เรื่องสั้น | นอกจากความเงียบ ก็ไม่มีอะไรอื่นอีก (จบ)

เสียงแม่ทะเลาะกับเพื่อนบ้านดังลั่นในยามหัวค่ำบริเวณหน้าบ้าน ตอนนั้นฉันเพิ่งอาบน้ำเสร็จ เสียงนั้นดังสับสน เพราะประสานเสียงนังลิ้นจี่เห่าด้วยความตกใจ รีบเดินออกไปดูพบว่าป้าบ้านข้างๆ ห่างจากบ้านไปไม่ไกลนักกำลังเชิญ “ปู่จ๋าน” หรือพ่อหนานผู้ที่เรียนวิชาคาถาอาคมมาทำพิธีอะไรบางอย่างตรงบริเวณหน้าบ้าน ที่มีแถวต้นชาทองเป็นเขตกั้นดั่งรั้วบ้าน พ่อหนานนำกระทงใบตองที่เต็มไปด้วยของเซ่นไหว้มาวางตรงโคนต้นชาแล้วพนมมือบริกรรมคาถา ทั้งคู่แอบทำพิธีกรรมอะไรบางอย่างในยามค่ำมืด แต่แม่ออกมาเห็น ท่านจึงพยายามไปขัดขวางการทำพิธีของปู่จ๋าน แต่ถูกป้าเพ็ญบ้านข้างๆ ห้ามไว้ ทั้งคู่เถียงกันด้วยภาษาคำเมืองเร็วปรื๋อ ฉันฟังทันบ้างไม่ทันบ้าง เข้าใจว่าป้าเพ็ญขอทำพิธีเลี้ยงผีที่หน้าบ้าน เพราะหลานชายของตัวเองกำลังไม่สบาย ที่แม่โกรธไม่ใช่แค่ไม่อยากให้ทำพิธีนี้ แต่เพราะว่ามาแอบทำพิธีเลี้ยงผีที่หน้าบ้าน และยิ่งกว่านั้นเป็นเพราะว่าผีที่ว่านั้นคือพ่อ!

“ว่าไปเรื่อย ผัวกูไปสวรรค์ชั้นฟ้าแล้วจะมาเป็นผีเร่ร่อนแบบนี้กูบ่เชื่อ” แม่กรีดร้อง ส่วนฉันก็ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก แม่ตะโกนด่าจนคนข้างบ้านหลายคนมามุงดู ปู่จ๋านทำพิธีเสร็จก็ลุกเดินหนี พร้อมๆ กับแม่สลัดตัวออกจากป้าข้างบ้านก่อนจะวิ่งเข้าไปเตะของเซ่นไหว้นั้นระเนระนาด ป้าเพ็ญโกรธจัดจนปรี่เข้ามาตบ ทั้งสองตบตีกันชุลมุน โดยที่ฉันทำอะไรไม่ถูก ได้แต่เฝ้ามองชาวบ้านเข้ามาช่วยกันแยกสองคนให้ออกจากกัน

แม่เป็นเดือดเป็นแค้นระงับอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง ตั้งแต่เกิดมาฉันก็เพิ่งเคยเห็นท่านโกรธจัดมากขนาดนี้ ไม่กี่นาทีต่อมาท่านก็ร้องไห้ พร่ำบ่นแต่ว่า “กูบ่เชื่อ” ซ้ำๆ แต่ยิ่งตอกย้ำเข้าไปว่าตัวเองเชื่อในคำบอกเล่าของป้าเพ็ญ

“พ่อมึงบ่ได้เป๋นผีเหี่ยผีหายแม่นก่อ” แม่ถลาไปหารูปของพ่อในบ้าน แล้วเอ่ยประโยคนั้น ใบหน้าของพ่อในกรอบรูปเรียบเฉย แม่ยิ่งร้องไห้หนัก “เป๋นไปบ่ได้ อีเพ็ญมันวอก กูบ่เชื่อ”

ชาวบ้านจับกลุ่มคุยกันสักพักก็แยกย้ายกลับไป ฉันไม่รู้จะเข้าไปปลอบแม่ของตัวเองอย่างไรดี เฝ้าดูจนท่านเกิดอาการภาวะความดันสูงขึ้นอย่างฉับพลัน รีบพาแม่ขึ้นรถอย่างทุลักทุเลก่อนจะฝ่าความมืดไปโรงพยาบาล

