ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 30 สิงหาคม - 5 กันยายน 2562 |
---|---|
คอลัมน์ | ของดีมีอยู่ |
เผยแพร่ |
วันนี้ขออนุญาตกลับไปสวมวิญญาณอดีตนักข่าวโต๊ะต่างประเทศ ยุคที่ยังต้องยืนเกาะเทเล็กซ์แปลข่าวสักหน
และถือโอกาสไปเบียดบัญชร “เทศมองไทย” เขานิดหนึ่ง
เพราะเกิดสะกิดใจข่าวต่างประเทศที่ถาโถมกันเข้ามาช่วงนี้
ย้อนหลังไปสักประมาณเกือบสองเดือนก่อน สำนักข่าวบลูมเบิร์กเขารายงานการวิเคราะห์ภาวะเศรษฐกิจไทยโดยรวม
ว่านอกจากจะเติบโตช้ากว่าเพื่อนบ้านในภูมิภาคอุษาคเนย์ด้วยกันแล้ว
ยังมีปัญหาในเชิงโครงสร้างที่จะทำให้การเติบโตในอนาคตมีปัญหาอีกด้วย
พูดง่ายๆ ก็คือ เป็นประเทศที่ไม่มีอนาคต
พอมาถึงสัปดาห์ก่อน ไฟแนนเชียลไทม์ส ก็ลงบทวิเคราะห์เรื่องภาคการท่องเที่ยวไทย
ว่าภาคบริการที่สำคัญที่สุด เพราะสร้างรายได้มากกว่าร้อยละ 10 ของจีดีพี กำลังแห้งเหี่ยวตาย
ด้วยปัญหาเฉาะหน้าว่านักท่องเที่ยวจีนลดลง-ล้าหลังด้านดิจิตอล-เงินบาทแข็ง
และชี้ด้วยว่า เพราะไม่มีการปรับตัวเชิงโครงสร้างโดยเฉพาะในเรื่องดิจิตอล
อะไรที่เคยเป็นเสน่ห์ หรือ “ขายได้” เมื่อ 20-30 ปีก่อน
มาวันนี้กลายเป็นของที่ “เชย” ไปเสียแล้วสำหรับโลกยุคใหม่
และนักท่องเที่ยวรุ่นใหม่
ล่าสุด บลูมเบิร์กก็ออกรายงานเรื่อง 20 ตระกูลอภิมหาเศรษฐีเอเชียที่มีมูลค่าทรัพย์สินรวมกัน 450,000 ล้านเหรียญ
หรือราวๆ 13-14 ล้านล้านบาท-ครือกันกับขนาดจีดีพีของเมืองไทย
ในจำนวนนี้มีตระกูลอภิมหาเศรษฐีไทยรวมอยู่ด้วย 3 ตระกูลคือ เจียรวนนท์-อยู่วิทยา-จิราธิวัฒน์
ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐีไทยอ่านแล้วหัวเราะตัวโยนบอกว่า
นี่ยังตกไปอีกหลายตระกูล ที่รวยไม่แพ้ครอบครัวที่ยกชื่อมา
แถมเกณฑ์วัดของบลูมเบิร์กที่ต้องเอาตระกูลที่ “สืบทอด” ความรวยกัน ไม่นับที่ร่ำรวยขึ้นมาในหนึ่งชั่วอายุคน
ก็ตัดจำนวนอภิมหาเศรษฐกิจไทยที่จะต้องอยู่ในเกณฑ์นี้ไปอีกหลายคน
อันที่จริงความรวยนี่ไม่ใช่อาชญากรรมนะครับ
ถ้าไม่ได้ไปโกงหรือไปเบียดเบียนใครเขามา
แต่ในบางสถานการณ์บางเวลา ความรวยนั้น “น่าหมั่นไส้”
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามที่ภาวะเศรษฐกิจกลับหัวกับเมื่อปี 2540 อย่างนี้
หนนั้นวิกฤตเศรษฐกิจเกิดขึ้นกับมหาเศรษฐี เจ้าสัว และกิจการขนาดใหญ่ทั้งหลาย
ซึ่งด้วยสายป่าน เครือข่าย และกำลังคนที่มีอยู่ ไม่กี่ปีเจ้าสัวหรือกิจการขนาดใหญ่ทั้งหลายก็พ้นจากหลุมดำ
แต่หนนี้ วิกฤตเกิดกับฐานรากและผู้มีรายได้น้อย ทั้งในเมืองและเกษตรกร
ความหวังหรือโอกาสที่จะหลุดพ้นจากหุบเหวแห่งหายนะนั้นแสนจะริบหรี่ หรือแทบไม่มีเลย
มาตรการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ออกมา ที่เน้นแจก-แจก-แจก และแจกนั้น
อาจจะทำให้ครึกครื้นได้ชั่วคราว
แต่อีกด้านหนึ่งก็เหมือนดื่มน้ำทะเลดับกระหาย
ในทางยาวจะยิ่งกลายเป็นปัญหา
จริงหรือไม่ ดูจากที่เขาสรุปข่าวการฆ่าตัวตายรายวันของคนตัวเล็กตัวน้อยที่แพ้ภัยเศรษฐกิจนั้นเถอะครับ
การแจกแต่ไม่ได้สร้างโอกาส
หว่านเงินแต่ไม่ได้หว่านปัญญา
เน้นแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่ว่าไม่ได้จัดการโครงสร้าง (โดยเฉพาะการเพิ่มอำนาจให้ภาครัฐกับราชการอย่างมหาศาลใน 5 ปีที่ผ่านมา ใครคิดว่ารัฐกับราชการจะสร้างอะไรใหม่ๆ จะแหวกกรอบดั้งเดิมออกไปได้บ้าง)
ความเครียด ความสิ้นหวัง ความไร้ศรัทธา ความหงุดหงิดถึงแผ่กระจายกว้างขึ้น
เวลาที่โลกเป็นสีเทาไม่ใช่สีรุ้ง อะไรก็ดูขวางหูขวางตาไปหมด
เศรษฐีหรือมหาเศรษฐีทั้งหลายจะพลอยโชคร้าย กลายเป็นแพะรับบาป (ร่วม) ของความตกต่ำทางเศรษฐกิจ และความทุกข์ยากอดอยากก็รอบนี้
ถ้าเศรษฐีไม่อยากเป็นแพะรับบาป (ด้วย) ก็คงต้องช่วยกันออกแรงแซะให้รัฐบาลทำอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอัน (ในฐานะที่ท่านเสียงดังกว่า หรือว่าพูดแล้วรัฐบาลรับฟัง)
หรือท่านทั้งหลายต้องลงมือทำอะไรเองมากกว่านี้แล้วละครับ
ปล่อยให้จำนวนสลัมที่รายล้อมคฤหาสน์เพิ่มมากขึ้นไปเรื่อยๆ
ไม่มีใครรับประกันได้หรอกครับว่า
อะไรจะเกิดขึ้นในอนาคตอันไม่ไกลจากนี้