เรื่องสั้น : เสียงบุญ

ใครจะคิดว่ามุมมืดหลังองค์พระมีสายตาสองคู่แอบซ่อนจากด้านใน ท่ามกลางกลิ่นอายของไฟเทียน ควันธูป ผู้คนหลายหลากล้วนเข้าใกล้พระพุทธรูปกลางโบสถ์ในเมืองเก่า ตอกย้ำเรื่องราวประวัติศาสตร์นับแต่ยุคกรุงศรีอยุธยา เสียงจ๊อกแจ๊กในเขตวัดดังอื้ออึงตลอดเวลา ชายสองคนรู้แก่ใจว่าภายในโบสถ์ไม่ใช่สถานที่สงบสักเท่าไหร่ ภารกิจที่จำต้องปิดเร้นเว้นกายจึงเป็นไปไม่สมบูรณ์นัก เนื่องจากต้องเผชิญหน้ากับผู้เดินป้วนเปี้ยนไปมา

คนแรกที่รับภาระงานคือทิดแสง ลูกไล่ที่แต่งตัวมอซอคือทิดคำ ทั้งสองเลือกที่จะยืนนิ่งอยู่เงียบๆ โดยไม่ล่วงล้ำออกมา หน้าที่คือจับสังเกตกล่องรับบริจาคซึ่งวางอยู่ด้านหน้าองค์พระ อันมีทั้งกล่องเล็ก กล่องใหญ่ รวมถึงธนบัตรใบละยี่สิบบาทจนถึงพันบาทเย็บแขวนไว้

ถ้าจะสาธยายถึงต้นตอปัญหา โบราณสถานแห่งนี้มิได้หมายมุ่งจะไขว่คว้าเงินทอง กระทั่งรัฐหมายปองให้เกิดโครงการวัดพัฒนา อ้อนวอนชาวบ้านให้ร่วมกันหาปัจจัยส่งเสริมศาสนสถาน หะแรกนโยบายนั้นก็เป็นไปด้วยดีอยู่หรอก แต่หลังจากตอกย้ำถึงการขอรับบริจาค โจรขโมยเงินก็มากขึ้นตามกัน ในฉับพลันพวกเขาติดตั้งกล้องวงจรปิดแต่มันกลับมองไม่ค่อยเห็นหน้าคนร้าย ครั้นจะจ้างยามมาเฝ้าหน้าโบสถ์ก็ดูน่าอับอาย จะแจ้งตำรวจให้มาตรวจจับตลอดเวลาก็เป็นไปไม่ได้ การขอรับบริจาคซึ่งต้องการนำเงินไปบูรณะอุโบสถจึงไม่ถึงเป้าหมาย นักบวชทุกองค์ล้วนหนักใจ กรรมการวัดก็ไม่รู้จะทำอย่างไร นอกจากไหว้วานให้ชาวบ้านอย่างพวกเขาต้องทำตัวลึกลับเสียอย่างนั้น

เสียงสวดมนต์พร้อมคำอธิษฐานอึงอลเป็นระยะเนื่องจากจะมีการบวชนาคขบวนใหญ่ ชายทั้งสองนึกเจ็บใจว่าอาจเป็นภารกิจที่เสียเปล่า กระทั่งสายตาแวบเห็นหญิงกลางคนฝากรอยเท้าเดินเข้ามา พวกเขาแทบมองไม่ออกว่าคนอย่างนางกำลังจดจ้องอะไร แต่ถึงจะทำตัวเล็กลีบนางก็ยังเป็นจุดสนใจ หญิงกลางคนเคลื่อนเข้าใกล้พื้นที่ด้านหน้า ปลดวางกระเป๋าผ้าเช่นเดียวกับชาวบ้านทั่วไป พลังเสียงจากเครื่องไฟยังเด่นดัง ขณะที่นางกำลังนั่งครุ่นคิดถึงบางอย่าง

“นั่นมันนางเล็กไม่ใช่เหรอ” ทิดคำโพล่งวาจา

“ใคร? รู้จักด้วยเหรอ”

