เคน นครินทร์ : ทำไม Moonlight จึงได้รับรางวัลออสการ์ สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม

“เมื่อถึงเวลา เจ้าจะต้องตัดสินใจด้วยตัวเองว่าอยากเป็นอะไร อย่าให้ใครมาตัดสินใจแทน”

คือคำพูดของ Juan พ่อค้ายาเสพติดที่มีต่อเด็กน้อยผิวสีที่ชื่อ Chiron แต่เพื่อนๆ เรียกเขาว่า Little เพราะขนาดรูปร่างที่เล็กกะทัดรัด

ในตอนนั้นไชรอนยังไม่แน่ใจว่าตัวเองเป็นเกย์ เขารู้แต่ว่าชีวิตเขาไม่เหมือนคนอื่น ไชรอนอาศัยอยู่กับแม่ซึ่งติดยา ขายตัว และเลี้ยงดูเขาอย่างทิ้งๆ ขว้างๆ มิหนำซ้ำยังขอเงินเขาไปซื้อยาอีก ไชรอนถูกเพื่อนที่โรงเรียนรังแกและล้อเลียนอยู่เสมอ

“ไอ้ตุ๊ด”

แต่ไชรอนไม่ได้โดดเดี่ยว เขาบังเอิญได้พบกับ “ฮวน” พ่อค้าขายยาแถวนั้น

ความสัมพันธ์ระหว่าง “ผู้ใหญ่” กับ “เด็ก” คู่นี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และพัฒนาเป็นความสนิทสนมและไว้ใจ

ฮวนเป็นเหมือนไอดอลของไชรอน และเป็นที่ปรึกษาเวลาเขามีปัญหาหรือข้อสงสัย

“ไอ้ตุ๊ด แปลว่าอะไรครับ” ไชรอนถามฮวนหน้าซื่อๆ

ฮวนนิ่งไปนาน คิดคำตอบที่ดีที่สุดให้กับเด็กน้อยตาใส “ไอ้ตุ๊ด…คือคำที่คนเอาไว้ใช้ให้เกย์รู้สึกแย่”

“ผมเป็นไอ้ตุ๊ดหรือเปล่า” เด็กน้อยถามกลับ

“เปล่า เจ้าเป็นเกย์ได้ แต่อย่าให้ใครมาเรียกว่าไอ้ตุ๊ด”

ทั้งคู่ชอบไปนั่งริมชายหาดไมอามี่ ฮวนสอนให้ไชรอนว่ายน้ำเป็นก็ที่นี่

“ตอนที่ฉันยังเด็ก ฉันเหมือนกับเธอเปี๊ยบ วิ่งเล่นเท้าเปล่าไปในความมืด วันนั้นพระจันทร์เต็มดวง หญิงแก่คนหนึ่งเห็นฉันแล้วบอกว่า “วิ่งเล่นไร้จุดหมาย ไขว่คว้าหาแสงสว่าง ท่ามกลางแสงจันทร์ ผิวสีดำของเธอจะกลายเป็นสีฟ้า””

ผิวสีดำที่ดูมืดมน ยามแสงจันทร์จับต้อง มันก็จะส่องสว่างเป็นสีฟ้า…

This image released by A24 Films shows Alex Hibbert, left, and Mahershala Ali in a scene from the film, “Moonlight.” The film is a poetic coming-of-age tale told across three chapters about a young gay black kid growing up in a poor, drug-ridden neighborhood of Miami. (David Bornfriend/A24 via AP)

ผมนั่งดูหนังเรื่องนี้ในโรง พลางคิดในใจว่าหากเป็นผู้ลงคะแนนเสียงได้ ผมอยากจะมอบรางวัลออสการ์ สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมในปีนี้ให้กับ Moonlight มากกว่า La La Land

และแล้ว Moonlight ก็คว้ารางวัลออสการ์ สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมได้จริงๆ แม้ว่าจะได้มาในรูปแบบที่ช็อกโลก เพราะผู้ประกาศรางวัลประกาศผิดให้กับ La La Land ก่อน เนื่องจากได้รับจดหมายผิดซองก็ตาม

Moonlight คือภาพยนตร์ที่กำกับฯ โดย Barry Jenkins ผู้กำกับฯ ผิวสีชาวอเมริกันวัย 37 ปี ที่ก่อนหน้านี้เคยกำกับภาพยนตร์เพียงแค่เรื่องเดียวคือ Medicine for Melancholy (2008)

