ผู้เขียน | ฉานต้าหลง |
---|---|
เผยแพร่ |
ใบหน้าของโจโฉ
เรื่องสั้นรางวัลสุภาว์ เทวกุลฯประจำปี 2552
แผ่นดินที่ผมกำลังเดินย่ำต๊อกไปทำงานทุกวี่วันในเวลานี้คือ ดินแดนทางภาคเหนือของจีน พูดให้แคบลงหน่อยคืออยู่แถวๆชานกรุงปักกิ่งเยื้องไปทางทิศตะวันตก ระหว่างถนนสายหลักเส้นที่ 4 และเส้นที่ 5 เมืองหลวงของประเทศจีนในปัจจุบัน แต่ถ้าย้อนกลับไปเมื่อสมัยแผ่นดินจีนแยกเป็นสามก๊ก หรือที่ชาวจีนเรียกกันว่า ซานกั๊ว แผ่นดินตรงนี้เชื่อว่าน่าจะเป็นดินแดนของแคว้นวุย แคว้นที่มหาอุปราชโจโฉ เป็นผู้ปกครองดูแลอยู่
ผมรู้สึกปลาบปลื้มใจที่ได้มาอยู่ภายใต้แผ่นดินปกครองของโจโฉ ผมอ่านสามก๊กมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย จำได้ว่าตอนนั้นเป็นช่วงปิดเทอมขึ้นชั้นปี 2 ใช้เวลาบ่ายของวันว่าง นั่งๆ นอนๆอ่านสามก๊กฉบับพระยาพระคลัง (หน) อ่านด้วยความยากลำบาก แต่สนุกและท้าทายดีเหลือเกิน ตามมาด้วยฉบับวนิพกของยาขอบที่แยกเล่าเรื่องราวตัวละครเป็นคนๆไป ได้อรรถรสไปอีกแบบ และฉบับสุดท้ายที่ผมชื่นชอบมากที่สุด คือ ฉบับนายทุนของหม่อมคึกฤทธิ์ ที่เขียนเรื่อง
โจโฉ นายกตลอดกาล แต่เดี๋ยวก่อน… โปรดอย่าเข้าใจผิดคิดว่าผมเป็นพวกนายทุนแต่ประการใดไม่ ทุกวันนี้ยังเป็นลูกจ้าง พูดง่ายๆ เป็นขี้ข้านายทุนนั่นเอง
แต่ที่ชื่นชอบฉบับนายทุนถึงขนาดอ่านได้ 3 รอบต่างกรรมต่างวาระ เพราะมุมมองความคิดที่ผมรู้สึกกับโจโฉตั้งแต่อ่านในฉบับของพระยาพระคลังดูจะสอดคล้องตรงใจกันอย่างประจวบเหมาะกับสิ่งที่หม่อมคึกฤทธิ์เขียนไว้ในฉบับนายทุน นอกจากนั้นยังทำให้เข้าใจถึงความคิดและอุดมการณ์ของมหาอุปราชโจโฉมากขึ้น รวมถึงตัวละครสำคัญอื่นๆอย่าง ซุนกวน เล่าปี่ และขงเบ้ง ใครๆที่มองว่า โจโฉเป็นทรราช โหดเหี้ยมอำมหิตนั่น อยากให้ลองทบทวนและคิดพิเคราะห์ให้ดีอีกสักครั้ง
