ทางขึ้นสวรรค์ของคนหลังคาโลก | ‘ปักกิ่งไม่อิงนิยาย’

ทางขึ้นสวรรค์ของคนหลังคาโลก  | ฉานต้าหลง

มนุษย์เรามีโชคชะตาของแต่ละคน แต่โดยรวมแล้วมีทุกข์สุขเศร้าคละเคล้ากันไป และส่วนใหญ่เชื่อได้ว่า เมื่อถึงเวลาอันสมควรก็มีแต่อยากจะเดินทางไปสวรรค์ด้วยกันทั้งนั้น คงไม่มีใครอยากลงดิน ลงน้ำ จมอยู่ในกะทะทองแดงเวียนว่ายไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดกันหรอก มีแต่อยากจะขึ้นไปสูงๆ สูงที่สุดเท่าที่จะไปได้ เรื่องแบบนี้คงต้องถามพวกนักการเมือง เพราะพวกนี้มักจะไม่ค่อยพอใจในสิ่งที่ตัวมีสักเท่าไหร่ อยากได้ อยากมี อยากจะอยู่แต่ในที่สูงๆตลอดเวลา เลยกินไม่รู้จักอิ่ม ไม่รู้จักพอ แต่ช่างเถอะ อย่าไปพูดถึงคนพวกนี้ให้หนักและหน่ายหัวเสียเปล่าเลย

ผมนั่งคิดอะไรเพลินไปเรื่อยเปื่อยในยามเที่ยงวันที่ลมแสนจะแรง หนาว และแดดหุบ ในห้องทำงานของหน่วยภาษาไทย ประจำสถานีวิทยุนานาชาติจีนชานกรุงปักกิ่ง อากาศในเดือนตุลาคมอุณหภูมิลดต่ำลงเรื่อยๆ เพื่อนๆชาวจีนบอกว่า ลมหนาวมาแล้วและเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น ผมได้แต่ส่ายหน้า เพราะไม่ชอบอากาศหนาว แต่จะทำอย่างไรได้ ยังไงเสียก็หนีไม่พ้นอยู่ดี แล้วจะคิดมากไปทำไม แต่วันนี้ขอหลบอยู่บนตึกที่ทำงานก่อนดีกว่า

วันนี้ผมรู้สึกมึนๆเลยไม่อยากเดินตากลมไปที่โรงอาหาร อย่าคิดว่าผมอ่อนแอนะครับ ลมที่เมืองจีนไม่เหมือนที่บ้านเรา พอเดินออกนอกชายคาตึก สายลมแรงปะทะเข้ามาจนเย็นและชาไปทั้งตัวโดยเฉพาะใบหน้า เสื้อแจ็กเก็ตที่สวมอยู่ต้องรูดซิบปิดถึงคอ ปกเสื้อจับตั้งขึ้นพอกันลมได้บ้าง สองมือซุกหาไออุ่นในกระเป๋าแจ็คเก็ตและสองเท้าก้าวยาวๆเดินต้านแรงลม รีบเดินให้ไวเพื่อให้ถึงจุดหมายโดยเร็ว พอย่างเข้าหน้าหนาวพวกแมวจรจัดที่มาป้วนเปี้ยนแถวที่ทำงานก็ไม่โผล่มาให้เห็น มันคงจะไปหาที่หลบตามซอกหลืบของตึกเหมือนกับที่ผมฝากเพื่อนซื้ออาหารกล่อง และอยู่โยงเฝ้าแผนกในตอนกลางวัน

แต่ผมไม่ได้อยู่คนเดียว มีคุณจางปาง หนุ่มจีนผิวขาว ร่างสูง พุงใหญ่  และรู้สึกว่าพุงกะทิของคุณจางจะใหญ่ขึ้นกว่าตอนที่เจอกันใหม่ๆเสียด้วย คุณจางเลิกทานมื้อกลางวันมาเป็นเดือนแล้ว ใครๆเขาลงไปทานข้าวกัน คุณจางจะอยู่โยงเฝ้าห้อง บางทีทานข้าวขึ้นมาก็เห็นแกฟุบหลับอยู่บนโต๊ะทำงาน คุณจางตั้งใจแน่วแน่ว่าจะลดน้ำหนักลงให้ได้ แต่วันนี้มีคนกลัวลมหนาวเมืองจีนอย่างผมอยู่เป็นเพื่อน

