วัลยา วิวัฒน์ศร : คิดถึงดาร์ตาญังกับสามทหารเสือ (จบ)

ย้อนอ่าน ตอนแรก

ผู้แปลผู้เขียนบทความบทนี้ขอคัดลอกบทสนทนาระหว่างอาโธสกับดัชเชส

เพื่อผู้อ่านจะได้รับอรรถรสเต็มเปี่ยมจากปลายปากกาของดูมาส์

“หลังจากนั้นเล่า” หล่อนถาม

“หลังจากนั้นหรือ” อาโธสทวนคำ “นี่เป็นตอนที่เล่ายากที่สุด”

“เล่ามาเถิด เล่าเถิด เล่าเลย! ท่านเล่าให้ดิฉันฟังได้ทุกเรื่อง นอกจากนี้เรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับดิฉัน ในเมื่อมันเป็นเรื่องของมาดมัวแซล มารี มิชง”

“อ้อ! ใช่แล้ว” อาโธสสนอง “เอาละ! มารี มิชง กินอาหารค่ำกับหญิงรับใช้ของเธอ หลังอาหารเธอเข้าไปในห้องนอนของเจ้าบ้านตามที่ได้รับอนุญาต ส่วนเค็ตตี้อาศัยนอนบนเก้าอี้มีพนักและเท้าแขนในห้องแรก กล่าวคือ ในห้องที่ใช้กินอาหาร”

“จริงๆ นะ เมอสิเยอร์” มาดาม เดอ เชอเวริส กล่าว “หากท่านมิใช่ปิศาจมาเอง ดิฉันก็ไม่รู้ว่าท่านทราบรายละเอียดเหล่านี้ได้อย่างไร”

“มารี มิชง คนนี้เป็นหญิงน่ารักนัก” อาโธสเล่าต่อ “เป็นหญิงฟุ้งฝันฟุ้งเฟื่องคนหนึ่งซึ่งในสมองมีแต่ความคิดอันแปลกประหลาดที่สุด เป็นหญิงที่เกิดมาเพื่อประทับตราบาปแก่พวกเราเหล่าบุรุษ ดังนี้เมื่อคิดนึกตรึกตรองว่าเจ้าบ้านเป็นพระ หญิงยวนเสน่ห์ผู้นี้ก็วาดฝันไปไกลใคร่มีความทรงจำอันเริงใจสำหรับตนในยามชรา เป็นหนึ่งในความทรงจำชวนวาบหวามทำนองเดียวกับที่เคยมีมาก่อนหลายครั้งหลายครา นั่นก็คือความทรงจำว่าได้ประทับตราบาปแก่เจ้าอาวาสสักรูป”

“เคานต์!” ดัชเชสร้อง “ดิฉันขอยืนยันด้วยเกียรติว่าท่านทำให้ดิฉันอกสั่นขวัญแขวนอยู่นะ!”

“นิจจาเอ๋ย!” อาโธสกล่าวต่อ “เจ้าอาวาสผู้น่าสงสารก็ไม่ใช่นักบุญอัมโบรส และข้าพเจ้าขอกล่าวย้ำว่ามารี มิชง ก็เป็นหญิงน่ารักน่าเชยชม”

“เมอสิเยอร์” ดัชเชสร้องพลางกุมมือทั้งสองข้างของอาโธสไว้ “บอกดิฉันมาเดี๋ยวนี้ว่าท่านรู้รายละเอียดทั้งหมดนี้ได้อย่างไร มิเช่นนั้นดิฉันจะส่งคนไปเชิญนักบวชจากอารามวิเยอซ์-ออกุสแต็งส์มาสวดขับไล่ปิศาจให้ออกจากตัวท่าน”

