ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 9 - 15 ตุลาคม 2563 |
---|---|
คอลัมน์ | ของดีมีอยู่ |
เผยแพร่ |
เมื่อกำหนดการชุมนุมใหญ่เอาไว้ในวันที่ 14 ตุลาคม 2563
ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าย่อมมีความยึดโยงไปถึงเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516
ซึ่งย่อมต้องเกี่ยวพันไปถึงประวัติศาสตร์ที่ถูกพยายามทำให้พร่าเลือนอย่าง 6 ตุลาคม 2519
อย่างที่คุณจาตุรนต์ ฉายแสง กล่าวปาฐกถาเอาไว้ในงานรำลึกเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ ว่า
การรำลึก 6 ตุลาฯ ในปีนี้ค่อนข้างมีความหมายที่พิเศษ เนื่องจากในระยะหลัง โดยเฉพาะปีสองปีมานี้ มีการพูดถึงเหตุการณ์เดือนตุลา โดยเฉพาะ 6 ตุลาฯ โดยคนรุ่นใหม่มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
มีการวิเคราะห์ และศึกษามาอย่างลึกซึ้ง และทวงถามหาคนผิดและความยุติธรรม
และในปีนี้มีการรำลึกเหตุการณ์เดือนตุลาที่มากกว่าการแสดงความอาลัย แต่กำลังจะมีการเคลื่อนไหวของคนรุ่นใหม่ ที่ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงของบ้านเมืองไปในทางที่ดี
ดังนั้น ควรจะมองการเคลื่อนไหวของคนรุ่นใหม่ในวันนี้ด้วยใจที่เปิดกว้าง และทำความเข้าใจถึงสาเหตุที่ทำให้พวกเขาไม่สามารถนิ่งเฉยดูความล้าหลังของประเทศ และความเดือดร้อนของประชาชน
“การเคลื่อนไหวของคนรุ่นใหม่ในปัจจุบัน เมื่อเปรียบเทียบกับนักศึกษาในเหตุการณ์ 6 ตุลาในอดีต มีจุดรวมกันอยู่ที่การมองเห็นปัญหาของบ้านเมืองและการมีความใฝ่ฝันว่าอยากเห็นสังคมที่ดี
“รวมทั้งต้องการให้เกิดความเปลี่ยนแปลง”
จุดที่ต่างกัน คือปัญหาของบ้านเมืองที่ซับซ้อนกว่าในอดีต อันเนื่องมาจากเทคโนโลยีและการรับรู้ข่าวสารในปัจจุบัน ทำให้นักเรียน-นักศึกษาในปัจจุบันเรียนรู้และเข้าใจเรื่องที่ซับซ้อนเป็นอย่างดีทั้งประวัติศาสตร์ที่ย้อนหลังไปไกล
“ผมไม่มีอะไรจะแนะนำคนรุ่นใหม่ในปัจจุบัน แต่อยากย้ำว่าใครที่อยากจะเตือนนักศึกษาว่าอย่าทำอย่างนั้นอย่างนี้ เดี๋ยวจะเกิดแบบเดือน 6 ตุลาฯ นั้น
“ก็ขอให้ทำความเข้าใจเหตุการณ์เดือนตุลา ว่า นักศึกษาไม่ได้ทำผิดอะไรเลย ไม่ได้สร้างเงื่อนไขให้เกิดการปราบปราม ขณะที่ความรุนแรงนั้นมาจากคนชั้นนำทั้งสิ้น
“ถ้าจะเตือนก็ต้องเตือนผู้มีอำนาจในปัจจุบันว่า อย่าสร้างความเกลียดชัง อย่าสร้างเงื่อนไขเพื่อที่จะได้ใช้ความรุนแรง”
ประเด็นว่าการรำลึกเหตุการณ์เดือนตุลาที่มากกว่าการแสดงความอาลัยของคุณจาตุรนต์นั้นน่าสนใจ
เพราะเป็นความรู้สึก-อารมณ์ร่วมของ “คนเดือนตุลาฯ” จำนวนหนึ่ง ที่สะท้อนออกมาว่า
บรรยากาศของงานรำลึก 6 ตุลาฯ ในปีนี้ ไม่ใช่ “งานเช็งเม้ง” ที่คนยังอยู่มาระลึกถึงผู้จากไปเท่านั้นอีกแล้ว
แต่มีเนื้อหาหลักที่เข้มข้น และมีวัตถุประสงค์ชัดเจน
ว่างานจัดขึ้นเพื่อทวงหาความจริงและความยุติธรรม
ส่วนหนึ่งต้องขอบคุณ “โครงการบันทึก 6 ตุลา” ที่ไม่เคยย่อท้อและไม่หยุดยั้งในการแสวงหาหลักฐาน ข้อมูล ข้อเท็จจริงที่กระจัดกระจาย มาปะติดปะต่อให้เป็นภาพใหญ่
แม้จะยังไม่ใช่ภาพทั้งหมด
แต่ก็เห็นเค้าโครงของความเป็นไป
ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่งสำหรับทุกสังคม
เพราะถ้าไร้เสียซึ่งความจริงและความยุติธรรม
สังคมนั้นก็ยากจะหาความสงบสันติได้
เหมือนที่สังคมไทยซึ่งผ่านเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ แล้วยังต้องมาซ้ำรอยเหตุการณ์ “ล้อมปราบ-ล้อมฆ่า” ประชาชนอีกในเดือนพฤษภาคม 2535
และเมษายน-พฤษภาคม 2553
เลือดของผู้เสียชีวิต ผู้พิการ ผู้บาดเจ็บอาจจะจางหาย
แต่แผลในใจของผู้เกี่ยวข้องยัง “สด” อยู่เสมอ
เหมือนที่อาจารย์ธงชัย วินิจจะกูล เขาบอกไว้
ฉะนั้น จึงไม่ควรแปลกใจ ถ้าการชุมนุม 14 ตุลาคม ที่กำลังถึงในไม่กี่วันข้างหน้า
จะมากไปด้วยความหลากหลาย
อย่างน้อยก็มีทั้งเยาวชนนักเรียน นิสิต นักศึกษา มีทั้งอดีตคนเดือนตุลาฯ และมีทั้งคนเสื้อแดง
เพราะเขามาร่วมกันถามหาของไม่กี่อย่างจากผู้มีอำนาจ-ผู้ปกครองทั้งหลาย
เขามาถามหาความจริงและความยุติธรรม
เขามาทวงความฝันถึงสังคมที่ดีกว่า-ซึ่งยังไม่เคยมาถึง
เพราะผู้มีอำนาจ-ผู้ปกครองทั้งหลายไม่เคยและไม่เต็มใจที่จะ “สละ” ให้
เรื่องทั้งหมดไม่ได้ซับซ้อนอะไรเลย
แต่สังคมไทยไม่เคยก้าวข้ามไปได้