เหตุการณ์เมื่อหัวค่ำมันสั่นคลอนจิตใจของแม่มากขนาดไหน วิญญาณพ่อเร่ร่อนและคอยหากินด้วยการ “ตั๊กตอ” หรือที่เรียกว่าผีทักเอากับเด็กเล็กๆ เพื่อขอของเซ่นไหว้มากิน ฉันไม่เชื่อ ไม่ว่ายังไงก็เชื่อไม่ได้อยู่แล้ว แต่ความรู้สึกว่างโหวงหวิวในจิตใจส่วนลึก แม้กับฉันยังสั่นสะท้านถึงเพียงนั้น แล้วแม่ล่ะ แม่ที่อยู่กับค่านิยมความเชื่อขนบแบบนี้มาทั้งชีวิต จะถูกเล่นงานมากขนาดไหน

นั่งเฝ้ารอดูอาการแม่อยู่ข้างเตียง หมออยากให้พักผ่อนให้มากที่สุด ความดันขึ้นสูงจนเสี่ยงที่เส้นเลือดในสมองแตก มองแม่ที่นอนหลับ คราบน้ำตายังติดอยู่ที่หางตา ท่านป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูงตั้งแต่พ่อเสียไป แม่ยังทำใจไม่ได้ที่จู่ๆ พ่อจากไปอย่างรวดเร็ว พ่อเป็นโรคหัวใจแล้วจู่ๆ อาการก็กำเริบขณะที่เดินอยู่หน้าบ้านแล้วสิ้นลมตรงนั้น ฉันมองผู้หญิงที่นอนอยู่บนเตียงฉุกเฉิน หญิงชราคนเดียวที่เผชิญความสูญเสียนั้นผ่านมันมาได้อย่างไร

ครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่ทั้งคืน ตกใจเสียงเพ้อร้องครางของแม่ที่เรียกชื่อพ่อเป็นพักๆ ส่วนตัวเองก็ฝันว่าจะได้ออกไปจากที่นี่ กลับไปจุดเดิมที่เคยมา บอกลาบ้านบอกลาแม่ ก่อนจะตื่นตกใจเมื่อถูกเขย่าตอนเช้ารุ่ง แม่ขอให้พาไปห้องน้ำ

เหมือนเหตุการณ์ในวันนั้นกระชากชีวิตที่เหลือของแม่ให้ฉีกขาด ท่านไปแต่วัดทำบุญตานขันข้าวไปหาพ่อ โผหาที่พึ่งทางใจทุกทางที่จะหวังได้ แล้วก็ขอให้ขับรถพาไปบ้าน “หมอเมื่อ” หรือหมอผีคนเข้าทรง ให้ช่วยดูว่าวิญญาณของพ่อยังร่อนเร่ไม่ไปสู่สุคติจริงหรือเปล่า

“บ่มีไผบวชจูงศพหื้อเปิ้นแม่นก่อ” เสียงคนทรงแหบเหมือนคนแก่ ทั้งที่ร่างทรงเป็นชายหนุ่มยังอายุไม่ถึงยี่สิบ ถามว่าไม่มีใครบวชหน้าศพให้พ่อ แม่พยักหน้าตอบคำถาม ร่างทรงหันหน้ายิ้มมาทางฉันแล้วบอกให้เตรียมข้าวของทำพิธี

ฉันและแม่เงียบมาตลอดทาง เสียงหมอเมื่อยังก้องกังวานในโพรงสมอง

“ต้องหาไผสักคนบวชหื้อเปิ้น ตอนนี้เปิ้นยังไปไหนบ่ได้ ยังวนเวียนอยู่ที่ขอบเขตรั้วของบ้าน บ่ได้ฮับข้าวของตานกิ๋นที่ทำบุญไปหื้อได้”

