ต้องอ่าน…ทำนายโลก 2023 อะไรคือ ‘บิ๊กเทรนด์’ ที่จะเกิดขึ้น

(Photo by Ed JONES / AFP)

นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิรัฐศาสตร์ ระบุว่า ปี 2022 ที่ผ่านมา คือปีแห่งสงครามยูเครนโดยแท้

แม้ว่ากระแสโดยรวมทั่วโลกที่สำคัญก็คือ การฟื้นตัวอย่างช้าๆ แต่มั่นคงจากวิกฤตการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เกิดขึ้นกับประเทศส่วนใหญ่ทั่วโลก ยกเว้นจีนที่เกิดการแพร่ระบาดขนานใหญ่ชนิดส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่กันเลยทีเดียว

คำถามที่ทุกคนอยากรู้คำตอบก็คือว่า อะไรคือ “บิ๊กเทรนด์” แนวโน้มสำคัญที่จะเกิดขึ้นกับโลกในปี 2023 นี้ที่ควรจับตามอง เพราะส่งผลกระทบเป็นวงกว้างนั่นเอง

ผู้สันทัดกรณีชี้ว่า แรกสุด กรณีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในจีน ที่จู่ๆ จำนวนผู้ติดเชื้อก็เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล โควิด-19 ในจีนกลายเป็นเรื่องที่ต้องกังวลและจับตามองอย่างใกล้ชิดกันตั้งแต่ต้นปี

เพราะไม่เพียงแต่ก่อให้เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจระบาดออกไปในหลายประเทศเท่านั้น

ยังสามารถก่อให้เกิดปัญหาการแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่องขึ้นในโลกอีกด้วย

หากเกิดการกลายพันธุ์ของเชื้อที่ระบาดอยู่ในจีน เป็นสายพันธุ์ใหม่ที่เลี่ยงวัคซีนได้ดีกว่าและก่อให้เกิดอาการได้รุนแรงมากกว่า แล้วกลับมาแพร่ระบาดไปทั่วโลกอีกครั้งหนึ่ง

แนวโน้มที่สอง ก็เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นเมื่อปีที่ผ่านมาเช่นเดียวกัน และเชื่อกันว่าจะลุกลามต่อเนื่องและรุนแรงขึ้นในปีใหม่นี้ นั่นคือวิกฤตการณ์พลังงานของยุโรป

วิกฤตพลังงานของยุโรปเป็นที่คาดหมายว่าจะรุนแรงมากขึ้นเพราะกำลังเข้าสู่หน้าหนาวที่หนาวมากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ราคาพลังงานที่ยุโรปใช้พุ่งสูงขึ้นตามไปด้วย กระทบต่อครัวเรือนทั่วยุโรปเป็นจำนวนมาก ที่ต้องเผชิญกับปัญหาภาวะเงินเฟ้อและผลกระทบจากสงครามในยูเครนซึ่งส่งผลต่อราคาสินค้าอาหารอยู่ก่อนแล้ว

ปัญหาอาหารและพลังงานราคาแพงอาจไม่จำกัดอยู่เฉพาะแต่ในยุโรปเท่านั้น แต่จะกระทบต่อประเทศกำลังพัฒนาได้ทั่วทั้งโลก

ไม่เพียงแต่ทำให้ครัวเรือนต้องเผชิญกับภาวะขาดแคลนเท่านั้น ยังอาจส่งผลกระทบต่องบประมาณของรัฐ ที่อาจลุกลามกลายเป็นปัญหาการเมือง ปัญหาสังคมขึ้นในแต่ละประเทศอีกด้วย

(Photo by Dimitar DILKOFF / AFP)

แม้ว่าจะมีผู้ลงความเห็นว่า สงครามรุกรานยูเครนของรัสเซีย กำลังใกล้จุดสิ้นสุด โดยเชื่อว่าจะมีการเจรจาหยุดยิงกันเกิดขึ้น แต่นักวิชาการบางคนเชื่อว่า สงครามยูเครนจะยืดเยื้อต่อเนื่องไปจนตลอดปี 2023 หรืออาจจะลุกลามต่อเนื่องไปกระทั่งถึงปี 2024 และ 2025 อีกด้วย และจะกลายเป็นเทรนด์หลักที่ต้องจับตามองตามไปด้วย

นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมนักวิชาการบางคนถึงออกมาเตือนโลกตะวันตกว่า ควรหันมากำหนดยุทธศาสตร์สำหรับสงครามยูเครนระยะยาวเพื่ออนาคตของยูเครน ของยุโรปและโลกอีกด้วย

