ฐากูร บุนปาน : “คฤหาสน์กลางสลัม” ตีแผ่!ความเหลื่อมล้ำของจริงในเมืองไทย

คฤหาสน์กลางสลัม

ไม่ใช่นิยาย

มีอยู่จริงในโลก

โดยเฉพาะในเมืองไทย

เมื่อสัปดาห์ก่อนรายงานเรื่องความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจของไทยและของโลก เป็นหัวข้อสนทนาของคนจำนวนไม่น้อย

อันที่จริงถ้าจะหาคำอธิบายว่าเหลื่อมล้ำอย่างไร เพราะอะไร และจะหาทางออกกันอย่างไร

แนะนำให้เข้าไปที่เพจเฟซบุ๊กของคุณบรรยง พงษ์พานิช Banyong Pongpanich ประธานเจ้าหน้าที่บริหารเครือเกียรตินาคินภัทร ดูครับ

ชัดเจนกว่าข้อเขียนนี้เป็นไหนๆ

แต่ในฐานะลูกศิษย์ครูพักลักจำของคุณบรรยง

ขออนุญาตเอาไฮไลต์บางส่วน บวกความคิดเห็นส่วนตัวอีกนิดหน่อยมานำเสนอ

ตามการเก็บสถิติของ Credit Suisse สถาบันการเงินระดับต้นๆ ของโลก

ความเหลื่อมล้ำของฐานะทางเศรษฐกิจในสังคมไทยนั้นสูงที่สุดในโลก-ในปีนี้

กระโดดมาจากอันดับที่ 3 ของโลก (รองจากรัสเซียและอินเดีย) เมื่อสองปีที่แล้ว

ไม่ใช่อยู่เฉยๆ แล้วอันดับเลื่อนขึ้นด้วย

แต่เพราะเหลื่อมล้ำมากขึ้นจริงๆ

จากสถิติที่บอกว่าคนรวย 1% ในเมืองไทยเคยครองทรัพย์สินร้อยละ 50 กว่าๆ เมื่อสองปีก่อน

วันนี้อภิมหาเศรษฐีทั้งหลายครองทรัพย์สินเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 67% โดยประมาณ

หรือถ้านับคนมีสตางค์สูงสุดร้อยละ 5 ของสังคมไทย

ท่านครอบครองทรัพย์สินไปร้อยละ 80

แปลว่า อีก 95% ของคนไทย เบียดเสียดเยียดยัดกันแย่งทรัพย์สินร้อยละ 20 ที่เหลือ

และจากการสำรวจของเขายังบอกว่า 10% ของคนมีฐานะทางเศรษฐกิจล่างสุดของสังคมไทย ครอบครองสินทรัพย์ร้อยละ 0

ไม่ต้องตกใจ

อ่านไม่ผิดหรอกครับ

ร้อยละ 0 จริงๆ

ใครที่ถามว่า “รวยกระจุก จนกระจาย” หน้าตาเป็นยังไง

ก็อย่างนี้ละครับ

ถามว่า ความเหลื่อมล้ำนี้จะนำไปสู่อะไร

คำตอบก็คือ ความเหลื่อมล้ำที่มากขึ้น

เมื่อเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจเสียแล้ว

ก็นำมาซึ่งความเหลื่อมล้ำในมิติอื่นๆ ด้วย

ตั้งแต่การศึกษา ไปจนถึงโอกาส

แล้วก็วนกลับมาทำให้ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจยิ่งถ่างกว้างขึ้น

ฉะนั้น ที่อยากจะเห็นก็คือ

ในการเลือกตั้งครั้งนี้ จะมีพรรคการเมืองไหนหรือไม่ที่จะเสนอแนวทางหรือนโยบายในการลดความเหลื่อมล้ำออกมาเป็นรูปธรรม

เพราะของดีๆ อย่างภาษีมรดกหรือภาษีที่ดิน (ที่ไม่เคยอยู่ในสายตาของรัฐบาลเลือกตั้งไหนๆ) ซึ่งควรจะเป็นเครื่องมือในการลดความเหลื่อมล้ำลงมา (ได้บ้าง)

พอผ่านสภาที่ไม่ได้มาจากประชาชน

ดันถูกยำเสียเละ

หมดพลังที่จะเป็นเครื่องมือในการสร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นในสังคม

อยากเห็นจริงๆ นะครับ

ไม่ได้พูดเล่น

เพราะนี่คือระเบิดเวลาลูกใหญ่ที่สุดอันดับต้นๆ ในสังคมไทย

ประเด็นก็คือ คราวนี้นอกจากต้องอาศัยการเมืองเป็นผู้จุดชนวนแล้ว

ยังต้องอาศัยพลังของประชาชนส่วนใหญ่-เอาเป็นว่าร้อยละ 95 ที่เบียดเสียดเยียดยัดแย่งทรัพย์สินแค่ร้อยละ 20 ของประเทศนั่นแหละ-เป็นแรงผลักดันสนับสนุน

เพราะจะไปหวังให้ร้อยละ 1 หรือร้อยละ 5 ที่เสวยสุขอยู่ ยอม “เสียสละ” มารวมผลักดันด้วย

อันนั้นไม่ใช่หวัง

แต่เป็นฝันกลางวัน

ดีไม่ดี (จริงๆ คือไม่ดีเสียละมากกว่า) นอกจากไม่หนุนแล้วท่านๆ ทั้งหลายยังจะค้าน (แบบเงียบๆ ด้วยการล็อบบี้ในหมู่ชนชั้นนำไม่กี่คน) เหมือนอย่างที่เคยทำมา

ถ้าไม่มีแรงกดดันชนิดปฏิเสธไม่ได้จริงๆ

ช้างที่ไหนจะคายอ้อยจากปาก

ความเหลื่อมล้ำ การเมือง และมวลชน

จึงกลายเป็นเรื่องเดียวกันด้วยประการฉะนี้

ใครที่เชื่อว่าคฤหาสน์กลางสลัมจะขยับขยายใหญ่โตต่อไปจนกลายเป็นปราสาท ไม่ต้องหวาดต้องหวาดกลัวอะไรกับเหล่าผู้หิวโหยรอบข้าง

ก็เชิญเสวยสุขต่อไปครับ

แต่ใครที่ดูหนังซอมบี้-ผีดิบฝรั่ง แล้วฉุกใจคิดว่านี่เขากำลังเปรียบเทียบกับเรื่องความเหลื่อมล้ำ เรื่องคนส่วนใหญ่กับคนส่วนน้อยนี่หว่า

แล้วคิดต่อไปได้ว่าจะต้องลงมือแก้ไข

ก่อนคฤหาสน์จะลุกเป็นไฟ หรือก่อนซอมบี้จะทลายกำแพงเข้ามา

ก็ขอขอบพระคุณ

และถ้าพูดแบบโลกสวยก็ต้องบอกว่า

จะดีที่สุดก็คือ คฤหาสน์กับซอมบี้จับมือกัน แก้ไขปัญหาให้ค่อยๆ ทุเลาลง

จะได้ประคับประคองกันไป ไม่ถึงวันโลกาวินาศ

ฝันมากไปไหมหนอ