บ้านเงียบลง เงียบจนได้ยินเพียงเสียงหายใจ แม่เอาแต่เก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน ทุกวันได้แต่เพ่งมองรูปภาพของพ่อ เจ้าไก่ติ๋กเดินไปมาอยู่รอบตัวท่านก็ไม่สนใจ โทรศัพท์หาลูกชายให้มาบวชให้พ่อตามคำของหมอผีบอกแต่ก็ถูกปฏิเสธ นังลิ้นจี่นั่งหงอยอยู่หน้าประตู เสียงนกกาเหว่าร้องดังอยู่หลังบ้าน เหมือนร้องหาอะไรสักอย่างที่โลกหาให้ไม่ได้ พี่ชายสองคนยังเงียบไม่มีวี่แววของคำตอบ ความเงียบและความประหวั่นพรั่นพรึงเกาะกินใจของท่าน อีกทั้งข่าวลือของชาวบ้านว่าพ่อเป็นวิญญาณยากไร้เร่ร่อนไม่ได้ผุดเกิด แม่ยิ่งผ่ายผอม แม่ทำอย่างเดียวคือไปวัดทุกเช้าทำบุญทำทาน แต่ใจก็ไม่อาจสงบได้ เมื่อถ้อยคำของหมอเมื่อหมอผียังกระซิบอยู่ข้างหูทุกครั้งที่อยู่คนเดียว ความหวังเดียวคือคำตอบตกลงของลูกชายผู้อยู่ไกลบ้าน ซึ่งเลือนรางไปทุกที

ในที่สุดก็พบแล้วถ้าไม่ได้ทำในสิ่งที่อยาก สิ่งที่ทำนั้นก็ได้แต่กัดกร่อนจิตวิญญาณของตัวเอง ไหนจะต้องมาเจอเพื่อนร่วมงานที่ทำงานเข้ากันไม่ได้ กลับมาบ้าน แม่ก็เหมือนใบหญ้าไมยราบ พูดถามถึงสิ่งใดอาจกระทบจิตใจแม่ให้ห่อเหี่ยว ไม่ยอมทำอะไร ถ้าไม่นั่งเฝ้าโทรศัพท์ก็นั่งมองรูปของพ่อ ฉันยิ่งรู้สึกแปลกแยกจากที่นี่ขึ้นเรื่อยๆ คงจะมีแต่ชัยวัฒน์เท่านั้นที่เข้าใจ และเขาก็บอกว่าฉันคือคนเพียงไม่กี่คนที่เข้าใจเขา เราพูดคุยกันเสมอ จะผ่านข้อความหรือผ่านปากแล้วแต่จังหวะเวลา บางทีเวลาที่ต้องไปอบรมที่ไหนเขาก็จะขอให้พาฉันไปด้วย

เขาไม่ได้อยากเป็นนักการเมือง แต่ถูกญาติสนับสนุนแกมบังคับ เพราะปู่เป็นกำนัน พ่อก็เคยเป็นนายก อบต. ในเมื่อท้องถิ่นการสืบทอดทางอำนาจผ่านนามสกุลเป็นเรื่องง่าย และยังได้แต่งงานกับลูกสาวผู้ทรงอิทธิพลในตำบล ยิ่งทำให้เขาเหมือนติดปีก

อาการหนาวห่อคลุมบ้าน หมอกและน้ำค้างบีบรัดหัวใจ ใบไม้ร่วงผล็อยมาสุมอยู่รอบๆ โคนต้น ทุกอย่างนิ่งสงบราวธรรมชาติก้มหัวเคารพให้กับความอ้างว้าง แม่ยังรอโทรศัพท์จากลูกชายทั้งๆ ที่ก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน ทุกคนบอกให้แม่ทำใจ แต่ใช่ว่าคำพูดจะทำให้จิตใจแม่ดีขึ้น ได้แต่ตรอมตรมทุกข์ใจ แอบไปร้องไห้ที่หน้ารูปของพ่อ ฉันไม่รู้จะปลอบแม่อย่างไร งานล้นมือเพราะชัยวัฒน์ดึงฉันให้เข้าร่วมโครงการจัดการขยะในตำบล เขามีแนวคิดที่จะทำให้ชาวบ้านทิ้งขยะอันตราย ขยะจากสารเคมีที่ใช้ในการทำเกษตรที่ถูกทิ้งเกลื่อนตามถนนหรือลำห้วย โครงการดูดี งบฯ ถูกอนุมัติจากสภา และงบประมาณแรกของโครงการคือพาแกนนำท้องถิ่นไปดูงานที่ต่างจังหวัด ไปกันสามวันและพักผ่อนไปด้วยในตัว ฉันไม่ได้ไปด้วย แม้เจ้าของโครงการอยากจะให้ไป แต่เพราะแม่อาการแย่ลง ฉันโทรศัพท์ไปต่อว่าพวกพี่ชายว่าทำไมการทำให้แม่สบายใจมันยากนักหรือ บวชแค่อาทิตย์เดียว แต่พวกเขาก็ใช้วิธีเงียบ ฉันไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว ฉันเปลี่ยนความเชื่อแม่ไม่ได้ ฉันเปลี่ยนใจพี่ชายก็ไม่ได้ และฉันก็ไม่ชอบงานที่ทำ ฉันไม่รู้ว่าตัวเองมาทำอะไรที่นี่กันแน่

