เรื่องสั้น : อโครงสร้างนิยม (จบ) / กิตติศักดิ์ คงคา

เรื่องสั้น / กิตติศักดิ์ คงคา

 

อโครงสร้างนิยม (จบ)

 

“ยินดีต้อนรับสู่ระบบปัญญาประดิษฐ์ปฏิบัติการสำหรับคณบดีคณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยโลก กรุณายืนยันตัวตนว่าคุณคือคณบดี หากคุณไม่ใช่คณบดี กรุณายืนยันการออกจากระบบ ระบบปฏิบัติการนี้สงวนไว้เฉพาะคณบดีคณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยโลกเท่านั้น”

เสียงกล่าวต้อนรับจากระบบอัตโนมัติดังขึ้นจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ ตั้งแต่วันรับตำแหน่งคณบดี เขาทราบแล้วว่าคณะอักษรศาสตร์มีระบบที่เก็บรวบรวมปัญญาประดิษฐ์อัจฉริยะของคณบดีคนเก่าๆ เอาไว้ ถึงแม้ว่าคนเหล่านั้นจะตายไปจนหมดแล้ว แต่คณบดีทุกคนก็ต้องถูกจำลองความคิดไว้ในรูปแบบปัญญาประดิษฐ์เอาไว้ให้คณบดีในอนาคตพูดคุยถกปัญหา นี่อาจจะเรียกว่าขุมทรัพย์ทางภาษาของโลกใบนี้ก็ได้ เพราะรวบรวมเอาภูมิปัญญาของคนที่เก่งภาษาที่สุดบนโลกไว้เกือบทุกคน

“การยืนยันตัวตนเสร็จสมบูรณ์ ท่านคณบดีกรุณาเลือกว่าต้องการพูดคุยกับคณบดีคนใดเป็นพิเศษ หรือกรอกข้อความที่ต้องการค้นหา ระบบอัตโนมัติจะเลือกคณบดีที่มีความรู้ตรงกับที่ท่านต้องการที่สุดขึ้นมา”

ดร.พากย์เผลอรับคำไปเบาๆ เขาลงมือพิมพ์ชื่อของบรรพบุรุษที่เขาเพิ่งจะได้เห็นบนหลอดสเต็มเซลล์ คำที่เขาจำขึ้นใจแต่ออกเสียงไม่ได้และแปลไม่ออก เมื่อคืนคำคำนั้นหลงวนเวียนอยู่ในหัวของเขาทั้งคืน

“จากคำที่ท่านค้นหา มีเพียงคณบดีเพียงคนเดียวที่มีความรู้ในคำที่ท่านสนใจ คือ ท่านคณบดี ดร.ฉาย ผู้ดำรงตำแหน่งคณบดีของมหาวิทยาลัยประจำชาติในปี 2470-2510 ก่อนที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติจะถูกยุบรวมให้กลายเป็นหนึ่งเดียวกับมหาวิทยาลัยโลก” ภาพกราฟฟิกวูบวาบบนหน้าจอ เสียงที่เกิดจากการประดิษฐ์ด้วยระบบอัจฉริยะร้องตอบ

“ผมขอพูดคุยกับ ดร.ฉาย”

ดร.พากย์พูดสั่งการ ระบบดังลั่นตอบรับก่อนจะเงียบหายไปครู่หนึ่ง ไม่ช้าไม่นาน ภาพบนหน้าจอก็กลับมาอีกครั้ง กราฟฟิกเปลี่ยนเป็นสีแดงดำวูบไหว

ความรู้สึกของเขาเปลี่ยนไปจากเดิม เขารู้สึกถึงความแตกแยก ขบถ ก้าวร้าว แผ่ออกมาจากปัญญาประดิษฐ์ตรงหน้า

 

“เอ็งเป็นใคร”

