ฐากูร บุนปาน : หลายกูรูพูดตรงกัน! ปี 2562 เศรษฐกิจ “เผาจริง”

สารพัดกูรูเศรษฐกิจทั้งเทศและไทย พยากรณ์เอาไว้ตรงกันว่า

2562 น่าจะเป็นปี “เผาจริง”

หลังจากที่ทดลองเผาหลอกกันมาหลายปีติดต่อกันแล้ว

นิตยสารด้านเศรษฐกิจธุรกิจอันดับต้นๆ ของโลกอย่าง “ดิ อีโคโนมิสต์” สรุปไว้ว่า

ทุกครั้งที่เศรษฐกิจโลกเกิดวิกฤตนั้น จะมีเหตุแห่งหายนะ 3 ประการเกิดขึ้นพร้อมกัน

ได้แก่

– อัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวขึ้น

– ภาระหนี้ที่ท่วมหัว

และ

– นโยบายที่เลอะเทอะ ไร้ความรับผิดชอบ

แล้วก็ชี้เปรี้ยงเข้าให้ว่า ตอนนี้เหตุแห่งหายนะมาครบพร้อมกันแล้ว

เมื่อนโยบายที่คาดเดาไม่ได้และไร้เหตุผลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ออกมาเป็นชุด

ทั้งการทำสงครามการค้า และการอัดฉีดในประเทศแบบไม่ลืมหูลืมตา

ธนาคารกลางสหรัฐก็ต้องปรับอัตราดอกเบี้ยเพื่อยับยั้งเงินเฟ้อ และความบ้าคลั่ง

ดอกเบี้ยทั่วโลกก็ปรับขึ้นตาม โดยทันทีตลาดหุ้นทั่วโลกก็ดิ่งหัวลงสวนทางกับดอกเบี้ย

และซ้ำเติมเข้าไปที่ภาระหนี้สินของรัฐและเอกชนทั่วโลก ที่ขณะนี้อยู่ระดับเกินกว่า 200% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติของโลก

หรือพูดแบบชาวบ้านก็คือ มีหนี้มากกว่าทรัพย์สินอยู่กว่าเท่าตัว

ไม่วิบัติวันนี้แล้วจะเป็นวันไหน

ในฐานะที่เศรษฐกิจไทยแยกกับเศรษฐกิจโลกไม่ออก

เพราะร้อยละ 68 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติของเรามาจากรายได้จากการส่งออก และรายได้จากการท่องเที่ยว

โลกจาม เราก็เป็นหวัด

อาการลูกผีลูกคนของการส่งออกและการท่องเที่ยวตั้งแต่ไตรมาสที่ 3-4 ของปีที่ผ่านมาเป็นเครื่องยืนยันได้อย่างดี

ลำพังโครงสร้าง “รวยกระจุก จนกระจาย” และการชะลอตัวของอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในหลายปีที่ผ่านมา

ก็ทำให้รากหญ้าและชนชั้นกลางเริ่มกระอักเป็นเลือดกันอยู่แล้ว

ถ้าถูกซ้ำเติมโดยปัจจัยภายนอกอีก

ถามว่าจะเตรียมตัวตั้งรับกันอย่างไร ถึงจะผ่อนหนักให้เป็นเบาได้มากที่สุด

ถึงจะมีข้อปลอบใจตัวเองอยู่ว่า ทุกสงครามต้องมีทั้งคนแพ้และคนชนะ

ก็ต้องกลับมาถามตัวเองว่า แล้วมีปัจจัยอะไรบ้างที่จะทำให้ก้าวข้ามจากฝั่งผู้แพ้ไปสู่การเป็นผู้ชนะได้

คิดสิครับ-ช่วยกันคิดหน่อย

แต่ในม่านหมอกที่ปกคลุมอนาคตอยู่อึมครึมนั้น

ยังพอมีแสงรำไรฉายมาอยู่บ้าง

แทบทุกคนคงเดาได้ว่าหมายถึงการเลือกตั้งทั่วไปที่จะมีขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์นี้

แต่อย่างที่ภาษิตนักเศรษฐศาสตร์ฝรั่งเขาว่าไว้ ว่าไม่มีของฟรีในโลก

แสงแห่งความหวังจากการเลือกตั้งนั้นมาพร้อมกับ “เงื่อนไข” บางประการด้วยกัน

เบื้องต้นที่สุดก็คือ การเลือกตั้งครั้งนี้ต้องดำเนินไปอย่างบริสุทธิ์ โปร่งใส ยุติธรรม

ภาระที่ว่านี้ไม่ใช่เป็นแต่งานของคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต.เท่านั้น

แต่ยังเป็นหน้าที่ของพรรคการเมืองและประชาชนต้องช่วยกันทำให้เกิดขึ้นเป็นจริงด้วย

เพราะถ้าเลือกตั้งผ่านไปได้ด้วยดี (แน่นอนว่าไม่ได้หมายถึงดีร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่มีตำหนิ แต่ดีในแง่ที่กติกาและความเป็นปกติดำเนินไปอย่างที่ควรจะเป็น)

โอกาสที่จะเกิดความเรียบร้อยในการจัดตั้งรัฐบาล

หรือการได้รัฐบาลที่ต้องตรงกับความต้องการของประชาชนจริงๆ

เพื่อเข้ามาเป็นหัวหอก-หัวขบวนเตรียมตัวรับมือพายุเศรษฐกิจ และแก้ไขวังวนหรือหลุมดำการเมือง

ก็อาจไม่ใช่เรื่องเหลือวิสัย

ใครจะค่อนขอดว่าโลกสวยก็ยอมละครับ

ก็ถ้าไม่มีความหวังเอาเสียเลย ก็ไม่รู้มีชีวิตอยู่ในโลกต่อไปทำไม

และมีเหตุให้เชื่อว่าโลกจะสวยขึ้นด้วย

เพราะการเลือกตั้งครั้งนี้ ถูกจับจ้องแบบไม่กะพริบตาจากพี่น้องจำนวนไม่น้อย

ทั้งในโลกจริงและโลกเสมือน

ใครหน้าไหนคิดจะทำอะไรแปลกๆ ประหลาดๆ มีอันเค้เก้มาแล้วนักต่อนัก

ถ้าประชาชนแปรสภาพเป็นพลเมืองที่ขยันขันแข็ง เอาธุระของส่วนรวม

ถึงเส้นทางประชาธิปไตยจะโขยกเขยกไปบ้าง ก็ยังมีโอกาสก้าวเดินไปข้างหน้าได้

ปีใหม่ ขอหวังอะไรใหม่ๆ

ไม่ได้ขอมากไปใช่ไหมครับ