“ก็ชาวบ้านแถวนี้แหละ แม่เราก็รู้จัก”

อากัปกิริยานางเล็กไม่อาจเล็ดลอดสายตาชายทั้งสองได้ พวกเขาเห็นนางมองออกไปนอกหน้าต่าง เหม่อดูซากต้นไม้เตียนร้างเพื่อทำลานจอดรถใกล้อาณาเขตโบราณ กระทั่งเมื่อเห็นอาคารคอนกรีตจัดวางอยู่ไม่ห่างก็ให้สะกิดแผลใจอีกครั้งครา

นั่นคือโรงพยาบาล…สถานที่สำคัญของนาง

ถ้อยประกาศดังอึงมี่จากด้านนอก บ่งบอกกิจกรรมสำคัญ นาคใหม่ที่ร่วมกันอุปสมบทหมู่กำลังเคลื่อนขบวนเข้ามา ทั้งนางเล็ก ชายสองคน จนถึงคนในบริเวณใกล้เคียงต่างพากันนึกภาพ ป่านนี้ขบวนนาคคงกำลังขยับเขยื้อนอย่างค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากต้องให้ผู้อุปสมบทนั่งนิ่งบนคานแล้วยกหาม ตรงข้ามกับสาวแก่แม่ม่ายที่รำเฉิบๆ อยู่ด้านหน้า

หลังจากฟังเสียงประกาศที่ดำเนินอยู่ตลอดเวลา ศาสนิกชนในโบสถ์ก็เริ่มทยอยไปดูพิธีการที่กำลังเคลื่อนเข้ามา นางพลันเหหน้ามององค์พระอีกครั้ง พระพุทธรูปองค์ยังคงใหญ่โตขรึมขลัง เคยมีตำนานกล่าวว่าเมื่อครั้งพม่ารามัญบุกเข้าตีกรุงศรีอยุธยา ด้านนอกรบกันบ้าคลั่ง แต่กองทัพต่างด้าวไม่อาจเข้ามาเผาทำลาย ภายหลังชื่นชมบารมีของพระพุทธรูปองค์ใหญ่ชายสองคนก็เห็นนางเริ่มกล่าวคำราวกับร่ายคาถา

“ขอร้ององค์พระเถอะค่ะ ลูกชายหนูกำลังป่วยหนัก นอนอยู่โรงพยาบาลที่อยู่ไม่ไกลจากวัดขององค์นี่ล่ะค่ะ” นางเรียกตัวเองราวกับเด็กน้อยทั้งที่อายุล่วงวัยกลางคน “มันเป็นอะไรของมันก็ไม่รู้ อยู่ๆ มันก็ไม่กินข้าว ดูมันซึมเศร้ายังไงพิกล แต่บางทีก็ลุกขึ้นมาอาละวาด หมอบอกว่ามันเป็นโรคประสาทเฉพาะทาง ลูกชายหนูจะบ้าคลั่งถ้าได้ยินเสียงดังขึ้นมา แต่ที่หนูหนักใจก็คือหนูไม่มีเงิน หนูพยายามรักษาทุกวิธีแล้วแต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ หลวงพ่อพอจะบันดาลให้หนูคิดอะไรออกได้ไหมเจ้าคะ”

นางเล็กพนมมือนิ่ง สบมององค์พระราวไม่ต้องการประวิงเวลา ขณะอีกรูปนามคือถ้อยคำจำนรรจาจากผู้คนทั้งหลาย ท่ามกลางความวุ่นวายในความคิดของผู้มีจริตจดจ้อง สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้อกับการทำบาปแม้เพียงน้อย ทิดคำก็ร้อยความรอบสอง

“ผมได้ยินข่าวลือน่ะ ว่าลูกชายของนางเล็กป่วย”

“ป่วย? ป่วยยังไง”

“ไม่รู้หรอกว่าป่วยเป็นโรคอะไร แค่รู้มาจากแม่ว่าบ้านนางเล็กอยู่ไม่ไกลจากปากซอยทางเข้าวัด ตรงที่อยู่ติดกับริมคลองด้านทิศเหนือของวัดน่ะ”

