เรื่องสั้น | เพียงต้องการมาเที่ยวงานวัดไม่ได้เชียวหรือ

“วัดบำเพ็ญใต้มีงานวัด ฉันจะไปกับแฟน พวกแกไปมั้ย…ไปมั้ย”

หล่อนเดินเข้ามาในห้องครัว ได้ยินคนใช้พูดคุยกัน เมื่อเห็นเจ้านายสาวโผล่เข้ามา ภาวะผึ้งแตกรังก็เงียบสนิทกลายเป็นสุสาน และก้มหน้าทำงานในส่วนของตนไป

“คุณแอ๋มมีอะไรหรือคะ ถึงเข้ามาถึงห้องครัวได้ แล้วทำไมแม่บัวไม่มาเองล่ะคะ” หญิงหัวหน้าครัวกระวีกระวาดเข้ามาถาม ปกติแล้วคุณนายสาวจะไม่ค่อยมายุ่มย่ามในสถานที่แบบนี้ มีอะไรก็ให้คนใช้ชื่อบัวเป็นคนมาสั่งการแทน

“เปล่าๆ ไม่มีอะไรหรอก ฉันว่าง เลยเดินเล่นเรื่อยเปื่อย แก้เหงา เมื่อกี้ว่าอะไรนะ ใครว่ามีงานวัดที่ไหน”

พวกคนใช้ทำตาโต เจ้านายสาวถามถึงงานวัด นับว่าเป็นเรื่องแปลกยิ่ง ที่จริงแล้วหล่อนเป็นดาราที่มีชื่อเสียงมาก ฝีมือขั้นเทพ ค่าตัวแพงที่สุดในเวลานี้ เป็นที่นิยมมายาวนานกว่ายี่สิบปี ปีนี้อายุเฉียดสี่สิบ แต่ยังสวยพริ้งพราว หลายคนไม่เชื่อว่าทุกส่วนสัดของหล่อนไม่เคยต้องมีดหมอศัลยกรรม ดารารุ่นเดียวกันหรือแม้รุ่นน้องของหล่อน ต่างก็ผ่าตรงนั้นนิด กรีดตรงนี้หน่อย แก้ไขส่วนบกพร่องของร่างกายไปตามๆ กัน ทว่าสำหรับหล่อนแล้วถือได้ว่าฟ้าประทาน โชคดีจริง หล่อนสมบูรณ์แบบ ถึงแม้ว่าบางส่วนของเรือนกายมีข้อบกพร่องบ้าง แต่ในข้อบกพร่องนั้นแทนที่จะเป็นจุดด้อย กลับกลายเป็นจุดเด่น เสริมเสน่ห์ให้แก่หล่อนไปเสียอย่างนั้น

“ค่ะ ช่วงนี้มีงานวัดบำเพ็ญใต้ค่ะ อีกสองวันจะหมดงานแล้วนะคะ คุณแอ๋มสนใจหรือคะ” สาวครัวคนหนึ่งถาม หล่อนยิ้ม เกิดบุ๋มขึ้นที่สองแก้ม ลักยิ้มนี้เป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งของหล่อน

หล่อนไม่ตอบคำถามสาวใช้ แต่ในหัวกลับจินตนาการถึงวันวารในอดีตเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก

ออกจากห้องครัวมานั่งพักบนโซฟาหนังตัวใหญ่ ทีวีจอมหึมาเปิดทิ้งไว้อย่างเจ้าตัวไม่ได้สนใจดู หล่อนเอาแต่นั่งลิ้มรสชื่นชมภาพในหัวเมื่อครั้งแม่พาไปเที่ยวงานวัด จำได้ว่า หลังลงมาจากการนั่งชิงช้าสวรรค์ หล่อนก็ร้องขอแม่ซื้อลูกโป่งให้ แต่ไม่นานนักทำลูกโป่งหลุดลอยไปจากมือ พุ่งสู่อากาศสว่างไสวด้วยหลอดไฟหลากหลายสี เนื่องจากเผอเรออยู่ไม่เป็นสุขประสาเด็กซน