เรานั่งกันคนละแถว หันหน้าชนกันแต่เยื้องไปคนละมุม คุณจางคงจะเห็นผมนั่งอยู่เงียบๆ แกถอดหูฟังเพลงแล้วเดิมมาหา ผมยิ้มให้ คุณจางพูดขึ้น “ไม่ไปทานข้าวหรือครับ”

“ฝากคุณหลี่มี่ซื้อนะครับ มันมึนๆหนาวๆยังไงก็ไม่รู้” ผมว่า

“อากาศเปลี่ยนแล้วครับอาจารย์ ต้องไปซื้อเสื้อหนาวแล้ว”

“ผมมีแจ็คเก็ตอยู่สองตัว” คุณจางมองแจ็คเก็ตของผมก็ส่ายหัวบอกว่า ไม่พอหรอก ต้องไปซื้อเสื้อขนเป็ดและเสื้อชั้นในสำหรับหน้าหนาวด้วย และว่าถ้าไม่ติดธุระวันหยุดนี้จะพาไปซื้อ ผมกล่าวขอบคุณ

“ไม่ต้องอาบน้ำบ่อยนะครับ อากาศแห้ง วันละหนก็พอหรือจะวันเว้นวันก็ได้ ตามสะดวก” คุณจางว่าเรียบๆ

“เออ… มันไม่ชินนะครับ ต้องอาบ”

“อาบแล้วจะยิ่งแห้งและคันนะครับ เชื่อผมเถอะ ไม่เป็นไร ไม่มีเหงื่อ ไม่ต้องอาบ” คุณจางว่าและยิ้มก่อนพูดต่อ “อาจารย์รู้ไหมคนทิเบตเขาอาบน้ำกันกี่หน ทั้งชีวิตนะ” คุณจางตั้งคำถามใส่ผมเข้าให้ ผมนิ่งคิด

“เคยได้ยินว่า เมื่อก่อนเวลาอากาศหนาวคนจีนจะอาบน้ำที 15 วันครั้ง หรืออาทิตย์ละครั้ง แต่ทิเบตอยู่สูงกว่า หนาวกว่า เอาเป็นเดือนละครั้งแล้วกัน” ผมเดาส่ง

“ผิดคร้าบๆ” คุณจางยิ้มแบบมีชัย “คนทิเบตเขาอาบน้ำกัน 3 ครั้งในชีวิต ครั้งแรกตอนเกิดมามีคนอาบให้ ครั้งที่สองตอนแต่งงาน อันนี้อาบเองและนานหน่อย ครั้งที่สามตอนเสียชีวิตก็มีคนอาบให้อีก สรุปแล้วอาบเองหนเดียว” คุณจางว่ายิ้มๆ

“ล้อเล่นน่า” ผมอุทานและอึ้งไปกับคำตอบของเพื่อนชาวจีนและว่า “เขาอาจจะเช็ดตัวเอาก็ได้นะ ถึงเขาไม่อาบ ก็มันหนาวนี่ครับ”

“ไม่หรอกอาจารย์ ผมเพิ่งไปมา พิสูจน์มาแล้ว” คุณจางทำท่าเอามือปิดจมูก “กลิ่นแรงจริงๆที่นั่น” ผมเพิ่งนึกได้ว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผานมา คุณจางเดินทางไปทำข่าวที่ทิเบตและเพิ่งกลับมาไม่กี่วันนี้เอง

ทิเบต หรือดินแดนที่ได้ชื่อว่า หลังคาโลก เป็นเขตปกครองตนเองหนึ่งในห้าของจีนแผ่นดินใหญ่ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของจีน ภูมิประเทศเป็นที่ราบสูง มีความสูงจากระดับน้ำทะเลกว่า 4,000 เมตร มีอากาศที่หนาวเย็นและแห้งแล้ง หน้าหนาวอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ -20 ถึง 10 องศา ส่วนหน้าร้อนอุณหภูมิก็ยังต่ำกว่า 10 องศาอยู่ดี แต่ทางตอนใต้และตะวันออกซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองลาซา เมืองท่องเที่ยวสำคัญ จะมีอากาศอบอุ่นกว่าเล็กน้อย ประชาชนส่วนใหญ่ในทิเบตเป็นชาวจั้งหรือชาวทิเบต รองลงมาเป็นชาวจีนฮั่น ซึ่งมีอยู่ไม่มาก มีภาษาเป็นของตัวเองคือ ภาษาจั้ง

