เรื่องสั้น | ในแสงเทียน (1)

ร่างของเขานอนนิ่งอยู่ภายใต้ผ้าขาว ที่คลุมไว้ตลอดทั้งร่าง บนเตียงโครเมียมแวววาวมีล้อ ภายในห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาล สว่างจ้าจนทำให้สายตาพร่า ทุกอย่างเหมือนทาทับไว้ด้วยสีขาวไข่มุก เมื่อโดนแสงสว่างจากหลอดฟลูออเรสเซนต์หลายหลอดบนเพดานห้องเตี้ยๆ ส่องสว่างออกมาพร้อมๆ กัน กลิ่นยาฆ่าเชื้อกระจายฟุ้งเต็มห้อง พยาบาลในชุดขาวสองคนกำลังจัดเตรียมอุปกรณ์ทางการแพทย์ตรงมุมห้องด้านใน

ทุกอย่างช่างขาวโพลนไปหมด ขาวจนรู้สึกเหมือนอยู่ในสถานที่เหนือจริงสักแห่งในฝัน อากาศภายในห้องหนาวเหน็บ ยินเสียงครางเบาๆ จากเครื่องปรับอากาศ คงฝังอยู่ตรงไหนสักแห่งภายในห้อง เตียงสนามอีกเตียงว่างเปล่า วางชิดติดผนังห้องข้างๆ ร่างของเขา

ผมเดินผ่านประตูอัตโนมัติเข้าไปในห้อง ฟ้าภรรยาของเขานั่งอยู่บนเก้าอี้ไม่ห่างไปจากร่างนั้น เธอเงยหน้ามองผม แววตาแดงก่ำและบวมจากการร้องไห้ ผมชี้ไปยังร่างถูกคลุมด้วยผ้าขาวบนเตียง เธอเพียงพยักหน้า แล้วรีบก้มหน้า ผมได้ยินเสียงสะอื้นเบาๆ

ผมเข้าไปยืนข้างๆ เขา มองผ้าขาวคลุมแนบไปตามรูปร่างอวบๆ แบบหยาบๆ อยู่นาน มือซ้ายถือถุงผ้าแนบข้างลำตัว เริ่มสั่นเล็กน้อย ส่วนมือขวากำลังจะเอื้อมไปตรงชายผ้าห้อยลงข้างเตียง ยิ่งสั่นระริกเหมือนควบคุมไม่ได้

เมื่อวานเราเพิ่งแยกจากกันตรงสนามบินดอนเมืองหลังบินมาจากภูเก็ต ตอนประมาณห้าโมงเย็น เพียงไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมง ความตายทำหน้าที่ของมันอย่างตรงไปตรงมา จนผมรู้สึกเสียวต้นคอ คล้ายตัวเองสัมผัสกับความตายอย่างใกล้ชิด

ผมรับโทรศัพท์ของฟ้าตอนประมาณบ่ายสองโมง เธอบอกว่าเขาหัวใจวาย ตอนเดินออกจากประตูรถไฟฟ้าตรงสถานีพญาไท แม้จะมีการรีบส่งร่างของเขาไปยังโรงพยาบาล แต่ช้าเกินกว่าจะช่วยเหลือไว้ได้

ผมยกถุงผ้าขึ้นแนบอก นาฬิกาตรงผนังห้องบอกเวลาห้าโมงยี่สิบเอ็ดนาที ผมรีบมาทันทีหลังรับโทรศัพท์ของฟ้า ผมขอให้ฟ้าอ้อนวอนกับหมอ เพื่อขอเวลามาดูหน้าเขาเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนพนักงานโรงพยาบาลจะนำร่างของเขาไปเก็บไว้ในห้องดับจิต

ผมหันไปมองพยาบาลสาว เธอหันหน้ามาพอดี ผมทำท่าขออนุญาตเปิดผ้าคลุม เธอเพียงพยักหน้า แล้วกลับไปสนใจงานตัวเองต่อไป