หล่อนร้องไห้จะเอาลูกโป่งอีก แต่แม่ไม่ยอม บ่นเสียดายเงินเปล่าๆ หล่อนงอแงยังไงก็ไม่ได้ผล แต่เมื่อได้กินอมยิ้มที่ปั้นเป็นตุ๊กตาสีสันฉูดฉาดตา จึงยอมเงียบเสียง ปากเขลอะ เอาชายเสื้อเช็ดปาก ถูกแม่เอ็ดว่าเป็นเด็กสกปรก พ่อแม่ไม่สั่งสอน แม่ควักผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดคราบน้ำตาลให้ ไม่เพียงแค่นั้นยังพาไปนั่งม้าหมุน ดูรถไต่ถัง ซึ่งอันหลังนี้หล่อนไม่ชอบเลย เสียงมันดังครึกโครม และดูน่าหวาดเสียวยังไงไม่รู้

นานมากแล้วที่ไม่ได้ไปเที่ยวงานวัด หากได้ไปอีกครั้งก็คงดีไม่น้อย และขณะที่นั่งถวิลหาบรรยากาศเก่าๆ อยู่นั้น ผู้จัดการส่วนตัวซึ่งมีศักดิ์เป็นญาติผู้พี่และพักอาศัยอยู่ในบ้านเดียวกับหล่อนก็เดินเข้ามาทรุดนั่งข้างๆ

“ฝันถึงอะไรจ๊ะ หน้าบานเชียว” ผู้จัดการส่วนตัวทัก

“พี่จันทร์ เราไปเที่ยวงานวัดกันมั้ย” หล่อนชวน กุมไหล่เธอพลางเขย่าเบาๆ จันทร์ย่นหัวคิ้ว ประหลาดใจ หล่อนพูดต่อ “มีงานวัดที่วัดบำเพ็ญใต้ ไปกันนะคืนนี้ ฉันอยากรำลึกถึงบรรยากาศเดิมๆ ตอนเด็กๆ แต่ไม่รู้ว่างานวัดเดี๋ยวนี้ยังเหมือนเดิมอีกหรือเปล่านะ”

“โอย มันไม่เหมือนเดิมอยู่แล้วละ ยุคสมัยเปลี่ยน อะไรๆ ก็แปรเปลี่ยนไปหมด”

“พูดเหมือนเคยไปแน่ะ เอ้…หรือว่าพี่จันทร์เคยไปงานวัด”

จันทร์ส่ายหน้า นานมากเช่นกันที่ไม่ได้เที่ยวงานวัด งานที่รับผิดชอบอยู่ไม่อนุญาตให้มีเวลาว่างมากนัก

“งั้นเราไปกันนะพี่จันทร์ คืนนี้เราจะได้สนุกกัน เอาให้สุดเหวี่ยงเลย”

จันทร์ลังเลใจ ไม่เห็นด้วยกับการจะไปปรากฏตัวของดาราสาวยอดนิยมในงานวัดเช่นนั้น มันจะไม่สนุกอย่างที่หล่อนว่าแน่ มีรึคนจะจำขวัญใจของพวกเขาไม่ได้ แล้วหลังจากนั้นล่ะ พวกเขาไม่แห่เข้ามารุมล้อมขอถ่ายรูปและมาขอลายเซ็นให้ชุลมุนวุ่นวายเชียวหรือ

“มันไม่เป็นส่วนตัวหรอก อย่าไปเลยนะ แอ๋ม”

หล่อนยอมรับว่าการเป็นบุคคลสาธารณะนำเกียรติยศเงินตรามาให้มากมายมหาศาล และหล่อนก็ยินดีปรีดากับสิ่งเหล่านั้นด้วย แต่บางครั้งรู้สึกได้ถึงความอึดอัดที่ถูกผู้คนล้อมหน้าล้อมหลัง ต้อนซ้ายต้อนขวา ขาดอิสระ ถึงแม้การกระทำของพวกเขานั้นจะเป็นไปด้วยความรักและชื่นชอบก็ตามเถิด

“เราลองปลอมตัวดีไหมพี่” หล่อนเสนอ ความต้องการที่จะไปเที่ยวงานวัดมีสูงยิ่งกว่าปรอทในหน้าร้อน “ไปนะพี่จันทร์ เราปลอมตัวให้ดีๆ แค่นี้ก็ไม่มีใครจำได้แล้ว พี่นึกสิ พี่…” หล่อนกำมือหลวมๆ เตะปลายคาง เชิดคางขึ้นเล็กน้อย ทำตาพริ้มๆ “…นั่งชิงช้าสวรรค์ ขี่ม้าหมุน…กินขนมสายไหม…โอย ฉันอยากไปเดี๋ยวนี้เลย”

