ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 15 - 21 มีนาคม 2562 |
---|---|
คอลัมน์ | ของดีมีอยู่ |
เผยแพร่ |
ในจำนวนกิจกรรมที่ทำร่วมกัน ซึ่งทำให้เกิดสังคมมนุษย์ขึ้นมาได้นั้น
หลังจากร่วมกันล่าสัตว์และร่วมกันเพาะปลูกแล้ว
ก็เห็นจะเป็น “ตลาด” นี่แหละครับ
และตลาดหรือสถานที่แลกเปลี่ยนซื้อขายนี้เอง ที่เป็นบ่อเกิดของอารยธรรมสารพัดชนิด
ทั้งเทคโนโลยีการผลิต การเดินทาง การติดต่อสื่อสาร
จนโลกมีหน้าตาอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
จู่ๆ ที่นึกถึงเรื่องตลาดขึ้นมา
เพราะเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ติดสอยห้อยตามท่าน ผบ.ประจำตัวไปเดินอยู่ในตลาดขายส่งเสื้อผ้าย่านประตูน้ำอย่างเอาจริงเอาจังครั้งแรกในชีวิต
ผู้บริหารประเทศ ผู้กำหนดนโยบายเศรษฐกิจ รวมไปถึงนักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์จำนวนไม่น้อย คงได้ยินกิตติศัพท์ของตลาดขายส่งเสื้อผ้าประตูน้ำมาบ้างไม่มากก็น้อย
แต่ก็คงรู้จักแบบคล้ายกัน
คือรู้ แต่ไม่รู้สึก
เพราะถ้าไม่ลงมาเดินถนนปะปนกับคนธรรมดา
ไม่มารถติด ไม่มาเดินหลบรถที่ติดกันเป็นแพอยู่ในซอย
ไม่มาดมกลิ่น ไม่ได้กินอาหารแบบเดียวกัน
ไม่มีทางเข้าใจชีวิตและความมีชีวิตชีวาของตลาดแบบนี้ได้
ถ้ารู้สึกแล้ว จะยิ่งนึกรัก-นับถือ “นักรบเศรษฐกิจ” ตัวจริงเหล่านี้ขึ้นไปอีกหลายเท่า
เพราะพี่น้องพ่อค้าแม่ขายส่วนใหญ่เหล่านี้คือคนที่ไม่มีทุนรอน
หรือมีก็น้อยมากเมื่อเทียบกับคนทำธุรกิจอื่นๆ
ทุกบาททุกสตางค์ของเขาจึงมีความหมาย
เหมือนกับพื้นที่ในประตูน้ำที่ทุกตารางนิ้ว-ตารางฟุต-ตารางเมตรเป็นเงินเป็นทอง
แต่ความประทับใจอย่างแรกเลยก็คือ หลายห้างในนั้นถึงจะแออัด แต่ก็สะอาด
เผลอๆ สะอาดกว่าห้างดังๆ อีกหลายแห่ง
ขณะที่คนขายของก็เก่งกาจสามารถ
เชื่อว่าหลายท่านหรือจำนวนมากในนั้นการศึกษาไม่สูง
แต่ประสบการณ์จากการสื่อสารต่อรอง-โดยเฉพาะกับลูกค้าต่างประเทศ ไม่ว่าจะจีน แอฟริกา หรือว่าตะวันออกกลาง ซึ่ง “เขี้ยว” ลากจนพื้นเป็นรอย
ยกระดับความสามารถเขาท่านเหล่านี้ให้ขึ้นมาเป็นพ่อค้าแม่ค้าอินเตอร์ได้ในที่สุด
และเกิดข้อสงสัยตามมาว่า เคยมีหน่วยราชการหรือสำนักวิชาการที่ไหนมาเก็บตัวเลขอย่างจริงจังบ้างไหม
ว่ามูลค่าการส่งออกของตลาดแบบนี้ปีหนึ่งๆ คิดเป็นจำนวนเท่าไหร่
ถ้ามีแล้วก็ขออภัย และรบกวนชี้ช่องให้ไปหามาอ่านเป็นความรู้ด้วย
เพราะเห็นที่มาซื้อๆ กันนั้น ที่ให้จัดส่งตามระบบโลจิสติกส์ คงมีบันทึกตรวจสอบได้
แต่คำถามคือแล้วที่หิ้วออกไปกันหลายๆ กระเป๋า มากันเป็นกลุ่มๆ
มีตัวเลขไหม
ไม่ใช่จะให้ตามไปเก็บภาษีเขานะครับ
แต่เผื่อจะมีคำตอบให้ได้บ้างว่า
ระหว่างที่ส่วนอื่นๆ ฝืดเคืองอยู่นั้น
อะไรบ้างที่เป็นฟันเฟืองผลักดันเศรษฐกิจให้เดินไปได้
จะได้กำหนดนโยบายกันได้ถูก
ไม่คิดเอาเองจากหอคอยงาช้าง
หรือเล่นแต่เรื่องใหญ่ๆ หมื่นล้านแสนล้าน
เข้าทางแต่เศรษฐีมหาเศรษฐี
ข้อสังเกตอีกสองสามอย่าง คือการระมัดระวังเรื่องฟืนไฟ
ในตึกในอาคารน่ะดี
แต่พอลงมาเดินตรอกอย่างแรกที่จะเห็นได้คือก้นบุหรี่เต็มซอย
จะร่วมมือกันจัดระเบียบเพื่อความปลอดภัยและสุขอนามัยอย่างไร
น่าจะลองช่วยกันคิดดู
ข้อสังเกตอีกอย่างคืออาหารครับ
การเป็น “ตลาดล่าง-ผู้มีรายได้น้อย”
ไม่ได้แปลว่าคุณภาพชีวิตควรจะต้องต่ำทรามไปด้วย
โดยเฉพาะเรื่องกิน
ในฐานะประเทศเกษตร ประเทศผู้ผลิตอาหาร ผู้ตั้งเป้าอันสูงส่งว่าจะเป็นครัวของโลก
ถ้าคนในชาติส่วนใหญ่ต้องกินอาหารที่ไม่มีคุณภาพ
จะเป็นเลิศเป็นเต้ยไปทำไมกัน
ถ้าเอกชนรายใหญ่เขาไม่คิด เพราะเขาเพลินกำไร
รัฐจะเข้ามามีบทบาทตรงนี้อย่างไร
จะสนับสนุนส่งเสริมผู้ปลูกผู้ผลิตให้ผลิตของมีคุณภาพอย่างไร
ส่งเสริมรายย่อยให้เข้ามามีช่องทางแทรกตลาดอย่างไร
เพื่อให้การผูกขาดหลวมคลาย
คิดได้ทำได้ทั้งนั้นนะครับ
ถ้าไม่ขี้เกียจ
และไม่เกรงใจใคร
ทิ้งท้ายด้วยบทสนทนาของสองพ่อค้าในห้องน้ำ ระหว่างการปลดทุกข์เบา
อาวุโสกว่าถามคนหนุ่มว่า ตั้งแต่ต้นปีมาเป็นยังไง
คำตอบคือ ไม่คึกเลย
คงต้องรอหลังเลือกตั้ง
บังเอิญไม่รู้จักกัน เลยไม่กล้าถามน้องเขาว่า ทำไมฝากความหวังไว้หลังเลือกตั้ง
คิดอะไรหรือเชื่ออะไรอยู่
อยากรู้เหมือนกันกับผมใช่ไหมครับ