ถ้าไม่มีโจโฉ ป่านนี้แผ่นดินจีนในสมัยนั้นคงแบ่งเป็นกลุ่มเล็กกลุ่มน้อยมากกว่าสามกลุ่มหรือสามก๊ก และใครละที่สนองพระเดชพระคุณองค์ฮ่องเต้ปราบปรามโจรโพกผ้าเหลือง ปราบเจ้าเมืองเจ้าแคว้นต่างๆที่คิดมักใหญ่ใฝ่สูงทั้งหลายแหล่จนเหลือแต่เพียงก๊กซุนกับก๊กเล่าเท่านั้น คนๆนั้นก็คือ โจโฉ มิใช่หรือ แน่นอนว่า แม้บางครั้ง โจโฉ ซึ่งเปรียบเสมือนผู้นำสูงสุดของฝ่ายบริหารจะมีปากเสียงและล่วงเกินยุวกษัตริย์ที่เปรียบประดุจสมมุติเทพไปบ้าง แต่ถ้าคิดกันดีๆแล้ว คนที่ค้ำบัลลังก์พระองค์ให้อยู่เย็นเป็นสุข ก็โจโฉ อีกนั่นแหละ
ความจริงแล้วพระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงถูกดูหมิ่นดูแคลน และถูกใช้เป็นเครื่องมือมาตั้งแต่สมัยตั๋งโต๊ะ จนถึงลิฉุยกุยกีลูกน้องตั๋งโต๊ะ ซึ่งก็ได้โจโฉที่ยกทหารมาช่วยและอุ้มชูเทิดทูนคืนสู่บัลลังก์มังกร ซุนกวนมีไหมที่คิดจะยกทัพมาช่วยกษัตริย์ของตน ไม่เคย เอาแต่เสพสุขอยู่ที่กังตั๋ง ส่วนเล่าปี่นั่นดีแต่ทำตัวสงบเสงี่ยมเอาตัวรอดไปวันๆ ปากบอกว่าไม่แต่ใจนั้นมักใหญ่ใฝ่สูงอยู่ตลอดเวลา เดี๋ยวไปขอความช่วยเหลือจากคนนั้นเดี๋ยวไปหาคนนี้ พอไปอยู่ที่ไหนบ้านเมืองเขาก็วุ่นวายเดือดร้อนทุกที่ และถ้าไม่ได้ขงเบ้งเข้ามาช่วย เล่าปี่จะไม่ได้เกิด
เมื่อฮ่องเต้ซึ่งเป็นเจ้าชีวิตสูงสุดอยู่เหนือสิ่งใดทั้งปวง กับอุปราชซึ่งเรียกได้ว่า เป็นผู้นำในการบริหารบ้านเมืองมาอยู่ด้วยกัน มันต้องมีบ้างเป็นธรรมดาที่จะมีความคิดเห็นที่ขัดแย้งกัน โดยเฉพาะเมื่อมีคนคอยยุยงส่งเสริม และฮ่องเต้อย่างพระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงเชื่อคนที่คอยยุยงมากกว่าคนที่ถวายงาน มักจะคิดว่า ผู้นำรัฐบาลคอยจะรวบอำนาจของพระองค์อยู่ร่ำไป จนบางทีฮ่องเต้กระทำรัฐประหารถอดถอนรัฐบาลที่ตัวเองตั้งมากับมือก็มีอยู่บ่อยๆ ดังที่พระเจ้าเหี้ยนเต้พยายามทำอยู่เนืองๆ
และเมื่อโจโฉจับได้ไล่ทัน มันเลยกลายเป็นว่า โจโฉนั้นมักจะดูหมิ่นดูแคลนและไม่เกรงกลัวพระเจ้าเหี้ยนเต้ในหลายครั้งหลายครา แต่นั่นแหละ ลองมาเป็นโจโฉดูสิ จะรู้สึกอย่างไร รบทัพจับศึกมามากต่อมากคิดจะรวบรวมแผ่นดินฮั่นให้เป็นปึกแผ่น อยู่ดีๆฮ่องเต้เล่นแทงข้างหลัง เป็นใครจะไม่โกรธ ไม่ถอดถอนพระองค์แล้วตั้งตนเป็นกษัตริย์เสียเองดีเท่าไหร่แล้ว