เกร็ดที่น่าสนใจคือ Moonlight เป็นหนังอินดี้ที่มีต้นทุนในการทำหนังต่ำเพียง 1.6 ล้านเหรียญสหรัฐ (La La Land ใช้ทุนสร้าง 30 ล้านเหรียญสหรัฐ Hacksaw Ridge ใช้ทุนสร้าง 40 ล้านเหรียญสหรัฐ Arrival ใช้ทุน 47 ล้านเหรียญสหรัฐ)

และแม้จะกวาดรายได้ไปถึง 22 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่ก็ยังถือว่าเป็นหนังเข้าชิงออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมที่ทำรายได้ต่ำที่สุด

หนังเล่าชีวิตสามช่วงวัยของ “ไชรอน” เด็กผิวสีที่ถูกแม่ซึ่งติดยาปล่อยปละละเลย มิหนำซ้ำยังถูกรังแกจากเพื่อนที่โรงเรียนอีก เขามีที่พึ่งเดียวคือบ้านของ “ฮวน” คนขายยาแถวนั้นที่บังเอิญเห็นชีวิตวัยเด็กของเขาถูกทำร้ายทั้งจากแม่และเพื่อน เขาจำเป็นจะต้องต่อสู้เพื่อเติบโตขึ้นในสภาพแวดล้อมที่ดูยากลำบากเหลือเกิน

บทภาพยนตร์ของ Moonlight ดัดแปลงมาจากบทละครเรื่อง In Moonlight Black Boys Look Blue ที่เขียนโดย Tarell Alvin McCraney

แม้ว่าบทละครเรื่องนี้จะไม่ได้ถูกตีพิมพ์ แต่มันก็สร้างความประทับใจให้กับ Barry Jenkins เป็นอย่างมาก อาจจะเป็นเพราะมันเป็นบทละครที่พูดแทนชีวิตของเขา

ทั้ง Barry Jenkins และ Tarell Alvin McCraney ต่างเติบโตในเมือง Liberty ในไมอามีเหมือนกับตัวละคร “ไชรอน” ในหนัง

นอกจากนี้ แม่ของทั้งคู่ยังติดยาและติดเอดส์เหมือนกับในหนังอีกด้วย จะแตกต่างก็ตรงที่ผู้กำกับฯ อย่าง Jenkins ไม่ได้เป็นเกย์ เขาเป็นชายแท้ แต่ McCraney นั้นเป็นเกย์

ท้ายที่สุด Moonlight ก็คว้ารางวัลออสการ์ สาขาบทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยมมาครอง เว็บไซต์ Vox ยกย่องว่าในบางพาร์ตของบทที่ไม่ได้เป็นบทสนทนา แต่ก็ยังมีความละเอียดและความสวยงามราวกับเป็นบทกวี

 

แม้ว่าพล็อตของหนังจะดูเครียดและเข้มข้น เพราะเดินเรื่องด้วยตัวละครชายขอบสับสนเพศสภาพตัวเอง เป็นทั้งเกย์ คนผิวสี มีแม่ติดยา และครอบครัวแตกแยก แต่ Moonlight กลับไม่ได้พูดภาพกว้างในประเด็นเชิงสังคมหนักๆ ขนาดนั้น เอาเข้าจริง ในทางตรงกันข้าม มันคือหนังที่โรแมนติก อ้างว้าง โดดเดี่ยวที่เล่าถึงสภาพจิตใจ รวมทั้งความรู้สึกนึกคิดของตัวละครเอกมากกว่า

นี่คือหนังฮอลลีวู้ดเรื่องแรกๆ ที่ฉายภาพของคนดำในแบบที่เราไม่ค่อยเห็น ทั้งความอ่อนโยน ความเปราะบาง และความเหงาที่แหว่งวิ่น จนเรียกได้ว่าเป็นหนังอาร์ตที่ดูยากๆ หน่อย หนังเน้นเรื่องของอารมณ์ความรู้สึก ความเป็นส่วนตัว ความเป็นปัจเจก และไม่ได้มีพล็อตหรืออะไรอย่างที่ขนบธรรมเนียมออสการ์ชอบ

ยิ่งทราบว่าผู้กำกับฯ อย่าง Barry Jenkins นั้นได้รับอิทธิพลจาก หว่อง กา ไว ยิ่งเข้าใจว่าทำไมหนัง Moonlight จึงถ่ายทอดออกมาได้อย่างนิ่งเรียบ สวยงามและมีสุนทรียะ