เสียงดังถามขึ้นก่อนอย่างเปิดศักราช น้ำเสียงของอีกฝ่ายเป็นชายที่น่าจะค่อนข้างมีอายุทีเดียว อย่างน้อยก็เหยียบวัยเกษียณหรือไม่ก็เลยไปแล้ว เสียงของ ดร.ฉายน่าจะเป็นเสียงจริง เพราะโดยปรกติเสียงของปัญญาประดิษฐ์จะมีกฎหมายควบคุมให้ไม่สามารถแยกได้ว่าเป็นหญิงหรือชาย แต่สำหรับเสียงที่เขากำลังได้ยินอยู่นี่มีความเป็นชายอย่างชัดเจน

“ผมชื่อ ดร.พากย์ครับ เป็นคณบดีคณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยโลก” เขาตอบอย่างเกร็งๆ อยู่ดีๆ ชายหนุ่มก็รู้สึกถึงอำนาจกดดันที่แผ่ออกมาจากอวัจนภาษานั่น

“นี่มันยุคสมัยไหนแล้ว” เสียงจากระบบถาม

“ปี 3000 ครับ ดร.” เขาตอบตามตรง

“โลกมนุษย์เฮงซวยนี่ยังอยู่ได้ถึงยุคนั้นอีกเหรอนี่ น่าประทับใจชะมัด ไอ้พวกลิงโสโครกนี่ก็ยังเอาตัวรอดได้ไปอีกไกลโข ถึงว่าพวกรัฐบาลโลกถึงได้บังคับขู่เข็ญให้คนในคุกอย่างข้าไปจำลองสมองเป็นปัญญาประดิษฐ์กันนัก ท่าทางจะเอาความรู้ที่ไร้เจตจำนงไปข่มขืนย่ำยีโลกใบนี้กันเสียเพลิดเพลิน”

ดร.พากย์เริ่มกลืนน้ำลายลงคออีกครั้งอย่างฝาดเฝื่อน ดร.ฉายพูดโวยวายออกมายาวเหยียด ทั้งหัวเราะ เย้ยหยัน ด่าทอ ประชดประชัน คำหลายคำในประโยคที่อีกฝ่ายพูดไม่ใช่คำที่เขาแปลออก ดร.ฉายมาก่อนยุคชำระพจนานุกรม นั่นไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีศัพท์บางคำที่เขาไม่อาจแปลได้

“ดร.บอกว่าคนในคุกเหรอครับ” เขาถามอย่างไม่มั่นใจ

“เออ ใช่ซีวะ มันมาบังคับข้าให้ไปทำปัญญาประดิษฐ์จากในคุกนี่แหละ ปืนจี้คอข้าอยู่ ความจริงข้าขอให้ฆ่าข้าให้ตาย ใครจะไปยอมศิโรราบต่อไอ้พวกรัฐบาลโลกเฮงซวยพวกนั้นวะ” เสียงอีกฝ่ายคำรามออกมาอย่างโมโห

“ดร.ติดคุกด้วยเรื่องอะไรเหรอครับ”

เขากลั้นใจถาม พอถามจบ ชายหนุ่มก็แทบอยากจะขอถอนคำพูดตัวเองเสียเดี๋ยวนี้ คนติดคุกที่ไหนจะมาสารภาพความผิดของตัวเองอย่างตรงไปตรงมา แต่ตรงกันข้าม ปัญญาประดิษฐ์คำราม

“ข้าปลุกมวลชนขึ้นประท้วงต่อต้านการชำระพจนานุกรม ไอ้พวกรัฐบาลเฮงซวย แค่อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่ว่ามันจะชำระพจนานุกรมไปทำไม ไอ้พวกเผด็จการ ไอ้พวกขยะอำนาจนิยม”

เสียงของ ดร.ฉายดังลั่นจนเขาต้องรีบไปหรี่เสียง ถึงแม้ว่าจะได้ชื่อว่าเป็นคนชนชั้นนำต่อสังคมโลกมากแค่ไหน แต่ความอยากรู้อยากเห็นต่อเรื่องที่เขาไม่เคยรู้มาก่อนก็หักห้ามได้ยาก เขาตัดสินใจพูดคุยกับ ดร.ฉายต่อ ถึงแม้จะรู้ว่าขาเขากำลังเหยียบไปในตะรางแล้วข้างหนึ่ง

