จดหมาย

จดหมาย

 

• ไปต่อ (1)

คณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 จัดเวทีวิเคราะห์สถานการณ์การเมืองหลังคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ ทวงคืนเอกสิทธิ์การเลือกนายกรัฐมนตรีจากเจตจำนงของประชาชน

โดยมองการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ดังนี้

1. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กลายเป็นผู้มีบารมีเหนือรัฐธรรมนูญ จากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ

หลายคนตีความว่าเป็นการตัดตอน ม.264

เนื่องจากรัฐธรรมนูญ 2560 เป็นผลพวงโดยตรงจากรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 ขณะที่ตุลาการเสียงข้างน้อยมีหลักทางกฎหมายมากกว่า

โดยเฉพาะที่นายทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ หนึ่งในตุลาการเสียงข้างน้อย ให้ความเห็นว่า

“การที่บ้านเมืองอยู่ได้โดยปกติสุขมีความสงบเรียบร้อย มิใช่เป็นเพราะการบังคับใช้กฎหมายแต่เพียงอย่างเดียว ซึ่งมีผลต่อการควบคุมพฤติกรรมของบุคคลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หากต้องอาศัยสำนึกที่ดี (good conscience) จริยธรรม (moral) และสิ่งที่พึงประพฤติปฏิบัติ (tradition) ซึ่งมีผลควบคุมพฤติกรรมของบุคคลเป็นส่วนใหญ่ด้วย หลายเรื่องที่แม้ไม่ผิดกฎหมายแต่ผิดศีลธรรม (not illegal but it is wrong or immoral) ก็ไม่ควรทำ เช่น การพูดเท็จอันเป็นต้นเหตุแห่งการปิดบังหรือบิดเบือนความจริงทั้งมวล แม้ส่วนใหญ่จะไม่เป็นความผิดตามกฎหมาย แต่ผู้ที่มีจริยธรรมหรือมีจิตสานึกที่ดีแม้รู้ว่าไม่ผิดกฎหมายก็จะไม่ทำ ยิ่งหากเป็นผู้นำหรือผู้ที่มีตำแหน่งระดับสูงเป็นที่เชื่อถือของประชาชนยิ่งต้องประพฤติปฏิบัติให้เป็นตัวอย่างที่ดีแก่คนทั่วไป”

2. อยากเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์แสดงสปิริตโดยการลาออกอย่างสง่างามหลังคำวินิจฉัย

ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญได้หาทางลงของท่านและน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด เพื่อลดความขัดแย้งในบ้านเมือง

เพราะเรื่องนี้คาบเส้นจริยธรรมคุณธรรมที่ พล.อ.ประยุทธ์มีมลทินติดตัวและได้รับความไว้วางใจต่ำลงมาก

3. การที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าตำแหน่งนายกฯ ของ พล.อ.ประยุทธ์ เริ่มตั้งแต่ 6 เมษายน 2560

ดังนั้น ตั้งแต่ปี 2557-2560 พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ เถื่อนใช่หรือไม่

จึงขอเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์คืนเงินเดือนทั้งหมดที่ผ่านมา เพื่อแสดงความเป็นสุภาพบุรุษ

4. สถานการณ์ขณะนี้ต้องถามว่า พล.อ.ประยุทธ์ทำไมต้องไปต่อ มีอะไรที่ทำไว้แล้วกลัวถูกเช็กบิลหรือไม่ และมีอะไรที่ยังไม่ทำบ้าง แล้วยังอยากอยู่ต่อเพื่อจัดการ ซึ่งคิดไม่ออกนอกจากการประชุมเอเปคที่กร่อยลงทุกขณะ เนื่องจากผู้นำโลกอาจจะไม่มาเนื่องจาก พล.อ.ประยุทธ์ยังยึดกุมอำนาจอยู่

เรียกร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณากฎหมายพรรคการเมืองและการเลือกตั้งให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อนำไปสู่การเลือกตั้งโดยไม่ล่าช้า

ภาคประชาชนทั้ง 30 องค์กรประชาธิปไตยและเครือข่าย 99 พลเมือง จะจัดเวทีพอกันที ยกเลิกระบอบประยุทธ์ และร่วมกันหาแนวทางร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของประชาชนต่อไป ในวันศุกร์ที่ 7 ตุลาคมนี้ ที่โรงแรมรัตนโกสินทร์ ถนนราชดำเนิน

นายเมธา มาสขาว

เลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.)

 

ข้อเรียกร้องของเลขาฯ ครป.

ยากส์อย่างยิ่ง

ที่จะมีการตอบสนองจาก พล.อ.ประยุทธ์

เราจึงต้องทำใจอยู่กับลุงตู่กันต่อปายยย…

 

• ไปต่อ (2)

เรือใหญ่กว่าทะเล “จระเข้” ใหญ่กว่าหนอง

ตีหน้าตายไม่อายประชาชน

หลอก – หลง “ตัวตน” คือผู้ยิ่งใหญ่

ฝืนคติธรรมะอสงไขย

เวร-กรรม นำไปสบทาง 3 แพร่ง

…แพร่งที่ 1 ถึงกาลอวสาน

แพร่งที่ 2 ตำนานการล้มเหลว

แพร่งที่ 3 โดดเดี่ยวเพียงผู้เดียว

ทุกคืน – วัน “เสียวสันหลัง” (เหวอะหวะ)

อนิจจา…ย้อนเวลาไม่ได้

ลูกผู้ชายเสียสัตย์ตระบัดศีล

นับถอยหลังคืนสู่ธรณิน

สูญสิ้นลายชายชาติ “จระเข้ ฯ”

สงกรานต์ บ้านป่าอักษร

การอยู่ต่อไปของลุงตู่

ว่าไปแล้ว

ก็คงไม่มีความสุขเท่าไหร่ดอกกระมัง

การวิพากษ์วิจารณ์

อย่างที่ “สงกรานต์ บ้านป่าอักษร”

ส่งเสียงมา

คือตัวอย่างแห่งความไม่สุขนั้น

 

• ไปต่อ (3)

สักวา “พรรคการเมือง” เชื่องไม่เลิก

งัดแม่ไม้บานเบิกเอิกเกริกหนอ

หักเหลี่ยนกันควันออกหูดูแล้วท้อ

เหมือนขว้างงูไม่พ้นคอทรามต่อไป

เพราะเขาเห็นประชาชนคนชั้นต่ำ

ตบตากันเป็นประจำเหยียบย่ำได้

ซ้ำไม่มีปากเสียงไม่เสี่ยงภัย

ประเทศนี้ของใครรู้ไว้เอ่ย

สมบัติ ตั้งก่อเกียรติ

ชูเกียรติ วรรณศูทร

 

ระบบประยุทธ์ ที่อยู่ยงคงกระพัน

เราปฏิเสธไม่ได้ว่า ส่วนหนึ่งมาจากการเกื้อหนุนของพรรคการเมือง

แม้ตอนนี้ซึ่งใกล้เลือกตั้ง

พรรคการเมืองจะแบ่งใจไปบอกรักประชาชนมากขึ้น

แต่ที่สุดพรรคการเมืองจะปันใจให้คนมีอำนาจ

มากกว่าชาวบ้านตาดำๆ

“เพราะเขาเห็นประชาชนคนชั้นต่ำ”

อย่างที่สมบัติ ตั้งก่อเกียรติ และชูเกียรติ วรรณศูทร ว่านั่นแหละ •