มือกำลังดึงผ้าคลุมตรงชายผ้าด้านศีรษะของเขา ยิ่งสั่นมากขึ้น ผมค่อยๆ พลิกผ้าคลุมมาทับไว้ตรงหน้าอกเขา ร่างนั่นดูซีดขาว กลืนไปกับห้องได้อย่างดี ขาวจริงๆ ขาวจนรู้สึกเหมือนมีประกายบางอย่างเรืองออกมาจากร่างไร้วิญญาณ

เขาอยู่ในชุดเสื้อยืดสีฟ้าจางๆ ตัวเก่า บนหน้าอกเสื้อสกรีนรูปบิลล์ เอแวนส์ กำลังก้มหน้าอยู่เหนือคีย์เปียโน ใบหน้าเขายิ่งซีดขาว หนวดเคราขาวไม่ได้ดกหนา แต่ตัดเล็มให้สั้นแนบติดผิวหน้า บางเส้นสะท้อนแสงแวววาว เส้นผมยาวสีเทากับหงอกขาวกระจายอยู่ข้างไหล่ทั้งสองข้าง

ผมจ้องใบหน้าแข็งๆ นิ่งและนาน ถึงแม้ความตายจะพรากไปไม่นานนัก กับวัยห้าสิบเก้าปี เมื่อเทียบใบหน้าตอนนี้กับตอนมีชีวิต แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ผิวหน้าเคยเต่งตึง เต็มไปด้วยเลือดฝาด ตอนนี้ขาวเผือด จนดูเหมือนจะแนบติดเข้าไปกับกระดูกบนใบหน้าอย่างประหลาด ไม่เหมือนใบหน้าที่ผมคุ้นชิน มีบางอย่างเปลี่ยนไป รอยตีนกาตรงหางตาหลายเส้น ดูลึกจนชัดเจนเกินจริง เช่นเดียวกับรอยพาดตรงหน้าผากสามรอย เรียงกันลงมาจากชายผมจนถึงโหนกคิ้ว คล้ายมีใครเอาปากกาดำเส้นใหญ่ไปขีดไว้ แก้มตอบลึกเข้าไปในโพรงปาก จนเห็นโหนกแก้มชัดเจน ทั้งๆ ที่เขามีใบหน้าอวบแบบคนอ้วน

ผมปาดเส้นผมรกกระจายละไหล่ให้รวมกันอยู่ข้างแขน วางถุงผ้าลงบนหน้าอกเขา ดึงเอาเครื่องเล่นซีดีแบบพกพากับหูฟังออกมา ในตัวเครื่องมีแผ่นเพลงที่เขาชอบ เสียบแจ๊กหูฟังเข้ากับตัวเครื่อง มือสั่นๆ เริ่มเป็นปกติ แนบหูฟังทั้งสองข้างให้ติดไว้กับใบหูของเขา

พยาบาลสาวคนเดิมมองมาด้วยแววตาแปลกใจ ผมไม่สนใจ กดปุ่มเพลย์ให้เครื่องทำงาน ไม่มีใครได้ยินเสียงเพลงกำลังกรอกหูทั้งสองข้างของเขา แต่ผมยังจ้องใบหน้าเขาอย่างพินิจ ฟ้าเดินมายืนข้างผม มองหน้าผมแล้วยิ้มนิดๆ แม้ดวงตายังมีหยาดน้ำตาเอ่อคลออยู่ก็ตาม

เสียงเพลง Morning Glory ของทิม บัคเลย์ ตามด้วยเสียงเปียโนจากบิลล์ เอแวนส์ ในบทเพลง Nardis ขับกล่อมดวงวิญญาณ บางทีเขาอาจกำลังฟังอยู่ด้วยรอยยิ้ม ตรงไหนสักแห่ง ตรงที่คนเป็นไม่สามารถไปเยือน หรืออาจยืนอยู่ข้างผมกับฟ้าก็เป็นได้