“แอ๋มตื่นๆ ฝันเฟื่องอยู่ได้” จันทร์เขย่าหล่อน พลางหัวร่อ

ในที่สุดผู้จัดการส่วนตัวมิอาจขัดความประสงค์ของดาราสาวได้ จึงต้องยอมไปเที่ยวงานวัดด้วย ทั้งสองเลือกแต่งตัวธรรมดาให้ใกล้เคียงกับชาวบ้านสุดๆ โดยเฉพาะดาราสาวต้องหาเสื้อผ้าอยู่เป็นเวลานานครัน กว่าจะลงตัวได้ที่เสื้อผ้าซึ่งธรรมดามากที่สุดเท่าที่มีในตู้เสื้อผ้าของหล่อน

“ฉันพอจะกลมกลืนกับพวกเขาได้แล้วใช่มั้ย พี่จันทร์” หล่อนยืนหมุนไปรอบๆ กระจกเงา เต้นไปมายิ่งกว่าเด็กน้อยแสนซุกซน เสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงซีดๆ แบบนี้ ก็น่าจะกลบความเป็นดารางดังแก่หล่อนได้ แต่กระนั้นเสื้อผ้าของหล่อนก็ยังดูออกว่าเป็นเสื้อมียี่ห้อ เพราะมันมีดีไซน์

“พอได้อยู่ แต่อย่าลืมใส่แว่นสีชาไปด้วยนะ” เธอเตือน อีกทั้งดาราสาวไม่นำรถหรูหราของตนออกไปใช้ตามคำแนะนำของญาติผู้พี่ ทั้งคู่เรียกรถแท็กซี่ คนขับเป็นคนหนุ่ม ชาวกรุง เขามองหล่อนอย่างไม่กะพริบตาผ่านกระจกมองหลัง “ผมว่าผมคุ้นๆ หน้าอยู่นะ คุณเนี่ย”

หล่อนมองเขาผ่านกระจกหลังเช่นกัน แล้วถาม “คุ้นอะไร”

“ผมว่าคุณเป็น…ผมว่าคุณคือ อ้า…”

ไม่ได้การละ หล่อนรีบขยับดันแว่นสีชาชิดใบหน้า ให้มันอำพรางใบหน้ามากขึ้น “เปล่า ฉันไม่ได้เป็น…”

ด้วยความหวาดเสียวกลัวความลับแตก หล่อนรีบโพล่งออกมาหมายจะปฏิเสธว่าหล่อนไม่ใช่ดาราดังตามที่เขาเข้าใจ แต่จันทร์สะกิดหน้าขาหล่อนไว้ทัน จันทร์พยายามชวนคุยเรื่องอื่นเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ หนุ่มแท็กซี่เงียบไปพักใหญ่ แต่ก็ยังลอบมองหล่อนเป็นระยะๆ จนกระทั่งหล่อนเริ่มอึดอัด พลางนึกว่า นี่ขนาดไม่ได้แต่งหน้า สวมแว่นตาสีชา และแต่งตัวปอนๆ ยังมีคนเอะใจอีกหรือ

“อย่าลอบมองฉันอย่างนั้น เสียมารยาทนะ” หล่อนพูดเสียงเข้ม

“อะ…ขอโทษครับ ผมไม่มีเจตนาร้าย คือว่า อ่า…ผมแค่ว่าคุณหน้าตาเหมือนดารานะ”

“ดารงดาราที่ไหน” จันทร์รีบพูดแทรก หากปล่อยให้ดาราสาวสนทนากับหนุ่มขับแท็กซี่ ประเดี๋ยวหล่อนอาจหงุดหงิด หรืออาจทำความลับแตกเสียเอง แต่ดาราสาวไม่คิดเห็นอย่างนั้น ตอนนี้เกิดความคิดใหม่ขึ้นมา หล่อนต้องการทดสอบหนุ่มแท็กซี่ว่าเขาจำหล่อนได้จริงหรือในคราบสามัญธรรมดาแบบนี้ จึงกล่าวอย่างยั่วล้อ “คุณว่าฉันเหมือนใครล่ะ ฉันน่ะถูกทักว่าเหมือนดาราบ่อยแหละ บ่อยจนเซ็งแล้วละ”