ชัยวัฒน์กลับมาจากการดูงานอย่างแช่มชื่น ฉันเห็นแล้วละในเฟซบุ๊ก เขาพาทั้งครอบครัวไปเที่ยวด้วยกัน รูปดูงานมีแต่ภาพเล่นน้ำทะเล เราต้องกลับมาทำโครงการนี้อีกครั้ง ฉันติดสอยห้อยตามเขาไปทุกที่ ประชุมทุกหมู่บ้าน และสุดท้ายตามงบฯ ก็จะสั่งซื้อถังขยะจากต่างประเทศมาไว้ทั่วตำบล แต่กลับกลายเป็นว่าข่าวลือเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับชัยวัฒน์แอบคบหากัน เรื่องเส้นสายที่ชัยวัฒน์ช่วยให้ฉันได้ทำงาน มีคนจากเทศบาลคาบเอาความน่าเคลือบแคลงไปบอกภรรยาของ ส.ท.หนุ่ม ฉันไม่อยากใส่ใจ แต่กระนั้นก็เห็นว่าภรรยาของเขามาที่นี่ด้วย เธอกำลังตั้งท้องลูกคนที่สามสวมชุดคลุมสีสันสดใส มองฉันอย่างตรวจตราตั้งแต่หัวจรดเท้า ไม่ได้เอ่ยคำใดทั้งนั้น แต่เท่านั้นก็ทำให้ฉันอึดอัด สายตาของหญิงสาวบอกว่าเธอเป็นคนจริง พร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อหยุดเรื่องราวข่าวลือนี้

ฉันเหมือนถูกโดดเดี่ยวอย่างแท้จริง เมื่อถูกเพื่อนร่วมงานพูดแซวหรือเสียดสีความสัมพันธ์ ฉันคร้านที่จะอธิบาย เรื่องมันขันขื่น เพียงแต่ไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเองจะมาเจอเรื่องน้ำเน่าจากที่นี่ ชัยวัฒน์ห่างไปสักพัก แต่คงยังติดต่อกันในแชต เพราะฉันยังรู้สึกบริสุทธิ์ใจ รู้ตัวว่าไม่ได้ทำอะไรผิด ยังติดต่อพูดคุยปกติเพราะเหลือชายหนุ่มเพียงคนเดียวที่เข้าใจ แต่นั่นยิ่งทำให้สถานการณ์มันเริ่มรุนแรง ภรรยาขี้หึงมาหาที่เทศบาล ร้องแรกแหกกระเชอต่อว่าฉันต่างๆ นานา โชว์โทรศัพท์ของสามีรูปสติ๊กเกอร์หัวใจที่ฉันส่งไป ฉันเกือบหลุดขำ เพียงแต่สีหน้าของคนอื่นๆ ในห้องนั้นมองจ้องมาด้วยสีหน้าจริงจัง บางคนยิ้มเยาะ บางคนแสดงถึงขั้นหยามเหยียด ฉันโต้กลับไปว่ามันก็แค่การพูดคุยของเพื่อนเก่า ไม่ได้คิดอะไรกับชัยวัฒน์เลย แต่มันก็ไร้ประโยชน์ ทุกคนตัดสินไปแล้ว สามีเข้ามาห้ามภรรยาแต่กลับทำให้มันเกิดเรื่องบานปลาย เขาตบเมียที่ไม่ยอมฟังอะไร และทุกอย่างจบลงที่ฉันถูกสายตาทุกคนตำหนิ

กลับมาที่บ้านเห็นแม่นั่งร้องไห้ บรรดาสัตว์เลี้ยงสุดที่รักอยู่รอบกาย “กูบอกมึงแล้วอย่าไปยุ่งกับพวกนั้น อีนั่นพ่อมันเป็นกำนันเก่า กูบอกแล้วบ่เชื่อ เดียวก่อได้ต๋ายเหมือนป้อมึง”