“แล้วยังไงต่อ”

“เคยได้ยินมาว่านางเล็กขายข้าวต้มมัดอยู่ที่ตลาดในตอนเช้า มีลูกชายคนเดียว ส่วนผัวก็ไม่ยอมทำมาหากิน ภาระเลยตกไปอยู่กับนางเล็กคนเดียว พอเห็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสาร ไม่อยากให้เป็นเป้าหมายเลย เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นที่บ้านนางเล็กคงจะแย่น่าดู”

“ก็ถ้าทำผิดจริง ขโมยเงินวัดจริง ก็ต้องถูกจับละวะ และอันที่จริงมันไม่ใช่ความผิดตามธรรมดาด้วยนะ แต่นี่เป็นการทำบาป เป็นบาปมหันต์เชียวละ รู้หรือเปล่าว่ากว่าจะรวบรวมเงินแต่ละบาทเอาไปซ่อมโบสถ์หลังใหม่ต้องใช้เวลานานขนาดไหน”

เพียงครู่นางเล็กก็สลับกิริยา จากพนมมือในท่วงท่าสบายๆ เปลี่ยนเป็นเคลื่อนกายไปนั่งใกล้องค์พระ ท่วงท่านางเล็กเชื่องช้าราวภาพสโลว์โมชั่น กระนั้นทุกการกระทำก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาพวกเขาได้ ชายทั้งสองมองดูนางเล็กสำรวจไปรอบทั่ว เนื้อตัวนั่งนิ่งราวปูนปั้น ขณะความวุ่นวายของสรรพเสียงมิอาจผ่านเข้าไปในความคิดแม้ส่วนเสี้ยว

ด้วยมโนนึกเพียงหนึ่งเดียวคือลูกชายที่ถูกหมอและพยาบาลจับมัดรัดแน่น เพราะหากลูกได้ยินสรรพเสียงแม้นเพียงน้อยนิดก็จะแดดิ้นไม่รู้ทิศทาง

ภาพร่างขบวนบุญกระชับใกล้ ทุกคนรู้สึกได้จากเสียงแตรวงบีบหัวใจ เสียงนางฟ้านางสวรรค์รำร่ายเริงระบาย ขณะทิดแสงกับทิดคำยังจับจ้องนางเล็กอย่างไม่คลาดสายตา แท้จริงทิดคำไม่อยากให้นางเล็กตกเป็นผู้ต้องหา แต่ในเมื่อร่วมงานกับคนอื่นทุกอย่างก็ต้องว่าไปตามนั้น แตกต่างจากความคิดอันมีหมุดหมายของทิดแสง เขาเป็นหนึ่งในผู้ลงแรงให้บูรณาการโบราณสถานตั้งแต่ต้น ทิดแสงเคยสืบค้นประวัติวัดว่านอกจากพม่าบุกตีไม่แตกแล้ว บารมีอันศักดิ์สิทธิ์ยังคุ้มครองชาวบ้านแถบแถวนี้อยู่บ่อยครั้ง นี่ยังไม่นับเกจิอาจารย์ชื่อดังที่เคยแวะเวียนมาให้กำเนิดพระเครื่อง แม้แต่เขาเองก็ยังคล้องตะกรุดอันรองเรืองไม่ห่างกาย

เงาสลัวของหญิงกลางคนนิ่งสงบอยู่ครู่ใหญ่ นางเล็กสบมององค์พระราวเหม่อลอยในใจ กระทั่งสติกลับหวนคืนเมื่อได้ยินสรรพเสียงเคลื่อนเข้ามา นางเพิ่งนึกออกว่าขบวนแห่พระกำลังเข้าใกล้โรงพยาบาลเสียด้วย ใจหนึ่งนางคิดฉวยย้อนกลับไปประโลมลูกชาย เนื่องเพราะไม่อยากนึกเห็นภาพหากหมอและพยาบาลต้องบังคับควบคุมหัวแก้วหัวแหวนที่กำลังอาละวาด ครั้งล่าสุดเจ้าลูกรักเผลอกัดพยาบาลเป็นรอยจ้ำ หญิงวัยกลางคนในชุดขาวโกรธเกรี้ยวจนเกือบขย้ำคอ แม้จะเจ็บปวดหัวใจแต่ก็จำต้องยืนรอและระงับอารมณ์ไว้