“การชำระพจนานุกรมเป็นเรื่องทางการเมืองเหรอครับ” เขาถามด้วยเสียงที่กระซิบ

“นี่เอ็งเป็นคณบดีจริงๆ เหรอวะ พับผ่า” เสียงนั่นตวาดดุ “ภาษาเป็นทั้งเครื่องมือและเป็นเครื่องชี้นำมนุษย์ อะไรที่ภาษาสามารถอธิบายได้โดยง่าย มนุษย์จะคิดเชื่อมโยงกับสิ่งเหล่านั้นได้โดยง่าย แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าไม่มีภาษาแล้ว การคิดถึงสิ่งนั้นก็เป็นเรื่องยาก ถ้าไม่มีอะไรเป็นเชื้อไฟอยู่ในหัว เอ็งจะคิดจะจินตนาการคำถามออกมาได้ยังไง ถ้าจะทำได้ก็ต้องคิดภาษาขึ้นมาใหม่ แน่นอนว่ากว่าจะใช้ให้คนทั่วไปเข้าใจร่วมกันอีกก็เป็นเรื่องยาก ถ้าให้ข้าเดา ยุคสมัยเอ็งมีกฎหมายห้ามบัญญัติคำศัพท์คำใหม่ขึ้นมาใช้กันเองใช่ไหมล่ะ” เสียงชายเฒ่าสงบลงและตั้งใจเล่าในช่วงหลัง

เขาไม่ตอบแต่กดข่มความวูบไหวอยู่ในอก สายตาเลื่อนไปมองป้ายภาควิชาป้องกันและปราบปรามการใช้ภาษาอย่างผิดวัตถุประสงค์ที่อยู่บนผังองค์กรติดผนัง ชายหนุ่มกลืนน้ำลายลงคอที่แห้งผาก องค์กรของเขาคือผู้ส่งคนเข้าสู่ระบบการบังคับใช้กฎหมายที่ว่ามากที่สุดในโลก

“ดร.ครับ รัฐบาลโลกลบคำอะไรออกไปจากพจนานุกรมบ้างเหรอครับ”

“ยุคเอ็งมีคำอยู่ในพจนานุกรมสักกี่คำกันล่ะ ไอ้หนุ่ม”

“12,365 คำครับ ดร. ผมท่องจำความหมายได้ทุกคำ”

“สมัยของข้ามีอยู่ 157,894 คำ แถมยังมีการสร้างคำใหม่ขึ้นทุกวันอีกด้วย คิดออกหรือยังล่ะว่าอะไรถูกลบไปจากสมองและการเรียนรู้ของพวกเอ็งบ้าง อย่างน้อยก็คงสัก 9 ใน 10 ของทุกอย่างที่เอ็งควรจะรู้ได้มั้ง” เสียงนั่นหัวเราะลั่นในตอนท้าย

“พวกเขาทำแบบนี้ไปทำไมครับ” ชายหนุ่มกลั้นใจถาม

“มนุษย์จะลุกขึ้นสู้ก็เพื่อเป้าหมายบางอย่างเท่านั้น แต่ถ้าสมองของเอ็งว่าเปล่า เอ็งจะลุกขึ้นสู้ไปทำไม ในเมื่อเป้าประสงค์ที่แท้จริงของเอ็ง เอ็งยังไม่รู้เลย” ดร.ฉายพูด

“แล้วคำนั้นแปลว่าอะไรเหรอครับ” เขาถามอย่างสงสัย

“เอ็งได้อะไรจากรัฐบาลโลกบ้าง ไหนเอ็งลองบอกข้าหน่อย” ระบบคำราม

“การรักษาความปลอดภัยครับ ระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน” เขาตอบ คำถามข้อนี้ตอบได้อย่างง่ายดาย เพราะเป็นนิยามที่มีระบุชัดอยู่ในพจนานุกรม

