ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 23 - 29 กรกฎาคม 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | ของดีมีอยู่ |
เผยแพร่ |
ของดีมีอยู่
ปราปต์ บุนปาน
ตลอดสัปดาห์นี้ คนส่วนใหญ่คงเกิดคำถามขึ้นในใจว่า “ประเทศไทยมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร?”
จุดที่ผู้ติดเชื้อ-ผู้เสียชีวิตเพราะโควิดยังทะยานสูงขึ้นเรื่อยๆ
จุดที่สถานพยาบาลจำนวนมากและบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้ารับมือสถานการณ์วิกฤตไม่ไหว
จุดที่มีประชาชนนอนเสียชีวิตริมถนนในเมืองหลวงของประเทศ
จุดที่มีอีกหลายครอบครัวในเมืองใหญ่เผชิญชะตากรรมติดโควิดยกบ้าน และต้องเฝ้ารอคอยการช่วยเหลืออยู่ในเคหสถานอันมีพื้นที่จำกัด
จุดที่ภาพความโรแมนติกในธุรกิจฟู้ดเดลิเวอรี่ได้ปลาสนาการไป แล้วแทนที่ด้วยข่าวเจ้าของร้านอาหารเก่าแก่โด่งดังหลายรายทยอยอำลาจากโลกนี้เพราะมรสุมโรคระบาด
จุดที่เจ้าสัว ดารา ผู้มีชื่อเสียงในแวดวงต่างๆ มีความเสี่ยงจะต้องเจ็บป่วย-สูญเสียชีวิตไม่ต่างจากประชาชนคนเดินดินหาเช้ากินค่ำ (แม้ฝ่ายแรกจะมีโอกาสมากกว่าฝ่ายหลัง ในการเข้าถึงระบบการดูแลรักษาสุขภาพ)
สถานการณ์-ภาพรวมเช่นนี้ สะท้อนถึงวิถีชีวิตอันพังพินาศ อารมณ์ความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความหดหู่-สิ้นหวัง วันคืนที่ขับเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยเรื่องราวในแง่ลบต่างๆ นานา ภายใต้รัฐที่ล้มเหลว!
ท่ามกลางสภาวะข้างต้น สิ่งหนึ่งที่กำลังก่อตัวขึ้นในสังคมการเมืองไทย ก็คือ “ภราดรภาพ” ซึ่งบางคนอาจเรียกขานว่าเป็น “ฉันทามติไล่ระบอบประยุทธ์”
นี่คือภราดรภาพอันเกิดจากการ “ร่วมทุกข์” ของผู้คนในสังคม
นี่คือภราดรภาพอันเกิดจาก “ความไม่ทุกข์ร้อน” เท่าที่ควรของรัฐบาล
รัฐบาล (และผู้นำรัฐบาล) ที่ไม่เคยออกมากล่าวขอโทษหรือแสดงความเสียใจอย่างจริงจังจริงใจ กับโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นและกำลังดำเนินไปโดยยังไม่เห็นจุดสิ้นสุด
รัฐบาลที่แทบจะไม่เคยออกมายอมรับในความผิดพลาดบกพร่องของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นความผิดพลาดในเรื่องนโยบายการจัดหาวัคซีน หรือความบกพร่องในการบริหารจัดการระบบสาธารณสุข
รัฐบาลที่ยังเยียวยา-ดูแลสวัสดิการของผู้ได้รับผลกระทบจากโควิดได้ไม่ครอบคลุมถ้วนหน้า
รัฐบาลที่ยังคงออกมากล่าวโทษตำหนิติเตียนประชาชนอยู่เป็นระยะ แม้ในโมงยามแห่งวิกฤตการณ์ระดับสูงสุด
รัฐบาล (ทหารในเสื้อคลุมประชาธิปไตย) ที่ยังเชี่ยวชาญในเรื่องการควบคุมคน-ปราบปรามม็อบ มากกว่าเรื่องรักษาชีวิตพลเมือง
“ภราดรภาพใหม่ทางการเมือง” ที่กำลังก่อตัวขึ้นและขยายวงกว้างนั้นมีลักษณะน่าสนใจ
ประการสำคัญ คือ นี่มิใช่สายสัมพันธ์หรือการรวมกลุ่มก้อนที่วางฐานอยู่บนการแบ่งขั้วทางการเมือง เช่น “เหลืองกับแดง” หรือ “นกหวีด/กปปส./สลิ่ม กับฝ่ายประชาธิปไตย” แบบเดิมๆ เสียทีเดียว
เพราะอย่างน้อยๆ คนที่ออกมาแสดงความไม่พอใจ “รัฐบาลประยุทธ์” ในห้วงเวลาปัจจุบัน ก็ยังรวมไปถึงคนบางกลุ่มที่ไม่ชอบทักษิณ/เสื้อแดง/เพื่อไทย รวมไปถึงคนบางกลุ่มที่เคยเชียร์ประยุทธ์/กองทัพ/รัฐประหาร
ยังรวมไปถึงดารานักร้องนักแสดงกลุ่มใหญ่ ทั้งที่ออกมาวิจารณ์รัฐบาลเพราะจุดยืนแท้จริงของตัวเอง และที่จำเป็นต้องแสดงออกเพราะถูกกระแสกดดันจากสังคม-ผู้บริโภครุ่นใหม่
เมื่อผนวกรวมกับการเคลื่อนไหวของประชาชน-คนรุ่นใหม่ฝ่ายประชาธิปไตยที่ไม่เอา “ระบอบประยุทธ์” เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
เมื่อผนวกรวมกับความสูญเสียรายวันที่สามารถบังเกิดขึ้นได้กับสมาชิกของทุกกลุ่มการเมือง ทุกเสื้อสี
นี่จึงเป็น “ภราดรภาพใหม่ทางการเมือง” ที่กว้างขวางกว่ากลุ่มการเมืองขั้วใดขั้วหนึ่งในช่วงประมาณทศวรรษที่ผ่านมา
ในยุคสมัยที่รัฐบาล/รัฐไทยล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในการปกป้องดูแลชีวิตของประชาชน
ในสภาพการณ์ที่วิกฤตโรคระบาดจะนำไปสู่วิกฤตเศรษฐกิจ-สังคม และวิกฤตการเมืองเต็มรูปแบบ
“ภราดรภาพใหม่ทางการเมือง” จากภาวะแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส จะค่อยๆ กลายสภาพเป็น “คลื่นพลังก้อนใหญ่” ที่ถาโถมเข้าใส่ “รัฐบาลประยุทธ์” และเครือข่ายแวดล้อมสนับสนุน โดยมีลักษณะประนีประนอมน้อยลงเรื่อยๆ
ผลลัพธ์ของการปะทะกันดังกล่าวในอนาคตอันใกล้นั้นเกินจะคาดเดา ณ ปัจจุบัน เช่นเดียวกับการทำนายว่าสถานการณ์โควิดระลอกนี้จะคลี่คลายตัวลงเมื่อใด
แต่พึงตระหนักและไม่ควรลืมเลือนเป็นอันขาดว่า “ภราดรภาพ” ซึ่งถือกำเนิดขึ้นมาจาก “การร่วมทุกข์” หรือ “พลังด้านลบ” ของผู้คนจำนวนมหาศาลในสังคมนั้น
สามารถจะถูกแปรสภาพเป็น “พลังทำลายล้างขั้นสูง” หรือ “ภาวะปั่นป่วนจลาจล” ได้พอๆ กับการเป็น “พลังสร้างสรรค์” หรือ “ความห่วงหาอาทร” ซึ่งกันและกัน