ทว่าสิ่งที่นางหนักใจไม่แพ้กันคือค่ารักษางวดล่าสุด มันแทบฉุดกระชากห้วงสติให้กระจัดกระจาย ยิ่งหมอบอกย้ำว่าลูกชายควรจะถูกส่งตัวไปรักษาในหัวเมืองเนื่องจากเป็นโรคเฉพาะทางยิ่งลำบากใจ อย่างแรกคือ ต้องเข้ารับการบำบัดยืดเยื้อหลายวัน อย่างสองคือ ไม่มีอะไรรับประกันว่าจะหายขาด เพราะไม่ว่าสถานบำบัดระดับชาติก็ทำได้เพียงบรรเทาอาการ อย่างสามคือ สิทธิรักษาฟรีไม่มีโรคนั้นระบุไว้ นางจึงต้องเลือกโรงพยาบาลใกล้บ้านที่รับเป็นผู้ป่วยใน รักษากันต่อไปอย่างไม่รู้จุดหมาย

สายตานางเล็กคล้อยไปด้านหน้าอีกครั้ง คราวนี้เป้าหมายพุ่งยังกล่องรับบริจาค ทิดคำและทิดแสงต่างมากด้วยใจระทึก ทั้งสองนึกถึงวิธีการขโมยที่ได้ยินมาว่าคนร้ายมักจะรุดไปฉกเงินที่กิ่งกฐินก่อนจะงัดกล่องรับบริจาคที่จัดวางไม่ไกล พวกเขาสังเกตว่า แม้นางจะหันเป้าหมายไปที่ปัจจัยไม่ใช่องค์พระ แต่นางก็ยังขยันใบ้บ่นโดยไม่อาจสัมผัสความ

“หลวงพ่อเจ้าคะ อันที่จริงหนูก็ไม่อยากใช้วิธีนี้ แต่หนูไม่มีทางเลือกจริงๆ หนูจะขอทำเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวนะคะ คือหนูเห็นเพื่อนบางคนเขาทำกันหนูก็เลยทำตาม หนูรู้ว่าสิ่งที่ทำเป็นเรื่องผิด แต่จะให้หนูทำยังไง” นางเล็กพร่ำคำคล้ายสวดมนต์ “หลวงพ่อประทานอภัยให้หนูแล้วใช่ไหมคะ ขอบคุณหลวงพ่อมากเหลือเกินค่ะ” นางบรรจงกราบหลังสิ้นความ ราวอำนาจธรรมมอบสิทธิ์เพื่อก่อการ

ต่อมาในเวลาไม่ช้านาน ชาวพุทธในลานธรรมกลางโบสถ์ก็เริ่มเหความสนใจ สดับเสียงได้ว่ารูปขบวนหยุดออกันหน้าประตูวัดชั้นใน ถ้อยคำจากมัคนายกซึ่งประกาศผ่านเครื่องกระจายเสียงเรียกร้องทุกสายตาภายใต้บริเวณให้จับจ้องพิธีการ เนื่องจากผันผ่านมาหลายเดือนแล้วที่ทางวัดไม่ได้จัดอุปสมบทแบบยิ่งใหญ่ ผู้คนในโบสถ์จึงกราบลาองค์พระแล้วทยอยถอนตัวจากอาคารโบราณ เบิ่งมองริ้วแถวอันวิจิตรตระการราวเหินเหาะลงมา