นักวิเคราะห์ส่วนหนึ่งเชื่อว่า มีโอกาสอยู่บ้าง อาจจะสัก 25 เปอร์เซ็นต์ ที่สงครามยูเครนจะยุติลงในปี 2023 โดยที่รัฐบาลและผู้กำหนดนโยบายในประเทศที่เกี่ยวข้องและมีส่วนได้ส่วนเสียอาจผลักดันให้อย่างน้อยที่สุดก็มีการ “หยุดยิง” กันเกิดขึ้น

เหตุผลหนึ่งเป็นเพราะ “ต้นทุน” ของสงครามกำลัง “ออกนอกเหนือความควบคุม” ของแทบทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นรัสเซีย, ยุโรป, อเมริกัน และโดยเฉพาะชาวยูเครนเอง

ความคิดเห็นส่วนใหญ่ของชาวยุโรปมีแนวโน้มไปในแนวทางสนับสนุนให้มีการ “ทำความตกลง” ในความขัดแย้งที่เกิดขึ้น

แม้กระทั่งในสหรัฐอเมริกาเอง ชาวอเมริกันมากถึง 47 เปอร์เซ็นต์ ก็ต้องการให้รัฐบาลประธานาธิบดีโจ ไบเดน หาหนทางยุติสงครามครั้งนี้

นักคิดบางคน “คาดหวัง” ว่า แนวโน้มสำคัญประการหนึ่งควรจะเกิดขึ้นต่อเนื่องต่อไปในปีใหม่นี้ นั่นคือการชุมนุมประท้วงเพื่อเสรีภาพต่อต้านรัฐบาลเผด็จการอำนาจนิยมที่เราได้เห็นเกิดขึ้นในอิหร่าน ในจีน และในอีกบางประเทศ

แม้จะเชื่อเช่นกันว่ายากที่จะเห็นการประท้วงอย่างเช่นที่เกิดขึ้นในอิหร่านจะก่อให้เกิดผลลัพธ์เป็นชิ้นเป็นอันขึ้นได้ภายในปี 2023

กระนั้นหลายคนก็ยังอยากเห็นความเคลื่อนไหวดังกล่าวนี้ก่อให้เกิดกระแสที่อาจกลายเป็น “คลื่นประชาธิปไตยระลอกที่ 4” ของโลกขึ้นตามมา

ประเด็นของอิหร่านยังมีที่น่ากังวลอยู่อีกกรณีหนึ่ง นั่นคือนักวิชาการส่วนหนึ่งคาดการณ์ว่าแนนวนโยบายของชาติตะวันตกที่ผ่านมาอาจไม่สามารถป้องกันอิหร่านไม่ให้ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ได้ ทางการอิหร่านกำลังรุดหน้าอย่างรวดเร็วเข้าสู่การเป็นชาตินิวเคลียร์ชาติใหม่

เช่นเดียวกับที่เกาหลีเหนือเป็นและอาจก่อให้เกิดความวิตกกังวลและตึงเครียดขึ้นได้ไม่แพ้กันในปี 2023 นี้ ด้วยสถานะของประเทศที่ถูกโดดเดี่ยวจากทั้งโลก แต่ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์และก่ออันตรายขึ้นได้ทุกเมื่อ

2023 อาจเป็นปีที่ความตกลงนิวเคลียร์กับอิหร่านถึงกาลตายสนิท และสหรัฐอเมริกากับอิหร่านยิ่งทวีความเป็นปฏิปักษ์เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ตามกาลเวลาที่ผ่านไป

นักวิชาการส่วนหนึ่งเชื่อว่าแนวโน้มสำคัญที่ต้องจับตาในปี 2023 นี้ ควรต้องรวมเอาการรุกคืบเพื่อสร้างอิทธิพลด้านการทหารของจีนรวมเอาไว้ด้วย กองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน ไม่เพียงเพิ่มพูนขีดความสามารถของตนเองในพื้นที่ทะเลจีนใต้อย่างต่อเนื่องเท่านั้น แต่ยังอวดแสนยานุภาพของกองทัพอยู่ทั้งในบริเวณช่องแคบไต้หวันและทะเลจีนใต้ถี่มากขึ้นเรื่อยๆ

ทั้งไต้หวันและทะเลจีนใต้ ยังคงเป็น “เงื่อนปม” ที่คาราคาซังมานานก็จริง แต่ก็พร้อมระเบิดเป็นไฟสงครามได้ทุกเมื่อเช่นเดียวกัน

ดูท่า 2023 ไม่ใช่ปีที่โลกเต็มไปด้วยสันติภาพและสงบสุขเท่าใดนัก