นั่นเป็นข้อมูลของทิเบตที่เคยผ่านตาจากหนังสือท่องเที่ยวหรือในอินเทอร์เน็ต ที่สำคัญทิเบตยังมีสิ่งที่น่าสนใจอีกมากมายหลากหลาย อาทิ พระราชวังโปตาลาที่ยิ่งใหญ่และสูงสง่า ตั้งตระหง่านอยู่บนดินแดนหลังคาโลก เทศกาลชอตันหรือเทศกาลกินนมเปรี้ยว ประเพณีคลี่ภาพพระพุทธรูปที่วัดเจปุง รวมถึงทิวทัศน์ที่งดงามไม่เหมือนใคร และความเป็นเอกลักษณ์ทางศิลปวัฒนธรรมของชาวทิเบต ตัวผมเองตั้งใจไว้ว่า จะต้องเดินทางไปเหยียบดินแดนหลังคาโลกแห่งนี้ให้ได้สักครั้งถ้ามีโอกาส

“สวยไหมครับ” ผมถามคุณจาง แต่แกกลับทำหน้างง “ทิเบตนะ สวยไหม” ผมย้ำ

“อ๋อ… ก็สวยครับ วังโปตาลาสวยและยิ่งใหญ่มาก แต่เข้าไปข้างในแล้วมันมืดๆทึมๆ ดูน่ากลัวยังไงไม่รู้” คุณจางว่าและพูดต่อ “แถมไม่ให้ถ่ายรูปด้วย”

“เอ…เหมือนคุณจางจะไม่ค่อยชอบทิเบตน่า” ผมแซวเพื่อนชาวจีน คุณจางส่ายหัวและว่า

“ไม่เลยๆ อยากไปมานานแล้วเหมือนกัน” คุณจางพูดพร้อมส่ายหัวและพูดต่อ “อย่าไปสนใจเรื่องที่รู้ๆกันอยู่เลยอาจารย์ นี่ดีกว่า ผมเห็นมากับตา” คุณจางหยุดพูดแล้วมองมาที่ผมแบบไม่ยิ้ม

“ก็อะไรเล่าครับ” ผมถาม

คุณจางไม่พูด แต่ส่งรูปมาให้ผมดู เป็นภาพของแม่น้ำสายหนึ่งซึ่งอยู่ติดกับเนินดินสูงขนาดภูเขาลูกเล็กๆ เหนือเนินดินมีผ้าหลากสีห้อยยาวเป็นสายลงมา ผมดูแล้วไม่เห็นมีอะไรจึงมองหน้าเพื่อนชาวจีนและว่า

“ภาพทิวทัศน์ธรรมดา แถมไม่สวยด้วย” ผมแซวกลับ

“ก็จะให้มันสวยได้ยังไงละคร้าบ มันเป็นที่ทำพิธีและผมก็แอบถ่ายมา ปกติเขาไม่ให้ถ่าย ให้ยืนดูอยู่ห่างๆ” คุณจางว่า

“พิธีอะไรครับ”

“พิธีส่งคนตายขึ้นสวรรค์” ผมฟังแล้วนึกฉงน ชาวทิเบตเขาจะส่งคนตายขึ้นสวรรค์กันอย่างไรคงจะฝังหรือเผาตรงเนินดินติดแม่น้ำนี้กระมัง

“เขาทำอย่างไรครับ” ผมถาม

“อาจารย์ทายสิ” นั่นปะไร เล่นให้ผมทายปัญหาอีกแล้วนะคุณจาง

“ก็คงจะฝังหรือเผากันตรงนั้นใช่ไหมครับ ลมจะได้พัดเอาเถ้ากระดูกลอยขึ้นฟ้าไปถึงสวรรค์” ผมเดาส่งไปอีก

