High End Munich 2023 (จบ)

Stradivari Sonus Faber

อีกหนึ่งลำโพงที่ผู้คนให้ความสนใจกันมากในงานนี้ก็คือ การมาถึงของ Stradivari เจเนอเรชั่นที่สอง ของ Sonus Faber ผู้ผลิตสัญชาติอิตาลี เพราะนี้คือการพัฒนาและปรับปรุงครั้งใหญ่ของลำโพงรุ่นนี้ในรอบกว่าสองทศวรรษ เนื่องเพราะรุ่นแรกออกตลาดมาตั้งแต่ปี ค.ศ.2000 นักเล่นและผู้คนในวงการจึงใคร่ทราบอย่างใจจดใจจ่อ ว่ามันจะมีความแตกต่างจากเจนแรกแค่ไหน โดยเฉพาะในแง่ของสุ้มเสียง

จากโครงสร้างภาพลักษณ์ที่แรกเห็น ทุกคนยอมรับว่ามันดูดีมีระดับเอามากๆ แต่ราคาค่าตัวที่ปิดป้ายบอกไว้ มันก็ดูเอาเรื่องอยู่เหมือน เพราะสูงถึงคู่ละ 45,000 ปอนด์เลยทีเดียว

Livio Cucuzza หัวหน้าฝ่ายออกแบบบอกว่า – เราต้องการให้สตราดิวาริใหม่เป็นตัวแทนความก้าวหน้าทั้งมวลของเรา ที่ได้รังสรรค์ขึ้นในด้านเทคโนโลยีของเสียงจนถึงปัจจุบัน, สิ่งแรกที่เด่นชัดในลำโพงคู่นี้ก็คือตัวปรับย่านความถี่ต่ำ ที่สามารถควบคุมได้เต็มรูปแบบจนถึงช่วงเสียงที่ต่ำลึกเป็นพิเศษ (Ultra-Low Range) เพื่อส่งมอบประสบการณ์เสียงที่ไม่เคยมีมาก่อน และเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการตอบสนองของห้องที่ไม่มีใครเทียบได้ ด้วยน้ำเสียงที่มีความเที่ยงตรงสูงสุด ไม่ว่าจะเลือกวางมันลงตรงจุดไหนของห้องก็ตาม

วูฟเฟอร์ได้ถูกติดตั้งอยู่ในตะแกรงพิเศษแบบ Anti-Resonant ที่สามารถหยุดยั้งแรงสั่นสะเทือนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่รอบท่ออากาศของระบบ Bass Reflex ได้ใช้เทคโนโลยี Clepsydra เข้ามาเสริม เพื่อช่วยให้ประสิทธิภาพของย่านความถี่ต่ำดียิ่งขึ้น

ทั้งยังมีเทคโนโลยี Intono ที่ช่วยให้เสียงกลางทีความเป็นธรรมชาติมากขึ้นด้วย

JBL L100 Classic Mkll

หันมาดูค่ายเครื่องเสียงในกลุ่ม Great American Sound อย่าง JBL กันบ้าง หลังจากประสบความสำเร็จกับการชุบชีวิตลำโพงรุ่นคลาสสิคอย่าง L100 ให้กลับมาคืนชีพด้วย L100 Classic ได้อย่างน่าทึ่งมาก และได้รับคำชื่นชมอย่างล้นหลามเมื่อไม่กี่ปีก่อน วันนี้พวกเขาทำให้ประหลาดใจอีกครั้งกับการมาถึงของ L100 Classic Mkll พร้อมคำมั่นสัญญาว่าเป็นการยกระดับคุณภาพเสียงให้เหนือกว่า Mk1 อย่างมีนัยสำคัญ

เจบีแอลบอกว่านี่คือการอัพเดต ‘แพ็กเกจประสิทธิภาพ’ ของชุดตัวขับเสียงทั้งหมด วูฟเฟอร์ขนาด 12 นิ้ว ได้ถูกปรับปรุงให้มีความถูกต้องเที่ยงตรงมากยิ่งขึ้น โดยลดค่าความบิดเบือนลงขั้นสุด ขณะที่มิดเรนจ์ขนาด 5 นิ้ว และทวีตเตอร์โดม ไทเทเนียม ขนาด 1 นิ้ว ได้รับการปรับแต่งให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นทั้งคู่