“ใช่ๆ ผมว่าคุณเหมือนดาราคนหนึ่งนะ ดาราดังด้วย”

“แล้วใครล่ะ บอกมาเลย อย่ามัวแต่ออกลีลา”

“แอ๋ม…แอ๋มไงครับ” เขาพูดอย่างครุ่นคิด “หรือว่าคุณคือแอ๋ม สาวิกา” น้ำเสียงหนักแน่น นักแสดงว่าแน่ใจมาก แต่พอเห็นรอยยิ้มของหล่อนจางๆ ที่ยังตั้งใจล้อเขา หนุ่มแท็กซี่จึงกล่าวด้วยเสียงอ่อยๆ ว่า “แต่ไม่น่าใช่นะ มีคนหน้าเหมือนแอ๋มเขาเยอะ อีกอย่างหนึ่งแอ๋ม สาวิกาน่ะไม่แต่งตัวแบบนี้หรอก และอีกอย่างหนึ่ง คุณบอกผมเองว่าจะไปเที่ยวงานวัดบำเพ็ญใต้ ดาราระดับนั้นเขาคงหัวสูงมาก คงไม่มาเที่ยวที่ต่ำๆ แบบชาวบ้านๆ หรอกครับ”

หล่อนร้อนวูบใบหน้า เหมือนโดนมือเขาตบหนึ่งฉาด พยายามกดข่มความรู้สึกขุ่นเคืองเมื่อได้ฟังวาจาอันส่อถึงการหมิ่นประมาท แย่กว่านั้น หล่อนตกที่นั่งลำบาก คือหล่อนก็ไม่สามารถเถียง เพราะว่าไม่ได้อยู่ในฐานะเปิดเผยตัวหรือจะแก้ตัวแทนได้ ถ้าหากทำตัวเป็นแฟนานุแฟนของดาราสาวก็คงเสียเวลาเปล่า แต่ถึงอย่างไรก็รู้สึกสบายใจหน่อยหนึ่ง ที่ได้ถอยกลับไปในพื้นที่ส่วนตัว…พื้นที่ปลอดภัย ดีแล้วละที่หนุ่มแท็กซี่คิดเห็นแบบนั้น แม้ว่าเป็นทัศนคติเชิงลบก็ตาม

คืนนี้หล่อนได้ความเป็นส่วนตัวกลับคืนมาแน่นอนในที่สาธารณะ พวกชาวบ้านต้องจำหล่อนไม่ได้เฉกเช่นหนุ่มขับแท็กซี่คนนี้เป็นแน่แท้

รถแท็กซี่จอดส่งที่หน้าวัด เสียงอันรื่นเริงสนุกสนานดังไปทั่วบริเวณ แอ๋มรู้สึกตื่นตัวมากกับบรรยากาศเริ่มต้นนี้ แต่อีกอารมณ์หนึ่งก็รู้สึกเกร็งกลัวคนจะจับได้ พอเข้ามาในบริเวณงานจริง ความตื่นเต้นหายไปหน่อยเดียว ความผิดหวังแล่นมาแทนท่วมท้น เนื่องจากว่างานวัดในค่ำคืนนี้ไม่เหมือนกับที่หวนรำลึกไว้เลย อย่างที่ผู้จัดการส่วนตัวกล่าวไว้ไม่ผิด มันเปลี่ยนแปลงไปแล้ว เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยที่ผันผ่าน และความรู้สึกนี้ก็ถูกตอกย้ำให้ได้ประจักษ์ความจริงอีก เมื่อหล่อนมายืนอยู่หน้าชิงช้าสวรรค์ หล่อนเงยหน้ามองมัน ไม่เห็นว่ามันจะใหญ่โตโอฬารอะไรเหมือนกับที่เด็กน้อยแหงนหน้าจนคอตั้งบ่าในครั้งเยาวกาล แถมเสียงกึงกังของมันขณะที่หมุนรอบก็ไม่ได้สร้างความรู้สึกหวาดเสียวระคนตื่นเต้นอย่างในวัยเด็กเป็นอีกเช่นกัน ยามนี้รู้สึกเป็นห่วงและกลัวว่ามันจะพังครืนลงมามากกว่า เนื่องจากสภาพที่เห็นมันคล้ายคนชราแบกอะไรต่อมิอะไรไว้บนบ่ามากโข