อาโธสหัวเราะ

“ไม่มีอะไรจะง่ายกว่านี้อีกแล้ว มาดาม อัศวินคนหนึ่งซึ่งได้รับมอบหมายภารกิจสำคัญยิ่งได้มาขอพักแรมกับเจ้าอาวาสหนึ่งชั่วโมงก่อนหน้าท่าน พอดีกับเวลานั้นมีผู้มาเชิญเจ้าอาวาสให้ไปสวดเพื่อคนใกล้ตายซึ่งท่านจำต้องออกจากที่พำนักและจากหมู่บ้านตลอดทั้งคืน ผู้รับใช้พระเป็นเจ้าผู้นี้จึงยกบ้าน อาหารค่ำและห้องนอนของท่านให้แก่ขุนนางผู้มาขอพักแรม ซึ่งท่านไว้วางใจในตัวเขาเต็มเปี่ยม ดังนั้น บุคคลที่มารี มิชง มาขออนุญาตพักแรมจึงเป็นแขกของเจ้าอาวาส มิใช่ตัวเจ้าอาวาสเอง”

“แล้วอัศวินคนนี้ แขกคนนี้ ขุนนางคนนี้ซึ่งมาถึงก่อนมารี มิชง เป็นใคร”

“ก็คือข้าพเจ้า เคานต์ เดอ ลา แฟร์” อาโธสตอบพลางลุกขึ้นยืน แล้วคำนับดัชเชส เดอ เชอเวริส อย่างให้เกียรติสูงสุด

ดัชเชสตะลึงงันไปชั่วขณะ แล้วหัวเราะลั่นทันใด

“โอย! ให้ตายสิ!” หล่อนอุทาน “เรื่องนี้น่าขันนัก แม่มารี มิชง สติเฟื่องคนนี้ได้ดีกว่าที่หล่อนคาดไว้เสียอีก เชิญท่านนั่งลงเถิด ท่านเคานต์ที่รัก และโปรดเล่าต่อเถิด”

“ตอนนี้ข้าพเจ้าจำต้องขอโทษท่าน มาดาม ข้าพเจ้าได้บอกท่านแล้วว่าข้าพเจ้าเองก็เร่งรีบเดินทางด้วยมีภารกิจด่วน เมื่อฟ้าเริ่มสางข้าพเจ้าออกจากห้องนอนไปเงียบๆ ปล่อยให้เพื่อนร่วมชายคาผู้ทรงเสน่ห์ของข้าพเจ้าหลับต่อ ในห้องแรกสาวใช้ผู้คู่ควรกับนายสาวก็หลับอยู่เช่นกัน ศีรษะหงายพิงพนักเก้าอี้ ใบหน้านั้นน่ารักสะดุดตา ข้าพเจ้าจึงเข้าไปใกล้และจำได้ว่าเป็นเค็ตตี้ซึ่งอะรามิสเพื่อนของเราฝากฝังไว้กับเธอ ดังนี้ข้าพเจ้าจึงทราบว่าสาวนักเดินทางผู้ทรงเสน่ห์คือ…”

“มารี มิชง!” มาดาม เดอ เชอเวริส เสนอทันที

“มารี มิชง” อาโธสสนอง “ข้าพเจ้าออกจากตัวบ้าน ตรงไปยังคอกม้า ม้าผูกอานเรียบร้อยแล้ว บ่าวของข้าพเจ้าก็พร้อม เราจึงออกเดินทางไป”

“แล้วท่านไม่เคยผ่านมายังหมู่บ้านนี้อีกเลยหรือ” มาดาม เดอ เชอเวริส ถามอย่างกระตือรือร้น

“หนึ่งปีต่อมา มาดาม”

“แล้วอย่างไรเล่าท่าน”

“แล้วอย่างไรหรือ! ข้าพเจ้าประสงค์จะไปเยี่ยมท่านเจ้าอาวาส ก็ได้พบท่านวุ่นอยู่กับเรื่องที่ท่านไม่เข้าใจใดๆ เลย แปดวันก่อนหน้าท่านได้รับตะกร้าใบหนึ่ง ภายในมีทารกชายน่ารักอายุสามเดือนพร้อมด้วยไถ้บรรจุเหรียญทองและจดหมายซึ่งเขียนเพียงว่า “11 ตุลาคม 1633″”

“วันเดียวกับที่เกิดเหตุการณ์ประหลาดนั่น” มาดาม เดอ เชอเวริส กล่าว

“ใช่ แต่ท่านเจ้าอาวาสไม่เข้าใจใดๆ เลย ท่านทราบเพียงแต่ว่าวันนั้นท่านไปค้างคืนที่บ้านคนใกล้ตายคนหนึ่ง เพราะมารี มิชง ก็ออกจากที่พำนักของท่านก่อนที่ท่านจะกลับมาถึง”

