได้

มันทั้งสูงใหญ่ ประณีต และงดงามอย่างที่สุด

ราวกับอนุสรณ์สถานกลางป่า

หากจะถามว่านี่คืออนุสรณ์แห่งความรักหรือไม่ ก็คงจะไม่มีคำตอบ นอกจากปล่อยให้ปราสาทที่ทำจากใยแมงมุมหลังนี้ตอบทุกอย่างด้วยตัวมันเอง

หลังจากนั้นแมงมุมก็ไม่เคยชักใยอีกเลยจนวันตาย