นอกจากนั้น ยังได้มีการปรับปรุงครอสส์โอเวอร์ขึ้นมาใหม่ เพื่อให้สามารถรองรับชุดอินพุตสำหรับการทำงานแบบ Bi-Wiring ได้ดียิ่งขึ้น รวมทั้งการใช้ชุดขั้วต่อสายลำโพงแบบใหม่ Premium Gold-Plating ที่นอกจากให้การเชื่อมต่อได้อย่างมั่นคงยิ่งขึ้นแล้ว ยังรองรับการใช้งานร่วมกับหัวเสียบและสายลำโพงได้หลากหลายมากยิ่งขึ้นด้วย

ในงานนี้นอกจาก L100 Classic Mkll แล้ว เจบีแอลยังมี L82 Classic Mkll มาเปิดตัวด้วย และทั้งคู่พร้อมลงตลาดในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ด้วยราคา 3,998 ปอนด์ และ 1,999 ปอนด์ ตามลำดับ

ทางด้านผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์นั้น JBL Classic Series ที่เพิ่งเปิดตัวไปในเงาน CES 2023 เมื่อช่วงต้นปีที่ลาสเวกัส, สหรัฐอเมริกา ก็ถูกนำมาโชว์ในงานนี้และได้รับเสียงชื่นชมไม่น้อย ประกอบไปด้วย Model SA550 อินติเกรตเต็ด แอมป์, Model CD350 เครื่องเล่นซีดี, Model MP350 มิวสิก สตรีมเมอร์

รวมถึงเครื่องเล่นแผ่นเสียงเครื่องแรกของแบรนด์ คือ Model TT350

Bluesound Node X

ทางค่าย Bluesound แห่งแคนาดา ได้ฉลองครบรอบ 10 ปีของแบรนด์ ด้วยการเปิดตัวเครื่องรุ่นพิเศษ Bluesound Node X ที่ผลิตแบบจำกัดจำนวนในงานนี้ และมาด้วยโครงสร้างตัวถังสีเงินที่ไม่เหมือนใครแบบ Unique Silver Finish ทั้งยังอัดแน่นไปด้วยนานาเทคโนโลยี ที่สร้างมาตรฐานใหม่ทั้งในแง่ประสิทธิภาพและฟังก์ชั่นการทำงานต่างๆ จากองค์ประกอบภายในที่ได้รับการยกระดับขึ้นไปอีกขีดขั้น

การอัพเกรดหลักคือการใช้ชิพประมวลผล ESS9028Q2M Sabre DAC ระดับพรีเมียม ภาคขยายในส่วนของชุดหูฟังใช้เทคโนโลยี AAA: Automatic Audio Amplifier ของ THX เพื่อลดระดับเสียงรบกวนลง รวมทั้งลดค่าความบิดเบือนและลดการใช้พลังงานลงด้วย พร้อมระบุว่าการใช้ชิพเซ็ตชุดนี้จะช่วยให้ Node X สามารถส่ง (สตรีม) เสียงไปยังแอมป์หรือลำโพงที่ใช้งานด้วยได้อย่างปราศจากที่ติ ด้วยคุณภาพของความละเอียดที่สูงถึงระดับ 24-bit/192kHz รวมทั้งยังรองรับไฟล์เสียงคุณภาพสูงแบบ MQA : Master Quality Authenticated ด้วย

Node X Streamer ยังผนวกคุณสมบัติอันยอดเยี่ยมอีกมากซึ่งจะทำให้มันเป็นที่ต้องการของนักเล่นทุกระดับ อาทิ แพลตฟอร์ม BluOS ที่ควบคุมการทำงานระบบอื่นๆ ในบ้านได้ การให้เชื่อมต่อได้อย่างหลากหลาย รวมทั้ง HDMI eARC, AirPlay2 รวมทั้งรองรับ Bluetooth aptX HD ที่ทำงานแบบ 2-Way คือทั้งรับและส่งข้อมูลสัญญาณ