“มันเล็กมากเลยนะ” หล่อนเอ่ยกับผู้จัดการส่วนตัว สังเวชใจกับสังขารของมัน

“มันก็เท่าเดิมนั่นแหละ เพียงแต่ว่าเราโตขึ้นเท่านั้นเอง”

หล่อนไม่ได้ขึ้นชิงช้าสวรรค์ตามที่หมายหวังไว้ หล่อนถามหารถไต่ถัง และเมื่อพบแล้ว หล่อนก็ไม่มีความตื่นเต้นหรือสะทกสะท้านกับมันเหมือนครั้งเด็กน้อยเป็นอีกเหมือนกัน อารมณ์ยามนี้ก็แค่คิดว่ามันเป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ เป็นเรื่องทำความเข้าใจได้ไม่ยากเย็นว่า ที่คนขี่รถต้องขี่ด้วยความเร็วสูงนั้นก็เพื่อให้เกิดแรงเหวี่ยงหนีแรงโน้มถ่วงของโลกนั่นเอง ซึ่งในวัยเยาว์หล่อนอัศจรรย์ใจยิ่งนักกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า เห็นว่ามันเป็นเรื่องเกินเชื่อ เป็นเรื่องของปาฏิหาริย์ แม้ว่าเสียงมันจะดังโครมครามข่มขวัญให้น่าหวาดเสียวก็ตามเถิด

หล่อนชวนผู้จัดการหนีจากรถไต่ถัง มายืนชมม้าหมุน แน่นอนว่าหล่อนโตเกินกว่าจะปีนขึ้นไปนั่งบนนั้นแล้วด้วย หล่อนยืนมองเด็กๆ ที่กำลังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับการได้นั่งม้าหมุน ที่เคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างขึ้นลงสูงต่ำ เด็กส่วนใหญ่ยิ้มแป้นยกมือทักทายพ่อแม่ที่ยืนให้กำลังใจอยู่ข้างล่างเมื่อหมุนรอบมาเจอกัน แม่บางคนหันมามองดาราสาวแล้วยิ้มให้ แต่ไม่ทักทายอะไร ฉะนั้นหล่อนแปลอากัปกิริยานั้นว่า เขาจำหล่อนไม่ได้แน่ ดีสิ ดีเลย ที่ยังรักษาความเป็นส่วนตัวไว้ได้ หล่อนยังสามารถซุกซ่อนอยู่ในพื้นที่อันสงบ และเมื่อนึกคิดอย่างนั้น อาการหวาดระแวงหรือเกร็งฝืนที่เหลืออยู่ก็คลายจางไปสิ้น

ตอนยืนยิงเป้า หล่อนยิงไปหลายบาท เพลิดเพลินมาก แม้ว่าจะยิงอะไรไม่ค่อยถูกก็ตาม นาทีหนึ่งหล่อนกำลังจะขอซื้อลูกกระสุนต่อ ก็หันไปสะดุดกับสายตาคู่หนึ่งเข้า สายตาคู่นั้นมองหล่อนอย่างฉงนฉงาย

“กูว่าดาราว่ะ” เจ้าของสายตาซึ่งเป็นวัยรุ่นหญิงเอ่ยขึ้น พลางสะกิดเพื่อนหญิงวัยเดียวกันอีกคนให้หันมาดู

“ใคร”

“คุ้นๆ เอ้…” เด็กวัยรุ่นหญิงหรี่ตา เพ่งสมาธิขบคิด “เออ…จำได้แล้ว แอ๋มไง แอ๋ม สาวิกาไง แก”

“ใช่หรือวะ”

“กูว่ากูจำไม่ผิด”

พูดแล้วเธอก็สืบเท้าเข้าหา ไม่แค่นั้นเธอก็ร้องขึ้นว่า “พี่แอ๋มขา ขอถ่ายรูปหน่อยค่า”

คนในบริเวณนั้นได้ยินก็หันมามอง เธอยังไม่หยุดแค่นั้น ปราดเข้ามาประชิดตัวหล่อนอย่างรวดเร็ว “ขอถ่ายรูปหน่อยอ่ะ พี่แอ๋ม”

“เอ้า ดาราดังมาเที่ยวงานวัดหรือเนี่ย” มีคนหนึ่งตะโกนขึ้น น้ำเสียงเต็มไปด้วยความมหัศจรรย์ใจ