“คุณทำไร” พยาบาลสูงวัยอีกคนเดินมายืนอีกฝั่งของเตียง มองหูฟังพาดข้างหูศพด้วยแววตาสงสัย

“ผมแค่เปิดเพลงโปรดของเขาให้เขาฟัง” ผมตอบแผ่วเบา มองหน้าพยาบาลคนนั้น

“คุณจะบ้าเหรอ” น้ำเสียงเธอขุ่นข้อง เงยหน้าขึ้นมาจ้องหน้าผม “คนตายนะคุณ”

“ครับ…ผมทราบ” ผมพยายามยิ้ม “เค้าเป็นเพื่อนรักของผม”

“ไม่เป็นไรค่ะ” ฟ้าเอ่ยกับพยาบาล

“คนตายไม่ได้ยินไรหรอก” เธอพูดกับฟ้า

“ก็ไม่แน่หรอกครับ” น้ำเสียงผมนิ่มนวล สายตามองใบหน้าเขา แล้วรู้สึกเหมือนเห็นรอยยิ้มจางๆ บนใบหน้าซีดๆ นั้น “เรามีสัญญาใจระหว่างกันนะครับ”

“ตามใจคุณเถอะ” พยาบาลส่ายหน้า แววตามีบางอย่างดูแคลนแอบเร้นอยู่ “เดี๋ยวพนักงานจะย้ายศพไปห้องเก็บ”

“ครับ…ขอบคุณ” ผมยังจ้องหน้าเขานิ่ง แล้วร่างผมก็สั่นสะท้าน ผมรู้สึกเย็นยะเยือกข้างใน ภาพตรงหน้าเลือนจาง มีแต่แสงสีขาวเรืองกระจายฟุ้งปกคลุมไปทั่วทั้งห้อง มันขาวจนไม่มีแม้แต่เงาให้เห็น

ผมรู้สึกตัวอีกที เมื่อมีมือฟ้ามาบีบต้นแขนผมเอาไว้…

ผมไม่ได้เห็นแสงจากเทียนไขแท่งนั้นมานานแล้ว…

เทียนแท่งใหญ่สีขาวขุ่น เต็มไปด้วยน้ำตาเทียน ไหลย้อยลงเกาะติดตามลำแท่งเทียน ลงไปทับถมตรงฐาน ติดอยู่ตรงขอบหน้าต่าง ไม่เคยย้ายไปไหนเลย คราบฝุ่นเกาะจับตามแท่งเทียน เซาะลึกเข้าไปในซอกรอนซับซ้อนของน้ำตาเทียน ซึ่งไหลลงทับซ้อนกัน ไส้เทียนสั้นๆ สีดำโผล่ขึ้นจากแอ่งตรงกลางลำแท่งเทียน ดูแล้วรู้สึกเหมือนซากเล็กๆ จากอดีตอันเคยสว่างไสว

เสียงเพลง Morning Glory เพลงสุดท้ายจากอัลบั้มชุด Goodbye And Hello ของทิม บัคเลย์ ก้องอยู่ในห้อง ข้างนอกยังมืด อีกไม่นานแสงเช้าจะกลับมา ผมคิดถึงเขา เจ้าของแท่งเทียนตรงขอบหน้าต่างแท่งนี้ เขารักเพลงบทนี้ เขารักทิม บัคเลย์ เขารักผลงานห้าชุดแรก ในลีลาอะคูสติกก่อนตายของบัคเลย์อย่างสุดหัวใจ

“ฉันจุดเทียนไขเล่มบริสุทธิ์ที่สุดของฉัน

ไว้ใกล้กับบานหน้าต่างของฉัน

เพียงหวังให้สะท้อนดวงตาคนจรจัดผู้ผ่านมา

และฉันรอคอยอยู่ภายในบ้านพักชั่วคราวของฉัน”