ใช่ครับ… โจโฉไม่เคยทำอย่างนั้น รับใช้ฮ่องเต้และสนองคุณแผ่นดินตราบจนตัวตาย เป็นผู้นำรัฐบาลที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างถูกต้องจากกษัตริย์ ผิดกับเล่าปี่และซุนกวนที่ยกตัวเองขึ้นมาเป็นเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน และนี่คือคุณค่าและความดีของโจโฉที่ผมมองเห็น
ถือเป็นโอกาสดีที่ผมได้มาทำงานที่ประเทศจีน ผมอยากจะพูดคุยสอบถามเกี่ยวกับเรื่องราวของสามก๊กกับเพื่อนชาวจีนมานานแล้ว มุมมองเกี่ยวกับเจ้าแคว้นทั้งสามคน โดยเฉพาะ โจโฉในสายตาของลูกหลานเชื้อสายเดียวกันนั้น พวกเขาคิดเห็นกันอย่างไร ผมอยากรู้จริงๆ
ผมมองหาคู่สนทนา ลองพูดคุยกับเพื่อนในสถานีวิทยุนานาชาติจีนหน่วยภาษาไทยปรากฏว่า ส่วนใหญ่ไม่เคยอ่านสามก๊ก แต่เคยอ่านสี่แผ่นดิน เหตุผลที่อ่านเพราะอาจารย์บังคับให้อ่านตั้งแต่สมัยเรียนภาควิชาภาษาไทยในมหาวิทยาลัย ส่วนสามก๊กนั้น เคยอ่านแค่หนึ่งหรือสองตอนสมัยเรียนชั้นมัธยม เพราะในตำราเรียนบังคับให้อ่านจากนั้นก็ลืม แต่ถ้าใครสนใจต้องไปหาอ่านเอาเองซึ่งปรากฏว่า ไม่ค่อยมีใครสนใจสักเท่าไหร่ ผมฟังแล้วอดสะท้อนใจไม่ได้ นึกๆแล้วคล้ายกับบ้านเรา สิ่งที่มีคุณค่าของบรรพบุรุษลูกหลานมักจะลืมเลือน…
วันหนึ่งหลังจากที่ผมบันทึกเสียงรายการสัมผัสชีวิตจีนเสร็จ ออกมายืนฟังเสียงตัวเองที่ห้องตัดต่อเผื่อมีอะไรจะต้องแก้ไข รายการนี้ซีซีเป็นคนเขียนบท เนื้อหาจะบอกเล่าถึงวิธีการทำอาหารแปลกๆของชาวจีน นอกจากนั้นยังสอดแทรกเกร็ดประวัติศาสตร์ ตำนาน และเรื่องเล่าที่เกี่ยวข้องกับอาหารชนิดนั้นด้วย อย่างเช่น บะหมี่เสือมังกรก็มีประวัติที่เกี่ยวโยงกับเปาบุ้นจิ้นแห่งศาลไคฟง เป็นต้น
ขณะที่ซีซีกำลัง่วนกับการตัดต่อบทอยู่นั้น ผมถามขึ้น
“ซีซี เคยอ่านสามก๊กหรือเปล่า ซานกั๋วนะ” ซีซีเป็นตัวแทนของคนรุ่นใหม่ เพิ่งเรียนจบทางด้านภาษาไทยและวรรณกรรม จากนั้นมาเข้าทำงานที่นี่ เธออาจจะสนใจวรรณกรรมบ้านเกิดตัวเองบ้าง
“เคยค่ะอาจารย์” เธอว่า