“มิน่าล่ะ หนูก็ว่าคุ้นๆ หน้ายังไง้ยังไงอยู่เหมือนกัน” เด็กสาวขายกระสุนปืนยิงเป้าเปรยขึ้นอย่างชื่นชม “พี่ขอลายเซ็นหน่อย อีกถาดหนูให้ยิงฟรีเลย ดาราในดวงใจ”

ความจริงแค่นั้นก็ไม่มีปัญหาอะไร ฉลองศรัทธาพวกเขา โดยถ่ายรูปกับพวกเขาสักหน่อย แจกลายเซ็นให้พวกเขาสักนิด ยิงเป้าฟรีเป็นของแถมตามที่เขาเสนอ เท่านี้ก็หมดเรื่องหมดราว แต่ดาราสาวกลับคิดหนัก คิดหวงแหนพื้นที่ส่วนตัวสุดๆ หล่อนรีบกล่าวปฏิเสธว่า “จำคนผิดแล้วค่า น้อง” หล่อนรีบวางปืนอัดลมลง และดึงมือผู้จัดการสาวอย่างแรง สาวเท้าออกเดินอย่างไม่ดูตาม้าตาเรือ กระทั่งสะดุดกับสายโยงเต็นท์หลังหนึ่งเข้าอย่างจัง หล่อนคะมำเกือบหน้าคว่ำกระแทกดิน เซถลาไปชนกับผู้หญิงคนหนึ่งที่เดินมากับแฟนหนุ่ม และด้วยความตกใจ ผู้หญิงคนนั้นยกมือขึ้นปัดป้องอย่างรวดเร็ว และหนักหนาเอาการ โดยสันมือของเธอฟาดโดนดั้งจมูกของดาราสาวอย่างจัง โดยไม่ตั้งใจ

“โอย” หล่อนร้องเสียงหลง เอามือขึ้นแตะที่ปลายจมูก รับรู้ได้ถึงความแสบเจ็บปวด และสัมผัสได้ว่ามีเลือดอุ่นๆ ไหลออกมา

“หักหรือเปล่าพี่” หล่อนร้องถามผู้จัดการด้วยความลนลานตกใจ

พวกเด็กวัยรุ่นที่แห่ตามมาแต่แรกพากันผงะ ตรึงฝ่าเท้าอยู่กับที่ ทำอะไรไม่ถูก เพราะไม่คิดว่าตนเองเป็นสาเหตุให้ดาราสาวบาดเจ็บแบบนั้น ต่อมาได้สติคืนกลับ พวกเขายกมือไหว้ปลกๆ ขอโทษ จากนั้นผละไปอย่างฉับพลันอย่างไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ เช่นกันหญิงสาวที่เอามือฟาดดั้งจมูกดาราสาวก็หายวับไปในผู้คนที่พลุกพล่าน แต่รายนี้หนักหน่อย คือไม่ได้เอ่ยปากขออภัยหล่อนเลยแม้แต่น้อย

ผู้จัดการควักผ้าเช็ดหน้าให้ หล่อนซับเลือดที่ไหลออกมาจากรูจมูกด้วยสีหน้าเป็นทุกข์เป็นร้อน

“ดั้งหักแน่นอนเลย” หล่อนบ่น ดวงตาละห้อย

“ไปโรงพยาบาลเลย” ผู้จัดการพูดเบาๆ และไม่เอ่ยชื่อ ถึงยังไงก็ยังไม่อยากเปิดเผยฐานะของหล่อน

ซึ่งอันที่จริงความเลยเถิดมาถึงอย่างนี้แล้ว ไม่จำเป็นต้องปิดบังแล้วละ

หล่อนบ่นอย่างน้อยใจแกมโมโหในรถแท็กซี่ที่กำลังจะพาหล่อนไปพบหมอที่โรงพยาบาลเอกชนในย่านนั้นว่า “แม่ง เพียงต้องการมาเที่ยวงานวัด ไม่ได้เชียวหรือ”

“คุณว่าไงนะ มาเที่ยวงานวัดกับเขาด้วยรึครับคุณสาวิกา” ชายขับแท็กซี่เปรยขึ้น อารมณ์เต็มไปด้วยความฉงน

ดาราสาวกับผู้จัดการส่วนตัวมัวแต่จดจ่อสนใจแผลที่ดั้งจมูกกับคิดถึงโรงพยาบาลที่จะไป จึงไม่ได้ยินคำพูดประโยคนั้น