ผมอยู่คนเดียวในทาวน์เฮาส์ชานเมืองของเขา หลังงานศพเสร็จสิ้น ฟ้าขอให้ผมมาพักที่นี่ เพื่อเธอจะกลับไปดูแลพ่อกำลังป่วยอยู่ที่บ้านตัวเอง ผมจุดเทียนไขแท่งนั้น จ้องมองเปลวเทียนสว่างขึ้นอีกครั้ง แม้ไม่มีดวงตาคนจรจัดผ่านเข้ามา แต่ผมเห็นดวงตาเขา มีแววตาสดใส แฝงความอ่อนไหวให้เห็นเสมอ บนใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยับก่อนวัย เส้นผมสีเทาแซมขาว ปล่อยยาวถึงกลางหลัง หนวดเคราขาวไม่ได้ดกหนา แต่ทิ้งรกไว้บนใบหน้าอย่างตั้งใจ

“ชีวิตเราเหมือนเสียงเพลงของบัคเลย์” เขาพูดกับผมในวันหนึ่ง ขณะกำลังฟังเพลง Dream Letter จากอัลบั้มชุด Happy Sad ผมยังยินเสียงต่ำห้าวจากสายดับเบิลเบส กำลังถูกสีด้วยคันชัก คลอท่วงทำนองไปกับเสียงร้องของบัคเลย์ อันเหงาและแสนเศร้า

งานศพเขามีแค่สามวันเท่านั้น ผมไม่ได้เอาเพลงโปรดทั้งสองเพลงไปเปิดข้างโลงศพตามสัญญา คงเป็นเพราะภายในโลงศพมีเพียงปอยผมหนึ่งปอย ส่วนร่างนั้นได้มอบให้กับโรงพยาบาล เพื่อไว้ศึกษา

แต่น่าแปลกสำหรับผมกับฟ้า ญาติพี่น้องของเขา ไม่มีใครมางานศพเลย ทั้งที่ฟ้าแจ้งให้ทราบแล้ว

ผมจ้องเปลวเทียน ปล่อยให้เสียงบัคเลย์ลอยล่องในบรรยากาศอันเศร้าซึม แล้วนึกถึงดาว ผู้หญิงอันเป็นรักแรกของเขา

เสียงทิม บัคเลย์ แผ่วหายไปเมื่อจบเพลง ผมเดินไปเปลี่ยนแผ่นซีดี หยิบอัลบั้มชุด Happy Sad สอดเข้าไปในเครื่องเล่นบอส รุ่นเวฟ กลับมานั่งบนเก้าอี้ริมหน้าต่าง มีแสงเทียนส่องสว่าง เสียงเพลง Strange Feelin เนิบโหย เอื้อมมือปิดสวิตช์ไฟภายในห้อง

ปล่อยแสงเทียนส่องอดีตให้กลับมา เช่นเดียวกับเสียงเพลงกำลังขับกล่อม

“รู้มั้ย…” เขาเงยหน้าขึ้น หลังพาตัวเองหายไปกับเสียงเปียโนจากปลายนิ้วบิลล์ เอแวนส์ กับบทเพลง Nardis ขณะกำลังล่วงเข้าปลายเพลง “ดนตรีเป็นรสนิยมส่วนตัว มีพลังทิ่มแทงความรู้สึกเราได้ง่ายกว่าศิลปะแขนงอื่น”

เสียงเพลง Nardis กำลังแผ่วจาง ให้ห้องฟังเพลงของผม ด้วยความยาวเกือบยี่สิบนาที เอแวนส์พาเราสองหายไปในโลกส่วนตัวได้อย่างมีมนต์ขลังจนชวนขนลุก เพราะนี่คือการแสดงสดครั้งสุดท้ายในชีวิตเอแวนส์ ที่คีย์สโตน คอร์เนอร์ ในเมืองซานฟรานซิสโก เป็นการแสดงติดต่อกัน ตั้งแต่วันที่ 31 สิงหาคม ไปจนถึงวันที่ 8 กันยายน ปี 1980 ทุกเพลงจากการแสดงสดครั้งนี้ถูกบันทึกออกมาในแบบซีดีบอกซ์เซ็ตรวม 8 แผ่น ให้ชื่อว่า The Last Waltz แล้วอีกเพียงเจ็ดวันต่อมา บิลล์ เอแวนส์ มือเปียโนแสนโรแมนติกผู้นี้ ก็ลาจากโลกไปด้วยวัย 51 ปี