“เราไม่ได้ทำจะกลัวอะไร แค่เรื่องแค่นี้จะมาฆ่ามาแกงกัน แล้วอีกอย่างพ่อเป็นโรคหัวใจกำเริบไม่ใช่เหรอ น้องว่าแม่อย่าคิดอะไรมากเลย”

แต่เป็นฉันที่ต้องคิดมากเพราะชัยวัฒน์ส่งไลน์มาสารภาพว่าชอบฉัน…

ดอกลำไยบานแล้วร่วงกล่นเกลื่อนพื้น ดอกส้มโอหอมกำจายอยู่ท้ายสวน มันเป็นฤดูที่ผึ้งทำงานหนัก ลมแล้งพัดผ่าน อีกไม่นานฝนหัวปีก็คงชะช่อดอกมะม่วงลง ความเสียใจหลายเรื่องทำให้แม่ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ เล่าว่าที่เพราะพ่อต้องตายเพราะรู้ความลับการทุจริตโครงการบ่อขยะของนายกเทศมนตรีสมัยนั้น แม่เล่าทั้งน้ำตาว่า ช่วงหัวค่ำคืนนั้นมีคนเรียกพ่อออกไปนอกบ้าน เสียงปืนดังขึ้นติดๆ กันสามนัด พอแม่วิ่งออกไปดูพ่อล้มลงไปแล้ว

“มันฮู้ว่าพ่อมึงเป็นโรคหัวใจ มันมายิงขู่” ท่านเล่าด้วยน้ำตา นิ่งนานกว่าฉันจะรวบรวมสติได้

“ทำไมไม่บอกน้อง” ฉันถาม แต่ก็รู้คำตอบเองแทบจะทันที เพราะว่าตัวเองอยู่ไกล แม่คงยังไม่อยากให้รู้ อีกอย่างตอนนั้นฉันห่างจากครอบครัวมานานเกินไปคงไม่สนใจจะรับรู้อะไรทั้งนั้น “แล้วพี่ๆ รู้ไหม”

ท่านส่ายศีรษะ ฉันรู้ในตอนนั้นเองว่าทำไมแม่ต้องการให้กลับมาอยู่ที่บ้าน เพราะท่านกลัว แม่ถูกสั่งให้อยู่กับความเงียบมาตั้งแต่นั้น ต้องไม่บอกใคร ต้องไม่ให้ใครรู้ ราวเสียงปืนคือคำขู่ พี่ๆ สนใจแต่เรื่องของตนเอง ไม่ใส่ใจว่าแม่จะต้องอยู่ในสภาพที่อึดอัดขนาดไหน ฉันเองก็เหมือนกัน…ปิดกั้นข่าวสารจากบ้านนี้ เราทั้งหมดต่างผละให้แม่รับและเผชิญความเงียบอย่างเดียวดาย

หัวค่ำเรานั่งกินข้าวอย่างเงียบเหงา แม่แทบไม่แตะกับข้าว เรื่องหลายอย่างรุมเร้า ความเสียใจ ความผิดหวัง และความกลัวจู่จับหัวใจจนดิ้นไม่ออก จู่ๆ ไฟก็ดับ และตามมาติดๆ กังวานเสียงปืนดังขึ้นทีละนัดๆ ฉันหลับตาลง มันดังสามนัดก่อนจะสงัดเงียบไป ประกาศตัวตนอย่างเด่นชัดถึงความยิ่งใหญ่ก่อนเสียงค่อยมลายหายไป ราวกับถูกม่อนดอยซับหาย ฉันค่อยๆ ขยับเปลือกตาขึ้นช้าๆ ได้ยินเสียงหายใจของตัวเองดังอย่างชัดเจน ความตกใจเกิดขึ้นอีกครั้ง นังลิ้นจี่หอนมาจากหน้าบ้าน เสียงโหยหวนยาวจนน่าขนลุก จากนั้นทุกอย่างก็เงียบ…

เงียบเหมือนบ้านทั้งหลังหลุดหายเข้าไปในจักรวาลอื่น…ฉันควานมือไปกอดแม่ แต่ก็พบว่าแม่ตกใจจนล้มลงไปแล้ว…