โทษของคน “เล่นชู้” หลังสิ้นกรรมแล้ว เป็นหญิง 500 ชาติ กะเทย 500 ชาติ

ญาดา อารัมภีร

ล่าชู้ (2)

 

‘นรกสำหรับชู้’ ที่คุ้นหู รู้จักกันดี มีชื่อและรายละเอียดของโทษที่ได้รับต่างกันอยู่บ้าง เช่น โลหสิมพลีนรก อุสุทนะรกสิมพลีไม้งิ้ว สิมพลีวนะนรก นรกสิมพลี ฯลฯ จะใช้ชื่อไหน ความหมายก็ครือๆ กัน หนีไม่พ้น ‘ต้นงิ้ว’ เพราะ ‘สิมพลี’ (สิม-พะ-ลี) คือ ต้นงิ้ว ‘โลหสิมพลีนรก’ คือ นรกต้นงิ้วเหล็ก ‘สิมพลีวนะนรก’ คือ นรกป่างิ้ว เต็มไปด้วยต้นงิ้ว ‘นรกสิมพลี’ หรือ ‘สิมพลีนรก’ คือ นรกต้นงิ้วนั่นเอง

ความเชื่อเรื่องหญิงชายเป็นชู้กัน ตายไปต้องตกนรกงิ้วเหล็กนั้นแพร่หลายในสังคมไทยมานานตั้งแต่สมัยสุโขทัยเป็นต้นมา ดังที่ “ไตรภูมิพระร่วง” บรรยายว่า

“โลหสิมพลีนรก ฝูงชนอันทำชู้ด้วยเมียท่านก็ดี แลผู้หญิงอันมีผัวแล้วแลทำชู้จากผัวก็ดี คนฝูงนั้นตายไปเกิดในนรกนั้น นรกนั้นมีป่าไม้งิ้วป่าหนึ่งหลายต้นนักแล ต้นงิ้วนั้นสูงได้แลต้นแลโยชน์ แลหนามงิ้วนั้นเทียรย่อมเหล็กแดงเป็นเปลวลุกอยู่ แลหนามงิ้วนั้นยาวได้ ๑๖ นิ้วมือ เป็นเปลวไฟลุกอยู่บ่ห่อนจะรู้ดับสักคาบแล”

 

น่าสังเกตว่า ต้นงิ้วมีทั้งสูงทั้งเตี้ย “ไตรภูมิพระร่วง” ระบุว่า ‘ต้นงิ้วนั้นสูงได้แลต้นแลโยชน์’ “ไตรภูมิโลกวินิจฉยกถา” ใช้สำนวนเปรียบเปรยว่า ‘ไม้งิ้วต้นใหญ่ๆ สูงละลิ่วลอยเล่ห์ประหนึ่งว่าจอมเมฆ’ ไตรภูมิสองฉบับเห็นตรงกันว่าเป็นต้นงิ้วสูงเสียดฟ้า ขณะที่ต้นงิ้วใน “สุบินกลอนสวด” เตี้ยจนเทียบไม่ติด กวีบรรยายว่า ‘นรกสิมพลีนั้น มีงิ้วเปนหลั่น สูงเจ็ดพันวา’

แต่ที่ตรงกันไม่ผิดเพี้ยนคือ ความยาวของหนามงิ้วเหล็กเท่ากับ ๑๖ องคุลี หรือ ๑๖ นิ้วมือ หนามนี้มีทั่วลำต้น ลักษณะต่างๆ กัน ใน “ไตรภูมิพระร่วง” เป็นหนามงิ้วเหล็กมีเปลวไฟลุกอยู่มิรู้ดับ หนามงิ้วใน “ไตรภูมิโลกวินิจฉยกถา” ไม่มีเปลวไฟ แต่คมกริบ ทิ่มแทงกาย

“มีหนามอันยาวได้ ๑๖ องคุลี ล้วนแล้วไปด้วยเหล็ก มีคมดุจคมกรด มีอาการอย่างประหนึ่งว่าจะดื่มกินซึ่งโลหิตแห่งสัตว์นรก … ฯลฯ … หนามงิ้วทั้งหลายแทงกรชกายให้ขาดเป็นช่องน้อยช่องใหญ่ โลหิตไหลอาบไปทั่วทั้งตัว”

ส่วน “สุบินกลอนสวด” บอกเป็นนัยๆ ว่า ถ้าหนามแหลมเสียบร่าง หนทางรอดลืมๆ ไปได้

“หนามสิบหกนิ้ว เสี้ยมๆ นักหนา

เปรตปีนไปมา เสียบตายประไลย”

สุนทรภู่กล่าวถึงต้นงิ้วนรกควบคู่ไปกับพฤติกรรมที่ทำให้ต้องปีนต้นงิ้วไว้ใน “นิราศภูเขาทอง” ว่า

“งิ้วนรกสิบหกองคุลีแหลม ดังขวากแซมเสี้ยมแทรกแตกไสว

ใครทำชู้คู่ท่านครั้นบรรลัย ก็ต้องไปปีนต้นน่าขนพอง”

ไม่ต่างจาก “นิราศพระปฐม” ของหลวงจักรปาณี (ฤกษ์)