“นั่นคือผลตอบแทนจากการจ่ายภาษีต่างหาก ของพวกนั้นขอแค่เอ็งมีเงิน เอ็งก็ทำเองได้ ไม่จำเป็นต้องพึ่งพารัฐบาลเสียหน่อย สิ่งที่ข้าถามคือผลตอบแทนจากการทำหน้าที่พลเมืองต่างหาก เอ็งได้อะไรจากการยินยอมเชื่อฟังและทำตามคำสั่งของรัฐบ้าง เอ็งลองตอบข้ามาซิ ไอ้คุณคณบดีในยุค 3000”

เขานิ่งงันไปท่ามกลางเสียงหัวเราะ ชายหนุ่มคิดอะไรไม่ออก หัวของ ดร.พากย์ว่างเปล่าขาวโพลนไปด้วยสิ่งที่จินตนาการไม่ได้ นั่นสิ เขาปฏิบัติตามคำสั่งของรัฐไปทำไม ทำตามกฎหมายไปทำไม ทำหน้าที่พลเมืองดีไปทำไม เขาก็ยังนึกคำตอบไม่เห็น ราวกับว่าคำทั้ง 12,365 คำในหัวของเขาไม่สามารถเอามาจัดเรียงเพื่อหาคำตอบไปได้ ไม่มีพยางค์ใดอุบัติขึ้นมาได้แม้แต่พยางค์เดียว

“นั่นแหละความหมายของคำที่เอ็งถาม สิ่งที่เอ็งควรจะได้รับตอบแทนจากการทำหน้าที่พลเมือง แต่รัฐบาลโลกก็ลบคำนี้ทิ้งจากสารบบจินตนาการของประชาชนไปหมดแล้ว เจตจำนงเสรีของพวกเอ็งโดนดับมอดมาหลายร้อยปี นั่นก็เป็นเพราะการทำงานล้างสมองอย่างเป็นระบบจากรัฐบาล”

ดร.พากย์นิ่งเงียบ เรื่องเหล่านี้ไม่เคยปรากฏอยู่ในพจนานุกรม ซึ่งนั่นหมายถึงว่าก็ไม่เคยปรากฏอยู่ในสมองของเขาด้วย เขาเชื่อถือมาตลอดว่าการศึกษาตลอดชีวิตของตัวเองถูกต้องอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง เขาไม่เคยมองระนาบอื่นของความจริง เมื่อหนังสือและระบบการศึกษาบอกว่าจริง เขาก็เชื่อไปว่าจริง จริงอย่างไม่มีข้อแม้

เสียงเคาะประตูดังลั่นขึ้นที่หน้าห้อง เขารีบกดปิดระบบปัญญาประดิษฐ์ตรงหน้าทันที ก่อนจะร้องตะโกนออกไปถาม ได้ความว่าอีกฝ่ายเป็นตำรวจ แต่ยังไม่บอกเหตุผลใดในการมาถึง เขากลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ตำรวจอาจจะมาปรึกษาเรื่องคดีความตามปรกติก็ได้ หรือไม่ในอีกแง่หนึ่ง คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องในโลกอาจจะถูกเชื่อมต่อส่วนกลางของรัฐบาล และความลับที่เขาไม่ควรรู้ทั้งหมดตอนนี้ก็ถึงหูของผู้มีอำนาจแล้ว

ชายหนุ่มลุกยืนขึ้นจนเต็มสัดส่วน ก่อนจะทำใจดีสู้เสือไปเปิดประตู

 

“สวัสดีครับ ผม ดร.พากย์ อดีตคณบดีคณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยโลก ไม่ทราบว่าต้องการสอบถามอะไรครับ”

ระบบปัญญาประดิษฐ์ปฏิบัติการพูดในชั่วเวลาไม่ถึงปีถัดมา