นั่นไง เจอแล้ว คนอ่านสามก๊ก ผมไม่ปล่อยโอกาส ถามต่อทันที
“อ่านทั้งเล่มเลยใช่ไหม”
“อ๋อ ใช่ค่ะ” เธอหันมามองผม “ตอนเด็กๆ พ่อแม่หนูออกไปทำงาน ปล่อยให้คุณยายเลี้ยง ยายนั่งเล่าสามก๊กให้ฟัง โตขึ้นเลยหามาอ่านเองนะค่ะ”
“อือ… ดีจังเลย” ผมว่าน้ำเสียงชื่นชม
“ซีซี สามก๊กฉบับภาษาจีนเขาเขียนถึงโจโฉ ซุนกวน เล่าปี่ ยังไงบ้าง”
ซีซีไม่ตอบทันที แต่แล้วพูดขึ้น “เล่าปี่เป็นคนดี มีเมตตา ซุนกวนไม่ชอบยอมแพ้ใคร แต่ไม่เด็ดขาด ส่วนโจโฉเป็นคนอำมหิต โหดร้ายแต่ฉลาดค่ะ”
ผมเงียบ แล้วพูดขึ้น “ทำไมถึงคิดอย่างนั้นละ เล่าปี่นะไม่เห็นทำอะไรเลย ดีแต่คอยให้คนอื่นช่วย ซุนกวนก็ได้พ่อกับพี่ชายกรุยทางมาให้จนตัวเองขึ้นเป็นเจ้าเมือง” ผมหยุดนิดหนึ่งและพูดต่อ “แต่โจโฉสิรวบรวมไพร่พล ปราบเจ้าแคว้นที่คิดเป็นใหญ่ทั้งลิโป้ อ้วนเสี้ยว อ้วนสุด และอีกตั้งหลายคนจนเกือบจะรวมแผ่นดินได้”
“ค่ะ โจโฉเป็นคนเก่งและฉลาด แต่โหดเหี้ยม ฆ่าคนอย่างเลือดเย็น” เธอยังยืนยันคำพูดเดิม
“ไม่หรอก เล่าปี่ต่างหากที่เลือดเย็นกว่า ประเภทปากปราศรัยน้ำใจเชือดคอเลยเชียวละ จำได้ไหม เมื่อตอนที่เดินทัพหนีโจโฉ เอาราษฎรมาเป็นเกราะกำบังให้ตัวเองกับพวกรอดไปจนถึงสะพานเตียวปันเกียวไง” ผมไม่ยอม
“ราษฎรรักเล่าปี่ แต่กลัวโจโฉเลยอพยพตามเล่าปี่มานะค่ะอาจารย์” เธอว่าน้ำเสียงจริงจังขึ้น
“ซีซีเชื่อตามหนังสือเหรอ” ผมไม่ลดละ ซีซีหันมามองผม
“ก็เรื่องราวในหนังสือมันเป็นอย่างนั้นนี่คะ” เธอหยุดนิดนึงและพูดต่อ “อาจารย์อ่านสามก๊กเล่มไหนมานะค่ะ”
ผมเงียบ ไม่ตอบ ขี้เกียจเถียงกับเด็กรุ่นหลัง แต่ในใจยังไม่ยอมแพ้ ยังไงเสียต้องหาคนที่คุยเรื่องสามก๊กและเข้าใจในตัวโจโฉได้บ้าง จะไม่มีสักคนเลยหรือลูกหลานชาวจีน
วันนี้เป็นวันพุธ ผมมาทำงานประมาณเก้าโมงตามปกติ ทำงานได้ไม่นานได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาหา ผมเงยหน้ามอง คุณลิ่วต้าโหย่วนั่นเอง ผมยกมือไหว้และกล่าวสวัสดี