จากยี่สิบคนเหลือสิบห้า จากสิบห้าเหลือสิบ จากสิบเหลือห้า จากห้าเหลือสาม นางร่ำร้องในใจให้จำนวนคนลดน้อยลงไป กระทั่งเสียงประกาศในงานเร่งเร้าว่าถ้าใครมาต้อนรับขบวนบุญย่อมมีชีวิตยืนยาว ต่อให้หลุดไปอีกชาติภพก็จะกลับมารุ่งเรืองเฉกคราวพ่อนาคบนขื่อคาน เพียงนั้นบุคคลที่เหลือก็รีบรุดจากศาสนสถาน คู่ขนานกับกิริยาของนางเล็กที่ไม่รอช้า ย่องเงียบเข้าหากล่องรับบริจาคเท่าที่จะเร็วได้

สิ่งแรกที่นางฉุดฉวยคือธนบัตรใส่กระเป๋าผ้า หะแรกนางคิดว่ามันเป็นงานที่ไม่เหลือกำลัง แต่เมื่อลงมือจริงจังกลับพบว่าลวดแม็กคืออุปสรรคใหญ่ นางรีบแกะขดลวดโดยคัดจากมูลค่าของธนบัตรเป็นจุดหมาย แบงก์เทาแบงก์ม่วงทยอยหลุดจากกิ่งกฐินทีละใบสองใบ นางเจ็บแปลบเมื่อคมลวดบาดนิ้วจนเลือดไหล กระทั่งทนไม่ไหวจึงเปลี่ยนเป้าหมายยังกล่องรับบริจาคจะดีกว่า

นางเล็กยกกล่องใบใหญ่จากที่สูงลงมา พยายามหาจุดอ่อนว่าตรงไหนเปิดแง้มได้ แต่ด้วยความไม่คุ้นเคยจะงัดแงะกี่ครั้งก็ไม่สามารถ ครั้นจะอุกอาจทำลายก็ดูเป็นการเรียกความสนใจ ถึงอย่างไรนางก็ไม่ละพยายามเนื่องจากมูลค่าของเงินในกล่องอาจมากกว่าธนบัตรจากกิ่งก้านสาขา ทั้งไม่จำเป็นต้องแกะลวดให้เสียเวลา หากได้ฉวยหยิบธนบัตรโดยไม่ใส่ใจเม็ดเหรียญก็อาจเพียงพอต่อค่าใช้จ่ายได้หลายวัน และเมื่อภาพตรงหน้าเต็มไปด้วยหลักฐาน ทิดคำจึงอ่อนใจไม่อาจลุ้นให้นางปลีกเร้นจากการกระทำดังกล่าว ขณะที่ทิดแสงส่งสัญญาณว่าถึงคราวหงายไพ่เสียที

หากทว่าในนาทีเดียวกัน อาการตระหนกในความผิดบาปก็ไหวหวั่น ผลักดันความรู้สึกของนางให้สองจิตสองใจว่าจะทิ้งเงินบริจาคแล้วกลับไปเฝ้าลูกชายราวกับมิได้เกิดอะไรขึ้น หรือจะฝืนฉกฉวยเงินทองแล้วหยัดวิ่งออกไป สุดท้ายนางตัดสินใจยุติกระทำการ สองมือสั่นเทาควักหยิบธนบัตรที่เคยฉวยใส่มาคืนไว้อย่างหยาบๆ นางฝืนใจสบมององค์พระแล้วตั้งคำถามว่าเพียงเท่านั้นจะพ้นบาปหรือไม่ องค์ท่านจะประทานความเมตตาให้ผู้เผลอทำเรื่องร้ายบ้างหรือเปล่า

“หลวงพ่อคะ หนูเปลี่ยนใจแล้ว หนูกราบขอโทษนะคะ หนูขอยกเลิกความคิดของหนูเมื่อครู่ก่อน หนูจะไม่ทำอีกแล้ว หนูไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรลงไป”

แต่เพียงเสี้ยวเวลาของทุกเรื่องราว เสียงฝีเท้าก็ตึงตังไล่หลังมา นางแทบไม่รู้ตัวว่าชายสองคนเข้าพิชิตตัวตั้งแต่เมื่อไหร่ พวกเขาจับแขนสองข้างแล้วแจ้งข้อหาทั้งที่มิใช่เจ้าหน้าที่ นางเล็กรู้ดีว่าชีวิตของตนกำลังถูกต้อนเข้าไปอยู่ในมุมอับ หญิงกลางคนยังไม่อาจระงับความตระหนกใจ