“ท่านทราบไหม เมอสิเยอร์ ว่าเมื่อมารี มิชง กลับมาฝรั่งเศสในปี ค.ศ.1643 เธอก็รีบให้สอบถามข่าวคราวของเด็กคนนี้ทันที ตอนที่เธอต้องหลบหนีอยู่นั้นเธอไม่อาจพาเด็กไปด้วยได้ เมื่อกลับถึงปารีสเธอก็อยากจะเลี้ยงดูเด็กคนนี้เอง”

“แล้วเจ้าอาวาสบอกว่าอย่างไรหรือ” ถึงคราอาโธสถามบ้าง

“ว่ามีขุนนางคนหนึ่งที่ท่านไม่รู้จักประสงค์จะเลี้ยงดูเด็กเองโดยให้คำมั่นว่าจะทำทุกอย่างเพื่ออนาคตของเด็กและได้พาเด็กไป”

“เป็นจริงตามนั้น”

“อ๋อ! ดิฉันเข้าใจแล้ว! ขุนนางผู้นั้นก็คือท่าน ก็คือพ่อของเขา”

“จุ๊! จุ๊! โปรดอย่าเสียงดังไป มาดาม เขาอยู่ที่นี่”

“เขาอยู่ที่นี่!” มาดาม เดอ เชอเวริส ทวนคำพลางลุกขึ้นทันที “เขาอยู่ที่นี่ ลูกชายของดิฉัน ลูกชายของมารี มิชง อยู่ที่นี่! ดิฉันอยากพบเขาเดี๋ยวนี้เลย!”

“โปรดระวังด้วย มาดาม อย่าให้เขารู้ว่าพ่อและแม่ของเขาเป็นใคร” อาโธสเตือน

“ท่านเก็บไว้เป็นความลับ แล้วท่านก็พาเขามาหาดิฉันโดยหวังจะให้ดิฉันเป็นสุข โอ! ขอบคุณท่าน เมอสิเยอร์” มาดาม เดอ เชอเวริส ฉวยมืออาโธสและพยายามจะดึงมาแนบริมฝีปากตน “ขอบคุณ! จิตใจของท่านสูงส่งยิ่งนัก”

“ข้าพเจ้าพาเขามาหาท่าน” อาโธสกล่าวพลางดึงมือกลับ “เพื่อให้ถึงคราของท่านที่จะทำเพื่อเขา มาดาม จนถึงวันนี้ข้าพเจ้าดูแลเรื่องการศึกษาของเขา และข้าพเจ้าแน่ใจว่าเขาเป็นผู้ดีเต็มตัวแล้ว แต่ตอนนี้ข้าพเจ้าเองกลับต้องใช้ชีวิตพเนจรเสี่ยงอันตรายในฐานะคนที่เลือกข้าง ตั้งแต่พรุ่งนี้ข้าพเจ้าจำต้องยุ่งเกี่ยวกับภารกิจเสี่ยงตายซึ่งข้าพเจ้าอาจถูกฆ่าได้ ดังนั้น เขาก็จะเหลือเพียงท่านที่จะช่วยผลักดันเขาให้ก้าวหน้าในสังคมซึ่งเขาควรจะมีที่มั่นอันเหมาะควรแก่เขา”

“ขอท่านสบายใจเถิด!” ดัชเชสร้อง “โชคไม่ดีที่ปัจจุบันนี้ดิฉันมีเส้นสายเหลืออยู่น้อยนัก แต่ทุกอย่างที่เหลืออยู่ของดิฉันจะเป็นไปเพื่อเขา ส่วนทรัพย์สินและบรรดาศักดิ์ของเขา…”

“สำหรับเรื่องนี้ท่านไม่มีสิ่งใดให้ต้องกังวลเลย มาดาม ข้าพเจ้าได้มอบแผ่นดินเมืองบราเฌอลอนน์ซึ่งเป็นมรดกของข้าพเจ้าให้เขา เขาจึงได้บรรดาศักดิ์ไวเคานต์และมีเงินได้รายปีปีละหนึ่งหมื่นลีฟว์ร์”