หนังเน้นการเล่าเรื่องหรือการใช้ภาพที่เป็นศิลปะ

หลายๆ ฉากกัดกินความรู้สึกของคนดู และอีกหลายฉากก็ทำให้เรารู้สึกเปราะบาง อ่อนไหว

ความน่าสนใจของ Moonlight คือตัวละครทั้ง 3 ตัวที่ฉายภาพของไชรอนในแต่ละช่วงวัยนั้น นักแสดงทั้ง 3 คนไม่เคยเจอหน้ากันมาก่อน แต่ต้องเล่นเป็นตัวละครเดียวกัน

ซึ่งน่าประหลาดใจว่าเรากลับเชื่อว่าทั้ง 3 คนเป็นคนเดียวกัน

 

ประเด็นที่เกาะกินคนดูมากที่สุดในหนังเรื่องนี้คงหนีไม่พ้น อดีตในวัยเด็กที่จะตามติดชีวิตเราไปจนโต หรือการซื่อสัตย์ต่อความเป็นตัวเอง แม้ว่าเราจะแตกต่างจากคนอื่นก็ตาม

ถ้าพูดถึงแค่ตัวหนัง Moonlight อยู่ในระดับหนังคุณภาพเรื่องหนึ่ง แต่เมื่อมองถึงสเกลของรางวัลออสการ์ที่ปกติมักให้รางวัลสาขานี้กับหนังที่พูดประเด็นใหญ่กว่านี้ หรือหนังที่มีความเป็นฮอลลีวู้ดมากๆ อย่าง La La Land

คำถามสำคัญก็คือ ทำไมมันจึงได้รับรางวัลใหญ่นี้

ผมคิดว่า ปัจจัยนอกจออย่างการเมืองและบริบทในสังคมอเมริกันปัจจุบันนั้นมีส่วนไม่น้อย

ปัจจัยแรกคือ การที่ออสการ์ถูกโจมตีมาตลอดในช่วงหลังว่า ไม่มีความหลากหลาย นิยมแต่คนผิวขาว (#OscarSoWhite)

ปัจจัยที่สองคือ การต้องการตอบโต้นโยบายและแนวคิดของ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่ปิดกั้นความหลากหลาย และกีดกันคนนอกออกไปจากประเทศ

การมอบรางวัลใหญ่ที่สุดให้กับ Moonlight ซึ่งเป็นหนังเกย์ผิวสีจึงมี “นัยยะ” ที่สะท้อนว่าคนในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ต้องการเปลี่ยนจุดยืนทางด้านความคิด สนับสนุนและเปิดโอกาสให้กับความหลากหลายทางเพศ เชื้อชาติ และสีผิวมากขึ้น ( Moonlight เป็นภาพยนตร์เกี่ยวกับเกย์เรื่องแรกที่ได้รางวัลนี้ หลังจากที่ Brokeback Mountain เคยพลาดไปอย่างคาใจคนดู)

Moonlight จึงเป็นเหมือนการเปิดประตูบานใหม่บานแรกของออสการ์

 

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะ Moonlight จะได้รางวัลเพราะด้วยเหตุผลอันใดก็แล้วแต่ สำหรับผมแล้ว ในแง่ของคนทำหนังตัวเล็กๆ Moonlight ประสบความสำเร็จมากที่มาถึงจุดนี้ได้

พวกเขาไม่ปฏิเสธความเป็นตัวเอง ทำหนังเล็กๆ ทุนต่ำที่พูดเรื่องของพวกเขา ใช้ทักษะและความสามารถที่มีถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดที่อยู่ข้างในออกมาได้อย่างสวยงาม จริงใจ และเป็นเอกลักษณ์

ในวินาที Barry Jenkins ขึ้นไปเวทีออสการ์แล้วพูดด้วยความตกใจว่า “แน่นอนว่าแม้แต่ในฝัน ผมก็คิดว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นจริง” ผมนึกถึงฉากหนึ่งและคำพูดของฮวนในหนัง Moonlight

“เมื่อถึงเวลา เจ้าจะต้องตัดสินใจด้วยตัวเองว่าอยากเป็นอะไร อย่าให้ใครมาตัดสินใจแทน”

แสงสีมะนาวบนเวทีออสการ์ส่องไปที่ผู้กำกับฯ ผิวสี

ผิวสีดำที่ดูมืดมน ยามแสงจันทร์จับต้อง มันก็จะส่องสว่างเป็นสีฟ้า…