เราต่างจ้องตากัน ในแววตาอ่อนล้าของเราสอง บ่งบอกถึงความรู้สึกเดียวกัน เหมือนอิ่มเอม เต็มล้นไปด้วยความสงบนิ่ง มีความผ่อนคลายโอบรัดไว้อย่างนิ่มนวล

ผมจ้องเขา กำลังนั่งหลับตาบนเก้าอี้หนังเก่า เสียงเปียโนกำลังเล่นเพลง Mother of Earl บนโครงสร้างทรีโออันงดงาม ราวเป็นการเล่นเพื่ออำลา

ในช่วงหลังเมื่ออายุเราเข้าใกล้คนสูงวัย เราคุยกันเรื่องแจ๊ซมากกว่าดนตรีประเภทอื่น เราถกเถียงกันถึงหัวใจในน้ำเสียงแจ๊ซ ระหว่างปัจจุบันกับอดีต อาจย้อนไปไม่ต้องไกลนัก เพียงแค่ทศวรรษที่ 50 หรือเสียดลึกเข้าไปในยุคสะวิง ความต่างในจิตวิญญาณซึ่งแอบแฝงอยู่ในน้ำเสียงแจ๊ซจากอดีต สามารถจับต้องและรู้สึกได้ราวมีตัวตน แต่แจ๊ซในปัจจุบัน แม้ค่อนข้างหลากหลาย กลับไม่สามารถหยิบจับเอาจิตวิญญาณแจ๊ซได้มากนัก ไม่ใช่นักดนตรีแจ๊ซรุ่นใหม่ไร้ความสามารถ ตรงข้าม…พวกเขามีพร้อมทุกอย่าง อันเกี่ยวกับทักษะอย่างมืออาชีพ แล้วอะไรคือส่วนขาดหายไปของพวกเขา

“จิตวิญญาณไง” เขาเหมือนตะโกน “นักดนตรีรุ่นใหม่ เล่นแจ๊ซด้วยสมอง ไม่ได้เล่นออกมาจากหัวใจ”

ผมยิ้มกว้าง

“ถ้าเราตายก่อน…” น้ำเสียงเขาแหบ จ้องหน้าผม “อยากให้เปิดเพลงนาร์ดิส ที่เอแวนส์เล่นก่อนตาย สลับกับเพลงมอร์นิ่ง กลอรีย์ ของบัคเลย์ ไว้ข้างโลงศพเรา”

ผมนิ่ง ฟังเสียงเปียโนพลิ้วไหลไปกับบทเพลงต่อมา If You Could See Me Now อันแสนอ่อนหวาน

“แล้วนายล่ะ” เขาหันมาถาม มีรอยยิ้มบางๆ ประดับ ในแววตามีประกายความอบอุ่น

“ทำไม”

“จะให้เปิดเพลงไรไว้ข้างศพตัวเอง” เขายิ้มกว้าง

“ก็อด เบลสส์ เดอะ ไชลดN ที่อีริก ดอลฟี เดี่ยวเบส แคลริเน็ตแปดนาทีกว่าๆ”

เขาพยักหน้า ยังมีรอยยิ้มกับแววตาอบอุ่น “ที่แสดงสดในอิลลินอยส์ใช่มั้ย”

ผมจ้องตาเขา

“เพลงเดียวเหรอ” เขายกมือเกาเคราข้างแก้ม

“เพลงเดียว” ผมมองออกไปตรงต้นแก้วไร้ดอกในสวน

“เลือกดีนะนี่” น้ำเสียงเขามีบางอย่างเย้ยหยัน

ผมแค่ยิ้ม