บลูซาวด์บอกว่านี่คือวิธีเฉลิมฉลองทศวรรษแห่งความเป็นเลิศทางด้านเสียง และความเป็นผู้นำในการสตรีมความละเอียดสูงแบบไร้สายของเรา ด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์อันยอดเยี่ยมให้แก่ออดิโอไฟล์รุ่นต่อไป

Bluesound Node X จะลงตลาดช่วงครึ่งปีหลังด้วยสนนราคา US$ 749

NAD C 3050 LE Stereophonic Amplifier

อีกแบรนด์จากค่ายเดียวกัน NAD Electronics ได้นำเครื่องฉลอง 50 ปี ที่เปิดตัวเมื่อปลายปีก่อนมาเรียกเสียงฮือฮาในงานนี้ด้วย นั่นคือ NAD C 3050LE Stereophonic Amplifier ที่มีโครงสร้างภาพลักษณ์แบบเรโทร ด้วยแผงหน้าปัดโลหะประกอบแผ่นไม้ด้านข้างและด้านบน อันชวนให้นึกไปถึงยุคแรกๆ ของแบรนด์ที่ยังมีชื่อเต็ม New Acoustic Dimension ซึ่งเป็นตัวเขียนอักษรแบบ English Cursive กำกับเอาไว้ที่แผงหน้าปัดเครื่องด้วย

ภายใต้หน้าตาแบบย้อนยุคอย่างที่เห็นรูป ภายในกลับผนวกเข้าไว้ด้วยเทคโนโลยีอันทันสมัยมากมาย อาทิ ระบบ Multi-Room Streaming ที่รองรับ Hi-Res Audio, รองรับการทำงานกับไฟล์เสียงคุณภาพสูงแบบ MQA, ผนวกระบบแก้ไขสภาพอะคูสติกห้องของ Dirac Room Correction ผ่าน BluOS รองรับการเชื่อมต่อแบบไร้สายผ่าน AirPlay2, Bluetooth aptX HD แบบสองทาง และยังมาพร้อมพอร์ต HDMI eARC รวมทั้งมีภาคโฟโน สเทจ สำหรับเครื่องเล่นแผ่นเสียง และภาคขยายเสียงสำหรับชุดหูฟังแบบแยกต่างหาก

ทางด้านภาคขยายเสียงหลักของเครื่องนั้นเป็นพัฒนาการล่าสุดแบบ UcD HybridDigital ที่ให้กำลังขับ 100 วัตต์/แชนเนล ภาค DAC ใช้ชิปคุณภาพสูง PCM5242 ของ Burr-Brown (Texas Instrument) ซึ่งรองรับสัญญาณเสียงรายละเอียดสูงถึงระดับ 32-bit/384kHz

NAD C 3050LE นอกจากจะผลิตออกมาแบบจำกัดจำนวนเท่ากับปี ค.ศ.ที่ก่อตั้งแบรนด์แล้ว ยังกำหนดราคาเครื่องเท่ากับตัวเลขดังกล่าวด้วย คือ US$ 1,972 โดยผู้ที่พลาดเป็นเจ้าของยังมีทางเลือกกับรุ่นปกติ Model C 3050 ซึ่งมีคุณสมบัติแตกต่างกับรุ่นพิเศษเล็กน้อย (ในส่วนของ BluOS กับ Dirac ซึ่งสามารถเพิ่มโมดูลได้) โดยจะวางตลาดด้วยราคา US$ 1,299

สำหรับเครื่องรุ่นลิมิเต็ดทราบว่าตัวแทนผู้นำเข้าในบ้านเราได้โควต้ามา 20 เครื่อง เปิดราคาที่เก้าหมื่น (มีทอนร้อยบาท) และขณะเขียนต้นฉบับ เครื่องยังไม่เข้ามา

แต่ตอนนี้มีเครื่อง Demo’ ให้ลองฟังกันได้แล้ว, ลองไปฟังกันดูครับ •

 

เครื่องเสียง | พิพัฒน์ คคะนาท

[email protected]