“ทำแบบนี้มากี่ครั้งแล้วเนี่ย รู้ทั้งรู้ว่ามันเป็นบาปก็ยังทำไปได้” ทิดแสงเอ่ยถาม

“กี่ครั้งอะไร นี่ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ”

“ยังจะมาตอแหล เงินกิ่งกฐินกระจายเกลื่อนขนาดนี้ แค่กลับไปดูกล้องวงจรปิดก็รู้ว่าเป็นฝีมือใคร ขนาดนี้แล้วยังจะมาปฏิเสธ”

“ฉันทำครั้งแรกจริงๆ ให้ฉันสาบานต่อหน้าพระได้เลย”

“หลักฐานชัดเจนอย่างนี้ยังจะมาโกหกต่อหน้าพระอีก” ทิดแสงเอ็ดตะโร “ไอ้คำ เอ็งไปแจ้งตำรวจที่ประสานงานกันตั้งแต่แรกเลยนะ บอกว่าจับคนร้ายได้แล้ว ขอให้รีบมาภายในสิบนาทีนี้เลย”

ระหว่างชี้สั่งลูกทีมให้ปฏิบัติภารกิจ ทิดแสงมั่นใจในความคิดว่านางเล็กย่อมไม่อาจรอดหลุดความผิดได้ ในฉับพลันจึงบังคับให้นางเคลื่อนกายไปยังแนวผนังใกล้ตู้บริจาค ราวกับหากเมื่อเจ้าหน้าที่เข้ามาจะได้พบเห็นการจับกุมทุกรูปเงา เพียงชั่วอึดใจเจ้าหน้าที่ทั้งหลายก็เรียงแถวเข้ามาในโบสถ์เก่า พ่วงท้ายด้วยวาจาหยาบคายจากไทยมุงที่เข้ามาดูเหตุการณ์ งานบวชที่เตรียมการมาอย่างดีพลันสะดุดลงเล็กน้อยเพราะต้องปล่อยให้เป็นไปตามความเมือง ขณะที่ผู้ต้องหายังคร่ำเครียดต่อเนื่องเมื่อคิดถึงลูกชาย

นางนึกเห็นสภาพของลูกรักหากได้สัมผัสโสตเสียงแม้เพียงเสี้ยวเวลา อาการลูกชายคงจะวิกฤตยิ่งกว่า คู่ขนานกับสายธารน้ำตาของผู้เป็นแม่ที่ไม่อาจเข้ามาปลอบโยนได้

นางเล็กถูกทิดแสงและทิดคำบังคับให้เดินขึ้นรถตราโล่เพื่อนำตัวไปสอบสวนหรืออาจต้องฝากขัง แตกต่างจากเงินของกลางและถุงผ้าซึ่งไม่ได้ถูกนำไปพิจารณา ธนบัตรหลากสียังยับยู่ยี่อยู่ข้างกิ่งกฐินและกล่องรับบริจาค เพียงไม่นานทิดแสงก็ย้อนกลับมาตรวจสอบหลักฐานโดยไม่ยากลำบาก เขาคิดว่าคงใช้เวลาไม่มากในการปรับแต่งให้เข้าที่เข้าทาง ระหว่างนั้นทิดคำซึ่งร่วมกันจับกุมคนร้ายเพิ่งจะเดินตามมา ในขณะที่พวกชาวบ้านเริ่มทยอยไปดูงานบวชหน้าวัดเหมือนดังเก่า

“มาช่วยกันเอาเงินพวกนี้เก็บไว้ที่เก่าจะดีกว่า เดี๋ยวพวกขบวนนาคเดินกลับเข้ามาจะวุ่นวาย” ทิดแสงชี้นำ ทว่าทิดคำยังเอ่ยถาม

“ที่เห็นเขียนข้างกล่องบริจาคว่าจะเอาเงินไปบูรณะวัดน่ะ เงินแค่นี้มันจะพอเหรอ”