“งิ้วนรกสิบหกองคุลี คมเหมือนตรีกรดกริบระริบริ้ว

ใครสร้างกรรมทำชู้ด้วยคู่เขา ให้ร้อนเร่าร้างโรยอยู่โหยหิว

ครั้นชีวันบรรลัยก็ไปล่ปลิว ไปขึ้นงิ้วยมบาลประหารแทง”

 

ต้นงิ้วนรกมีเพื่อลงโทษชายหญิงผู้ลักลอบสมสู่กับเมียและผัวผู้อื่น กฎกติกานรกนี้มีอยู่ว่า หญิงชายที่ร่วมก่อกรรมกระทำชู้จะต้องปีนงิ้วต้นเดียวกัน ถึงจะปีนต้นเดียวกันก็หาได้เจอกันไม่ ดังที่ “ไตรภูมิพระร่วง” บรรยายว่า

“ลางคาบผู้หญิงอยู่ปลายงิ้ว ผู้ชายอยู่ภายต่ำ ฝูงยมพะบาลก็เอาหอกดาบหลาวแหลนอันคมเทียรย่อมเหล็กแดงแทงตีนผู้ชายจำให้ขึ้นไปหาผู้หญิงว่า ชู้สูอยู่บนปลายงิ้วโพ้น เร็ว อย่าอยู่ แลฝูงผู้ชายนั้นทนเจ็บบ่มิได้จิงปีนขึ้นไปบนต้นงิ้วนั้น ครั้นว่าขึ้นไปไส้ หนามงิ้วนั้นบาดทั่วตนเขาขาดทุกแห่ง แล้วเป็นเปลวไฟไหม้ตนเขา เขาอดบ่มิได้จิงบ่ายหัวลงมา ฝูงยมพะบาลก็เอาหอกแทงซ้ำ … ฯลฯ … เขาอดเจ็บบ่มิได้ เขาเถียงยมพะบาลบ่มิได้ เขาจิงปีนขึ้นไป แลหนามงิ้วบาดทั่วทั้งตัวเขา เขาเจ็บปวดนักหนาดั่งใจเขาจะขาดตายแล เขากลัวฝูงยมพะบาลเขาจิงปีนขึ้นไปเถิงปลายงิ้วนั้น ครั้นจะใกล้เถิงผู้หญิงนั้นไส้ ก็แลเห็นผู้หญิงนั้นกลับลงมาอยู่ภายต่ำเล่า … ฯลฯ … เมื่อเขาขึ้นลงหากันอยู่ดังนั้น เขาบ่มิได้พบกัน ยมพะบาลจับผู้หญิงผู้ชายจำให้ขึ้นจำให้ลงหากันดั่งนั้น หลายคาบหลายคราลำบากนักหนาแล”

ใน “ไตรภูมิโลกวินิจฉยกถา” มีสัตว์เข้ามาจัดการลงโทษ ทั้งสัตว์สองเท้าสี่เท้า

“แร้งปากเหล็ก กาปากเหล็กทั้งหลายก็โลดลิ่วแถกถากรูเกรียวเข้านับเสี่ยวจิกทึ้งเนื้อแลเลือดเป็นภักษาหาร”

ทนอยู่บนต้นงิ้วต่อไปไม่ไหว ถอยลงมายังถูกหนามงิ้วเข้าอีก พอลงมาใกล้พื้นดินก็เจอดี

“สุนัขตัวเท่าช้างสารก็ทะยานเข้ากัดกินเนื้อแลเลือด นายนิรยบาลก็แทงด้วยหอกอันใหญ่ ทนทานอยู่มิได้ก็กลับขึ้นไปบนต้นงิ้วอีกเล่า”

ต้องผจญวงจรนี้ซ้ำๆ จนสิ้นกรรม แต่โทษเหล่านี้จิ๊บๆ เทียบไม่ได้กับที่บันทึกไว้ใน ‘พระราชกำหนดใหม่’ ใน “กฎหมายตราสามดวง ฉบับราชบัณฑิตยสถาน” เล่ม 2

“๓๗ จึ่งมีพระราชโองการมานพระบันทูล สุรสีหนาทดำหรัสเหนือเกล้าฯ สั่งว่า ชายใดสมเสพกาเมสุมิจฉา ล่วงประเวนีภิริยาผู้อื่นนั้นย่อมเกิดกามกำหนัศพร้อมเตมบริบูรรณจึ่งสำเรจ์ เปนคุรุกำอุกกฤษโทษ ครั้นดับสังขารอะนาคต ไปตกอยู่ในโลหะกุมภีนะรก หกหมื่นปีแล้วขึ้นมาทนทุกขเวทนาอยู่ในอุสุทนะรกสิมพลีไม้งิ้ว หนามยาวสิบหกองคุลี นายนิรยบาลรุมกันทิ่มแทง แร้งการุมกันจิก ครั้นสิ้นกำมขึ้นมา เปนหญิงห้าร้อยชาติ กะเทยห้าร้อยชาติ เปนสัตวเขาตอนเสียห้าร้อยชาติ” (อักขรวิธีตามต้นฉบับ)

โทษหนักขนาดนี้ ‘ชู้’ ยังอยู่คู่สังคมไทย •

 

 

จ๋าจ๊ะ วรรณคดี | ญาดา อารัมภีร