ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 14 - 20 ธันวาคม 2561 |
---|---|
คอลัมน์ | ของดีมีอยู่ |
เผยแพร่ |
คฤหาสน์กลางสลัม
ไม่ใช่นิยาย
มีอยู่จริงในโลก
โดยเฉพาะในเมืองไทย
เมื่อสัปดาห์ก่อนรายงานเรื่องความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจของไทยและของโลก เป็นหัวข้อสนทนาของคนจำนวนไม่น้อย
อันที่จริงถ้าจะหาคำอธิบายว่าเหลื่อมล้ำอย่างไร เพราะอะไร และจะหาทางออกกันอย่างไร
แนะนำให้เข้าไปที่เพจเฟซบุ๊กของคุณบรรยง พงษ์พานิช Banyong Pongpanich ประธานเจ้าหน้าที่บริหารเครือเกียรตินาคินภัทร ดูครับ
ชัดเจนกว่าข้อเขียนนี้เป็นไหนๆ
แต่ในฐานะลูกศิษย์ครูพักลักจำของคุณบรรยง
ขออนุญาตเอาไฮไลต์บางส่วน บวกความคิดเห็นส่วนตัวอีกนิดหน่อยมานำเสนอ
ตามการเก็บสถิติของ Credit Suisse สถาบันการเงินระดับต้นๆ ของโลก
ความเหลื่อมล้ำของฐานะทางเศรษฐกิจในสังคมไทยนั้นสูงที่สุดในโลก-ในปีนี้
กระโดดมาจากอันดับที่ 3 ของโลก (รองจากรัสเซียและอินเดีย) เมื่อสองปีที่แล้ว
ไม่ใช่อยู่เฉยๆ แล้วอันดับเลื่อนขึ้นด้วย
แต่เพราะเหลื่อมล้ำมากขึ้นจริงๆ
จากสถิติที่บอกว่าคนรวย 1% ในเมืองไทยเคยครองทรัพย์สินร้อยละ 50 กว่าๆ เมื่อสองปีก่อน
วันนี้อภิมหาเศรษฐีทั้งหลายครองทรัพย์สินเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 67% โดยประมาณ
หรือถ้านับคนมีสตางค์สูงสุดร้อยละ 5 ของสังคมไทย
ท่านครอบครองทรัพย์สินไปร้อยละ 80
แปลว่า อีก 95% ของคนไทย เบียดเสียดเยียดยัดกันแย่งทรัพย์สินร้อยละ 20 ที่เหลือ
และจากการสำรวจของเขายังบอกว่า 10% ของคนมีฐานะทางเศรษฐกิจล่างสุดของสังคมไทย ครอบครองสินทรัพย์ร้อยละ 0
ไม่ต้องตกใจ
อ่านไม่ผิดหรอกครับ
ร้อยละ 0 จริงๆ
ใครที่ถามว่า “รวยกระจุก จนกระจาย” หน้าตาเป็นยังไง
ก็อย่างนี้ละครับ
ถามว่า ความเหลื่อมล้ำนี้จะนำไปสู่อะไร
คำตอบก็คือ ความเหลื่อมล้ำที่มากขึ้น
เมื่อเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจเสียแล้ว
ก็นำมาซึ่งความเหลื่อมล้ำในมิติอื่นๆ ด้วย
ตั้งแต่การศึกษา ไปจนถึงโอกาส
แล้วก็วนกลับมาทำให้ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจยิ่งถ่างกว้างขึ้น
ฉะนั้น ที่อยากจะเห็นก็คือ
ในการเลือกตั้งครั้งนี้ จะมีพรรคการเมืองไหนหรือไม่ที่จะเสนอแนวทางหรือนโยบายในการลดความเหลื่อมล้ำออกมาเป็นรูปธรรม
เพราะของดีๆ อย่างภาษีมรดกหรือภาษีที่ดิน (ที่ไม่เคยอยู่ในสายตาของรัฐบาลเลือกตั้งไหนๆ) ซึ่งควรจะเป็นเครื่องมือในการลดความเหลื่อมล้ำลงมา (ได้บ้าง)
พอผ่านสภาที่ไม่ได้มาจากประชาชน
ดันถูกยำเสียเละ
หมดพลังที่จะเป็นเครื่องมือในการสร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นในสังคม
อยากเห็นจริงๆ นะครับ
ไม่ได้พูดเล่น
เพราะนี่คือระเบิดเวลาลูกใหญ่ที่สุดอันดับต้นๆ ในสังคมไทย
ประเด็นก็คือ คราวนี้นอกจากต้องอาศัยการเมืองเป็นผู้จุดชนวนแล้ว
ยังต้องอาศัยพลังของประชาชนส่วนใหญ่-เอาเป็นว่าร้อยละ 95 ที่เบียดเสียดเยียดยัดแย่งทรัพย์สินแค่ร้อยละ 20 ของประเทศนั่นแหละ-เป็นแรงผลักดันสนับสนุน
เพราะจะไปหวังให้ร้อยละ 1 หรือร้อยละ 5 ที่เสวยสุขอยู่ ยอม “เสียสละ” มารวมผลักดันด้วย
อันนั้นไม่ใช่หวัง
แต่เป็นฝันกลางวัน
ดีไม่ดี (จริงๆ คือไม่ดีเสียละมากกว่า) นอกจากไม่หนุนแล้วท่านๆ ทั้งหลายยังจะค้าน (แบบเงียบๆ ด้วยการล็อบบี้ในหมู่ชนชั้นนำไม่กี่คน) เหมือนอย่างที่เคยทำมา
ถ้าไม่มีแรงกดดันชนิดปฏิเสธไม่ได้จริงๆ
ช้างที่ไหนจะคายอ้อยจากปาก
ความเหลื่อมล้ำ การเมือง และมวลชน
จึงกลายเป็นเรื่องเดียวกันด้วยประการฉะนี้
ใครที่เชื่อว่าคฤหาสน์กลางสลัมจะขยับขยายใหญ่โตต่อไปจนกลายเป็นปราสาท ไม่ต้องหวาดต้องหวาดกลัวอะไรกับเหล่าผู้หิวโหยรอบข้าง
ก็เชิญเสวยสุขต่อไปครับ
แต่ใครที่ดูหนังซอมบี้-ผีดิบฝรั่ง แล้วฉุกใจคิดว่านี่เขากำลังเปรียบเทียบกับเรื่องความเหลื่อมล้ำ เรื่องคนส่วนใหญ่กับคนส่วนน้อยนี่หว่า
แล้วคิดต่อไปได้ว่าจะต้องลงมือแก้ไข
ก่อนคฤหาสน์จะลุกเป็นไฟ หรือก่อนซอมบี้จะทลายกำแพงเข้ามา
ก็ขอขอบพระคุณ
และถ้าพูดแบบโลกสวยก็ต้องบอกว่า
จะดีที่สุดก็คือ คฤหาสน์กับซอมบี้จับมือกัน แก้ไขปัญหาให้ค่อยๆ ทุเลาลง
จะได้ประคับประคองกันไป ไม่ถึงวันโลกาวินาศ
ฝันมากไปไหมหนอ