“ผิดอีกแล้วคร้าบ” คุณจางยิ้มอย่างมีชัย

“แล้วอะไรละ อย่าโยกโย้น่า” ผมว่า

“เขาชำแหละศพกันตรงนั้นครับ จะมีคนมาจัดการ เริ่มจากผ่าสมองก่อน   มันสมองจะเอาไปวางให้พญาแร้งกิน ที่นั่นจะมีฝูงแร้งเป็นร้อยบินวนเวียนคอยท่าอยู่ ในฝูงจะมีแร้งตัวใหญ่เป็นหัวหน้า มันจะได้กินมันสมองคนตาย เปลือกกะโหลกจะให้ญาติเก็บไว้เป็นที่ระลึก” คุณจางหยุดและพูดต่อ “จากนั้นจะชำแหละทีละชิ้น ทีละส่วน วางให้แร้งกินบ้าง เทลงแม่น้ำให้ปลากินบ้าง คนพวกนี้ชำแหละเก่งมาก คือ เลือดสักหยดก็ไม่ให้เหลือตกถึงพื้นดินเลย พิธีนี้จะทำกันตั้งแต่เช้าตรู่จนถึงเที่ยงวันเท่านั้น”

ผมอึ้ง พูดไม่ออก นึกภาพตามที่เพื่อนชาวจีนเล่าแล้วรู้สึกสยองขึ้นมา

“ที่นั่นเขาเชื่อว่า ถ้าให้แร้งและปลากินจะเป็นการคืนชีวิตสู่ธรรมชาติ ตอบแทนธรรมชาติ จะได้กลับขึ้นสวรรค์นะครับ ผู้ใหญ่จะให้แร้งกินเป็นส่วนใหญ่ เหลือเศษให้ปลากินบ้าง ส่วนเด็กต่ำกว่า 12 ปี จะให้ปลากินอย่างเดียว วิธีเผาจะใช้กับคนจน ส่วนวิธีฝังดินจะใช้กับคนไม่ดี คนที่ทำผิดประเพณีของเขา ถ้าตายแล้วถูกฝังดิน เขาเชื่อว่าจะไม่ได้ไปสวรรค์” คุณจางหยุดพูดและว่า

“เป็นไงสยองดีไหมอาจารย์” ผมได้แต่พยักหน้ารับและว่า

“วัฒนธรรมความเชื่อของแต่ละท้องที่ไม่เหมือนกัน มีอะไรแปลกๆเยอะนะครับ” ผมหยุดและพูดต่อ “ว่าแต่คุณจางเผลอไปกินปลาที่ทิเบตบ้างหรือเปล่าละ”

“โอ้ย…ไม่ไหว กินไม่ลงครับ” คุณจางส่ายหัวไปมา

ขณะที่ผมคุยกับคุณจางอยู่นั้นคุณหลี่มี่และเพื่อนๆในหน่วยอีกสองคนก็เดินเข้ามาพอดี คุณหลี่มี่เดินตรงเข้ามาหา

“ข้าวมาแล้วค่ะ คงหิวแย่” คุณหลี่มี่พูดต่อ “ได้ของที่อาจารย์ชอบด้วย”

ผมรับกล่องข้าวมาและกล่าวขอบคุณ

“ไปละครับ ไม่กวนละ” คุณจางว่า

“ทานด้วยกันไหม” ผมชวน คุณจางส่ายหัว ทำหน้าเบ้

“ไม่ละครับ แฟนผมบอกให้ลดพุง ไม่งั้นจะเลิกคบ” คุณจางว่า

“นรกจริงๆเลยต้องมานั่งอดข้าว” แล้วแกก็เดินกลับไปที่โต๊ะ

ผมไม่ว่าอะไรได้แต่ยิ้ม เพื่อนชาวจีนเดินกันไปหมดแล้ว ผมกำลังหิวได้ที่พอดี นึกขำในใจว่า นรกสำหรับคุณจางแต่สวรรค์สำหรับผมละตอนนี้ ผมกลืนน้ำลายลงคอ คีบตะเกียบขึ้นมาเตรียมพร้อมเปิดกล่องข้าว แต่แล้วต้องชะงัก ดวงตาทั้งคู่มองดูข้าวราดขาหมูน้ำแดงเฉยอยู่ มือที่คีบตะเกียบไม่ขยับ ใจนึกไปถึงพิธีพาคนตายขึ้นสวรรค์ของชาวทิเบตแล้วมองดูขาหมูน้ำแดงตรงหน้า ผมเองต้องปิดกล่องข้าวโดยพลัน