“สวัสดีอาจารย์ สบายดีไหม” คุณลิ่วรับไหว้และยิ้มตอบ เราทักทายกันตามปกติ คุณลิ่ว ต้าโหย่วเป็นผู้อาวุโสของหน่วยภาษาไทย ความจริงแกเกษียณไปแล้ว แต่ทุกวันพุธจะเข้ามาทำรายการเรียนภาษาจีนกับซีอาร์ไอเป็นประจำ ซึ่งมักจะเข้ามาพูดคุยทักทายผมเสมอ และหลังจากทำรายการเสร็จสิ่งที่คุณลิ่วทำเป็นประจำคือ นั่งอ่านข่าวหนังสือพิมพ์ทั้งภาษาจีนและภาษาไทย
ที่หน่วยของเรารับหนังสือพิมพ์ภาษาไทยสามฉบับ เป็นหัวสีรายวันหนึ่งฉบับ แนวการเมืองรายวันอีกหนึ่งและการเมืองรายสัปดาห์อีกฉบับ แต่จะส่งมาล่าช้าออกไปประมาณ4-5วัน ซึ่งคนรุ่นผมจะนิยมอ่านข่าวจากอินเทอร์เน็ตมากกว่า หลังจากอ่านหนังสือพิมพ์ได้สักพัก ช่วงก่อนเที่ยงเล็กน้อยจะเป็นจังหวะพอดีกับที่ผมตรวจข่าวและบทรายงานช่วงเช้าเสร็จ
คุณลิ่วมักจะเข้ามาชวนคุยเรื่องการบ้านการเมือง โดยเฉพาะการเมืองในประเทศไทย แกชอบถามและแสดงความคิดเห็นอย่างนั้นอย่างนี้ พวกนี้เป็นกลุ่มไหน คนนั้นเป็นพวกใคร ทำไมทำอย่างนั้นอย่างนี้ ผมพูดคุยสนองตอบไปด้วยอัธยาศัยอันดี เพราะอย่างน้อยก็มีเพื่อนคุยและให้ความสนใจไต่ถามถึงบ้านเมืองของเรา แต่วันนี้ผมเป็นฝ่ายเริ่มบ้าง
จำได้ว่า เคยถามคุณลิ่วว่าเคยอ่านสามก๊กหรือไม่ ซึ่งแกตอบว่าเคย แต่ยังไม่ทันได้ถามอะไรต่อ คุณลิ่วชิงพูดเรื่องการเมืองที่บ้านเราไปเสียทุกที คุยกันได้สักพักพอได้เวลาเที่ยงกว่าแกก็กลับ ผมเลยอดซักถามต่อ วันนี้ผมต้องเริ่มก่อน ผมตรวจงานเสร็จเร็วกว่าปกติ รอจนคุณลิ่วตรวจบทเสร็จก็เดินเข้าไปหาที่โต๊ะ
“เสร็จแล้วหรือครับ” ผมว่า
“อ้อ…เสร็จแล้วครับ” คุณลิ่วหันมอง แกคงจะงง เพราะทุกทีจะเป็นฝ่ายเดิมไปหาผม
“คุณลิ่วเคยบอกว่า เคยอ่านสามก๊ก” ผมเริ่ม “อ่านจบทั้งเล่มเลยใช่ไหมครับ
แกยิ้ม “ใช่ครับ มีอะไรหรืออาจารย์”
“ผมสงสัยว่า หนังสือสามก๊กของจีนเขาเขียนถึงโจโฉ เล่าปี่และซุนกวนอย่างไร”
คุณลิ่วยิ้มอย่างผู้ใหญ่ใจดี ก่อนตอบ “คงเหมือนกันละครับ เพราะไทยแปลมาจากจีน” ผมนิ่งไปก่อนถามต่อ “แล้วคุณลิ่วคิดว่า เจ้าแคว้นทั้งสามคนเป็นอย่างไรครับ” ผมยิงตรงประเด็น