“พอสิ แค่นี้ก็น่าจะพอแล้วละ”

“อ้าว…พอยังไง ตะกี้พี่แสงก็พูดเองไม่ใช่เหรอว่าเงินน้อยจะตาย”

“คืออย่างนี้นะ…” ทิดแสงเกริ่นความ “อีกไม่กี่วันข้างหน้าจะมีงานบวชลูกชายนายกเทศมนตรี เขารักลูกชายคนนี้มาก อยากให้ลูกชายได้ห่มผ้าเหลือง ก็เลยกำชับมาทางผู้จัดงานว่าอยากจะจัดงานบวชลูกชายให้ยิ่งใหญ่ เอาให้ขบวนใหญ่กว่างานบวชหมู่ในวันนี้ยี่สิบเท่าไปเลย เราก็เลยต้องมีแผนเอาใจท่านนายกเทศมนตรีเล็กๆ น้อยๆ ถ้าเผื่อท่านถูกใจท่านอาจจะบริจาคเงินให้วัดเยอะๆ เงินถุงเงินถังของท่านก็มี นโยบายจากเทศบาลก็มี รับรองวัดแห่งนี้เจริญขึ้นแน่นอน”

“แผนอะไร วิธีไหนล่ะ”

“เอ็งรู้จักการใช้เงินต่อเงินมั้ย แบบว่าเอาเงินก้อนเล็กไปทำให้มันขยับขยายเป็นก้อนใหญ่น่ะ แผนของเราก็คือ เราจะเอาเงินบริจาคก้อนนี้ไปซื้อประทัดยักษ์เป็นสิบๆ ลูก เอาใจงานบวชลูกชายเขาซะหน่อย รับรองได้เลยว่าเขาจะบริจาคเงินให้ทางวัดมากกว่าเงินในกล่องไม่รู้กี่เท่า แถมอาจจะมีผลพลอยได้หลายอย่างตามมาอีกด้วยนะ” ทิดแสงไม่วายพูดต่อ “เสียงประทัดยักษ์เนี่ยจะดังกึกก้องขึ้นไปถึงสวรรค์ชั้นฟ้าเลยละ คอยดูสิ”

“แต่เสียงมันดังมากนะพี่ พวกชาวบ้านเขาจะหนวกหูเอาหรือเปล่า ตรงหน้าวัดก็มีโรงพยาบาลอยู่ไม่ใช่เหรอ”

“หนวกหูอะไรกัน น่าจะดีใจด้วยซ้ำ ดีใจที่จะได้อนุโมทนาบุญไปกับการซ่อมแซมโบสถ์ครั้งใหญ่ยังไงล่ะ”

ถ้อยแถลงเพียงเท่านั้นทิดคำก็พอรู้ความ แม้อยากจะหักห้ามแต่คงต้องละไว้เช่นนั้น ก่อนที่พวกเขาจะหันมาเก็บธนบัตรที่กระจัดกระจายให้กลับมาติดกิ่งอีกครั้ง

“พอเก็บเสร็จแล้ว เรามากราบลาองค์พระกันนะ” ทิดคำเอ่ยชวนแกมขอร้อง

เมื่อชายทั้งสองปิดภารกิจได้ พวกเขาจึงพร้อมใจสบมององค์พระพร้อมตั้งจิตอธิษฐาน ทิดคำน้อมนบกราบกรานขอให้นางเล็กไม่ประสบเหตุร้ายมากไปกว่านี้ ขณะที่ทิดแสงยังคงนึกถึงการบูรณะวัดครั้งประวัติศาสตร์ เขานึกถึงร้านขายประทัดที่อยู่ในตลาด แรงประทัดย่อมทำลายความสงัดด้วยกึกก้อง ต่อให้เปรียบกับปืนใหญ่ก็ยังเป็นรองสุดยอดพลังเสียงที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า

ก่อนที่พวกเขาจะก้มกราบองค์พระ ระลึกถึงการกระทำความดีถวายแด่ศาสนสถานด้วยความซาบซึ้งตรึงใจ