“เมอสิเยอร์” ดัชเชสกล่าว “ท่านนี้เป็นผู้ดีโดยเนื้อแท้! แหม ดิฉันใคร่จะพบไวเคานต์หนุ่มน้อยของเราเหลือเกิน เขาอยู่ที่ไหนหรือ”

“ในห้องรับแขกข้างๆ นี่ ข้าพเจ้าจะให้เขาเข้ามาตามความประสงค์ของท่าน”

อาโธสขยับจะเดินไปยังประตู มาดาม เดอ เชอเวริส หยุดเขาไว้

“เขางามไหม” หล่อนถาม

อาโธสยิ้ม

“เขาเหมือนมารดาของเขา” อาโธสตอบ

ท่านผู้อ่านคงจะได้ตระหนักถึงศิลปะการเขียนบทสนทนาในเรื่องอันละเอียดอ่อนเช่นนี้ของดูมาส์ ความสุภาพ มารยาทสุภาพบุรุษของอาโธสตลอดจนคารมคมคายท้ายบทแปลที่ตีความได้ว่า ในเมื่อมารดาเป็นคนงาม บุตรชายจะไม่งามได้อย่างไร

ทำให้ผู้เขียนบทความอดยิ้มไม่ได้ คาดว่าท่านผู้อ่านคงจะเป็นเช่นเดียวกัน

การถือกำเนิดของไวเคานต์ เดอ บราเฌอลอนน์ ได้ชุบชีวิตอาโธสให้เปลี่ยนไปจากเดิม จากคนหม่นเศร้ามองโลกในแง่ร้าย เขากลับมีชีวิตชีวาทุ่มเทชีวิตจิตใจดูแลเลี้ยงดูทารกจนเติบใหญ่ ถึงพร้อมด้วยสมบัติผู้ดีตามแบบฉบับขุนนางตระกูลสูงครบถ้วน

ในบทที่ 15 ของภาคสองนี้ดาร์ตาญังตามหาอาโธส เขากังวลว่าอาโธสที่เขาไม่ได้พบมายี่สิบปีจะแก่เฒ่าและทรุดโทรมด้วยฤทธิ์สุรา ในภาคแรกนั้นแม้อาโธสจะงามสง่า จะเชี่ยวชาญเชิงกระบี่ จะเก่งยุทธวิธี จะเป็นที่พึ่งทางใจของดาร์ตาญัง แต่เขาก็ดื่มหนักเพราะผิดหวังในชีวิตส่วนตัวของตนเอง

ทว่าในภาคนี้เมื่อได้พบกัน ดาร์ตาญังถึงกับพิศวงด้วยความยินดีที่ได้เห็นอาโธสมีหน้าตาสดใสเปี่ยมสุข เรือนร่างแข็งแรงสง่าผ่าเผยราวกับว่าเวลายี่สิบปีมิได้แผ้วพานตัวเขาเลย

เมื่อได้เห็นไวเคานต์ เดอ บราเฌอลอนน์ ซึ่งหน้าตามีส่วนคล้ายอาโธส ดาร์ตาญังก็เข้าใจทันทีว่าเหตุใดอาโธสจึงยังดูหนุ่มแน่นและมีความสุขเช่นนี้

และนี่คือเหตุผลที่อาโธสบอกดัชเชส เดอ เชอเวริส ว่า มารี มิชง มีคุณต่อเขา

ผู้เขียนบทความยังคิดถึงดาร์ตาญังกับสามทหารเสืออยู่ ในภาคแรกมิลาดีจอมวางแผนร้ายกาจจนน่ากลัว

ในภาคที่สองนี้บุตรชายของเธอร้ายเหลือร้ายกว่าผู้เป็นมารดายิ่งนัก ด้วยเขาต้องการแก้แค้นให้เธอ

ดาร์ตาญังกับสามทหารเสือและทุกคนที่เกี่ยวข้องกับการตายของมารดาคือเป้าหมายที่เขามุ่งทำลายให้ตกตายตามไป

แค่เขาปรากฏตัว ดูมาส์ก็ทำให้ผู้เขียนบทความรู้สึกสยองจนขนลุกและเป็นแรงผลักดันให้อยากถ่ายทอดประสบการณ์นี้แก่ท่านผู้อ่านในโอกาสต่อไป