“ผมว่าซุนกวนไม่ค่อยมีบทบาทเท่าไหร่ แต่เป็นตัวแปรสำคัญของทั้งฝ่ายโจโฉและเล่าปี่ ใครจะได้เปรียบเสียเปรียบอยู่ที่ซุนกวงจะเอนเอียงเข้าข้างไหน เล่าปี่เป็นคนที่มีจิตใจดี รักคุณธรรม แต่อาจดูอ่อนแอไปบ้าง ก็ได้ขงเบ้งเข้ามาช่วย ส่วนโจโฉเป็นคนฉลาด เด็ดเดี่ยว รู้จักรุก รู้จักถอย แต่โหดเหี้ยม อำมหิต ลุแก่อำนาจ แต่ยังฉลาดสู้ขงเบ้งไม่ได้” คุณลิ่วว่าเรียบๆ ผมว่าต่อ
“แต่ผมว่า โจโฉมีบทบาทในการปราบปรามเจ้าแคว้นและรวบรวมแผ่นดินมากกว่าเล่าปี่และซุนกวนนะครับ”
“ใช่ๆ โจโฉเก่งทั้งบุ๋นและบู๊ แต่ปราบปรามอย่างเลือดเย็น ไม่ฟัง ไม่สนใจใครทั้งนั้น ราษฎรเดือดร้อนล้มตายเป็นเบือ เล่าปี่เป็นคนดี ทำอะไรคิดหน้าคิดหลัง ลังเลเลยโตช้า ส่วนซุนกวนก็คิดแต่รักษากังตั๋งกับพื้นที่รอบๆชายแดนของตน ไม่จำเป็นไม่ยอมออกมา”
“แต่โจโฉมีความดีตรงที่ ไม่เคยถอดถอนพระเจ้าเหี้ยนเต้ ตั้งตัวเป็นกษัตริย์นะครับ ไม่เหมือนเล่าปี่กับซุนกวนที่ตั้งตัวเป็นเจ้าเสียเอง” ผมยังไม่ยอม
“ความจริงแล้วผมว่า ถ้าโจโฉรวบรวมแผ่นดินได้สำเร็จคงจะถอดถอนพระเจ้าเหี้ยนเต้แน่ๆ แต่นี่ยังทำไม่สำเร็จก็มาตายไปเสียก่อน พอโจผีลูกชายขึ้นแทนก็ถอดพระเจ้าเหี้ยนเต้ และตั้งตัวเป็นพระเจ้าโจผี ก๊กอื่นๆเขาก็เอาบ้างสิ”
ผมเงียบ พูดไม่ออกแต่ในที่สุดก็พูดขึ้น “คุณลิ่วครับ ถามจริงๆเถอะ คนเขียนสามก๊กของจีนนี่เป็นพวกเล่าปี่ใช่ไหม” คุณลิ่วมองผมแล้วลุกขึ้นยืนพร้อมกับพูดขึ้น
“ไม่ใช่หรอกครับอาจารย์ เขาเขียนไปตามเกร็ดประวัติศาสตร์นะ เรื่องราวเป็นมาอย่างไรก็เขียนไปอย่างนั้น ไม่บิดเบือนหรอก” พูดจบ คุณลิ่วกล่าวลาและเดินออกไป ผมยังยืนเท้งเต้งอยู่ตรงนั้น รู้สึกผิดหวัง ค่อยๆเดินคอตกกลับไปนั่งที่โต๊ะทำงาน
“อาจารย์ เที่ยงกว่าแล้วไม่ไปทานข้าวเหรอ” อาชางที่นั่งติดกันถามขึ้น
“อาชางเคยอ่านสามก๊กไหม” ผมถามออกไปอย่างไม่ค่อยใส่ใจ
อาชางอ่อนกว่าผมหลายปี เป็นคนหนุ่มที่เพิ่งจบการศึกษาได้ไม่นาน อาจจะเคยอ่านหรือไม่เคยก็ได้ ผมไม่หวังอะไรมากนัก
“ซานกั๊วใช่ไหม เคยอาจารย์ แต่เป็นฉบับการ์ตูนญี่ปุ่นนะ” อาชางว่า
“ไม่เป็นไร การ์ตูนก็เหมือนกัน แล้วโจโฉเป็นยังไง” ผมว่า อาชางหยุดนิดหนึ่ง
