ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 2 - 8 มีนาคม 2561 |
---|---|
คอลัมน์ | ของดีมีอยู่ |
เผยแพร่ |
ที่เปิดโลก เปิดกะโหลกหนาๆ ให้เข้าใจชีวิตและความเป็นไปได้กว้างขวางขึ้น
นอกจากการอ่านหนังสือและการเดินทางแล้ว
ก็คือการรับฟังพหูสูตทั้งหลายท่านให้ความรู้นี่ละครับ
ที่เกริ่นมานี้ก็คือจะนำไปสู่เรื่องว่า เพิ่งไปร่วมงานสัมมนา “5 จี เปลี่ยนโลก เปลี่ยนประเทศไทย” ที่กองบรรณาธิการมติชนเขาเป็นแม่งานจัดมาหมาดๆ
กบน้อยได้ออกนอกกะลา (อีกแล้ว)
ก็ตื่นเต้นเป็นธรรมดา
บรรดาท่านผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญ ผู้อยู่ในงานด้านนี้โดยตรง
ทั้งจาก กสทช. หัวเว่ย อีริคสัน และควอลคอมม์ มากันแบบจัดเต็ม
ปูพื้นให้แบบไม่รู้จัก 5 จี ก็มาเข้าคอร์ส 5 จี 101 กันในวันนี้
ฟังแล้วทะลุปรุโปร่งไปถึงไหนต่อไหน
และเช่นเคยครับ
ส่วนที่เป็นเนื้อหาสาระจริงๆ นั้น เชื่อว่าท่านได้ชมได้อ่านกันเต็มอิ่มจุใจทั้งจากการถ่ายทอดสด การถอดคำบรรยายออกมาเป็นตัวอักษร ไม่ว่าจะจาก “มติชน ข่าวสด ประชาชาติธุรกิจ” ไปแล้ว
หรือถ้าวันนั้นมีกิจติดธุระอะไร ก็ลองไปหารับชม-หาอ่านย้อนหลังเอาได้
เดี๋ยวนี้นิ้วเดียวกดปุ่มก็หาข้อมูลได้เกือบทั้งโลก
ที่จะเอาหางอึ่งมาแพลมนิดหน่อยวันนี้
จึงแค่น้ำจิ้มเท่านั้น
ฟังบรรยายของท่านผู้รู้ทั้งหมดแล้วก็สรุปเอาเองดื้อๆ ว่า
1. 5 จี จะเป็นก้าวกระโดดอีกขั้นของเทคโนโลยีการสื่อสารโทรคมนาคม
เมื่อครั้งที่โลกกระโดดจาก 2 จี อนาล็อก มาเป็น 3 จี ดิจิตอลเต็มตัว
และได้โดนกันทั่วหน้าทุกคนเหมือนคราวที่แล้ว
ท่านฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการ กสทช. ยกตัวอย่างเอาไว้ 10 ภาคธุรกิจที่จะโดนผลกระทบแน่ๆ
ไม่ว่าจะการเงิน อุตสาหกรรม อสังหาฯ ค้าปลีก สุขภาพ ฯลฯ
กวาดตาดูที่จดไว้แล้วก็หัวร่อ
ก็นี่ไม่มีใครรอดไปได้เลย (นี่หว่า)
2. แต่ความต่างสำคัญของการก้าวกระโดดนี้น่าจะอยู่ที่ใครได้รับผลกระทบก่อน
หนที่ 2 จี โดดเป็น 3 จี ที่ลิ่วไปก่อนเลยก็คือพฤติกรรมของผู้บริโภคทั้งโลก
เมื่อพฤติกรรมคนเปลี่ยน ธุรกิจก็ต้องเปลี่ยนตาม
ที่เขาเรียก Disruptive ก็คือตรงนี้
แต่หนนี้ที่จะโดนผลกระทบจาก 5 จีเข้าไปเต็มๆ ก่อน คือภาคธุรกิจทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นการผลิตหรือการบริการ
แล้วผลนั้นถึงค่อยลงมาถึงชาวบ้านธรรมดา
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป
หรือแนวโน้มของการตกงานชนิดมหาศาล
ถ้าไม่ปรับตัว
พล.อ.สุกิจ ขมะสุนทร ประธาน กสทช. ปรารภเอาไว้เป็นการส่วนตัวหลังลงจากเวทีว่า
อยากให้รัฐบาลใช้เวลา 2 ปีก่อนที่ 5 จี จะเดินทางมาถึงจริงๆ ทำเรื่องหลักๆ สัก 2 อย่าง
หนึ่งคือ ปฏิรูปที่ดินด้านเกษตรกรรม
อีกหนึ่งคือ ขยายเขตชลประทานออกไปให้มากที่สุด
เพื่อเป็นร่างแหรองรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจาก 5 จี
ซึ่งมีแนวโน้มจะทำให้แรงงานทั้งหลายสูญเสียตำแหน่งงานไปในระยะสั้น
แม้ว่าโดยหลักการ คนตกงานเหล่านี้อาจจะกลับมามีงานใหม่ในระยะยาว ถ้ามีการปรับตัว เพิ่มพูนความรู้ ฝึกอบรมกันเข้มข้น
แต่เอาเข้าจริงแล้ว-ไม่ง่าย
เพราะฉะนั้น ถ้าจะให้สอดคล้องกับรากฐานของประเทศ ที่อย่างไรเสียก็ยังพึ่งพิงภาคเกษตรที่สามารถช่วย “ดูดรับ” คนตกงานจำนวนไม่น้อยได้
ก็ต้องเร่งปรับโครงสร้างพื้นฐานทั้งหลายรองรับเอาไว้แต่เนิ่นๆ
น่าคิดนะครับ
และเช่นเดิม
คำถามที่ตามมาทุกครั้งเมื่อมีการก้าวกระโดดทางวิทยาการก็ดี หรือการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ-ธุรกิจของโลกก็ดี
ก็คือ ไทยอยู่ตรงไหนในสมการนี้
จะเป็นทาสเทคโนโลยีแบบเชื่องชื่อ เขาทำอะไรก็ก้มหน้าก้มตาซื้อของเขามาใช้
ทำได้เท่าไหร่ก็ประเคนคืนเขาไปหมด
หรือจะเดินไปกับเขาแบบรู้เท่ารู้ทัน
มีความสามารถที่จะแบ่งปันผลประโยชน์อย่างเป็นธรรมได้
รีบคุยกันให้ไวๆ นะครับ
2 ปีนี่กะพริบตาไม่กี่หนก็พ้นแล้ว