“ดีอาจารย์ ผมชอบ“
“หา…” ผมตาลุกวาว ขยับตัวตั้งตรงและว่า “ดีนี่หมายถึง…”
“เป็นตัวร้ายที่ดีมาก ทั้งโหด อำมหิต เลือดเย็นและตายยาก เรียกว่า ครบๆ…อะไรนะอาจารย์”
“ครบเครื่อง” ผมว่าเสียงเนือยๆ ไม่พูดอะไรต่อ นั่งหันหน้าออกไปนอกหน้าต่าง มองดูท้องฟ้าเหนือดินแดนแคว้นวุยในอดีต แล้วก็ลอบถอนใจ เฮ้ย… นี่ถ้าเป็นเกมฟุตบอลผมโดนไปสามลูกเต็มๆ คิดแล้วปวดใจแทนโจโฉ จะหาลูกหลานที่รักใคร่เทิดทูนในปักกิ่งคงจะยากเต็มที หรือว่าจริงๆแล้วผมเองที่หลงผิดมาโดยตลอด คงต้องลองกลับไปคิดทบทวนใหม่เสียแล้ว
อาชางลุกเดินออกไป ผมยังนั่งอยู่ที่เดิม จู่ๆ คุณลิ่วเดินหน้ายิ้มตรงเข้ามาหา แกจะกลับมาทำไมอีกหนอ ผมไม่มีอารมณ์จะต่อปากต่อคำด้วยแล้ว
“อาจารย์ อย่ามาสนใจสามก๊กของจีนอยู่เลย” แกว่ายิ้มๆและหยุดนิดนึง “สามก๊กที่บ้านเมืองอาจารย์น่าสนุกกว่าเยอะ ผมเพิ่งนึกได้ตอนเดินออกไปเมื่อกี้นี้ มันอดไม่ได้ เลยกลับมาใหม่”
“มีอะไรหรือครับ” ผมยังนั่งอยู่ที่เดิม ตอบแกไปเนือยๆ ไม่ตื่นเต้นด้วย
“ตอนนี้ที่เมืองไทยนะแบ่งเป็นก๊ก เป็นสี เป็นเหล่าเยอะไปหมด อาจารย์รู้ไหม มีทั้งอำนาจเก่า อำนาจใหม่ และล่าสุด เรียกๆอะไรดีละ เออ… สมานฉันท์ก๊กดีกว่า ก๊กหลังนี่ถือเป็นแนวร่วม ตัวแปรสำคัญเลย แต่ส่วนใหญ่หน้าเก่าๆเขี้ยวลากดินกันทั้งนั้น เพื่อผลประโยชน์แล้วสามารถเข้ากับทุกกลุ่มทุกฝ่ายได้เป็นอย่างดี อาจารย์ว่าไหม เชื่อผมเถอะ การเมืองไทยยังวุ่นวายไปอีกนาน” คุณลิ่วว่า ผมมองแกอย่างทึ่งๆ พยักหน้าเห็นด้วย
นั้นสิ ไม่ต้องไปดูที่ไหนอื่นไกล บ้านเมืองของผมเอง ทุกวันนี้มีทั้งรอยร้าว รอยแตกแยก และความบาดหมางฝังลึกอยู่ในจิตใจของทุกผู้คน ทุกกลุ่มทุกฝ่ายล้วนมีบาดแผลและต่างเจ็บปวด ถ้าไม่รีบแก้ไข ทุกอย่างอาจจะสายเกินไป
“อาจารย์ลองทายสิ กลุ่มก๊วนทั้งหลายแหล่ที่เกิดขึ้น มีก๊กไหนที่เปรียบได้กับแคว้นวุยของโจโฉ” คุณลิ่วยิงคำถามใส่ผมเข้าให้แล้ว
ผมหลับตา… นั่งหน้าตึงนึกถึงใบหน้าของโจโฉเมืองไทย ก่อนจะตอบออกไปอย่างเสียไม่ได้