วารี วิไล : Mick Jagger เดี่ยว – 2 เพลงการเมือง

มิก แจ๊กเกอร์ นักร้องนำของเดอะโรลลิ่ง สโตนส์ วงร็อกอมตะจากเกาะอังกฤษ ออกผลงานเดี่ยว 2 เพลง Gotta Get A Grip และ England Lost

ใครติดตามข่าว คงทราบถึงสถานการณ์การเมืองในอังกฤษ ตั้งแต่ Brexit การเลือกตั้ง และการก่อการร้าย รวมถึงสถานการณ์โลก ที่ผู้นำอย่าง “โดนัลด์ ทรัมป์” ก่อแรงสะเทือนด้วยแนวคิดชนชั้นสูงที่มุ่งมองผลประโยชน์อเมริกาเป็นหลัก

แจ๊กเกอร์สะท้อนการเปลี่ยนแปลงและความเปราะบางของอังกฤษ ใน England Lost ส่วน Gotta Get A Grip สะท้อนการเมืองที่คำว่า fake news และ lunatics เชื่อมโยงไปถึงทรัมป์

แจ๊กเกอร์แต่งเพลงในเดือนเมษายน และรีบปล่อยออกมา จะทำอัลบั้มก็นานเกิน ไม่อยากให้เวลาทำให้เพลงหมดความหมาย จนผู้ฟังไม่เข้าใจ

ถ้าสนใจแบบด่วนๆ มิวสิกวิดีโอของทั้งสองเพลงเข้าชมได้ใน Youtube

 

เซอร์ไมเคิล ฟิลลิป แจ๊กเกอร์ หรือ มิก แจ๊กเกอร์ อายุ 74 ปี แล้ว ยังออกแสดงกับวงและเหลือเรี่ยวแรงทำงานเดี่ยว

แจ๊กเกอร์โลดแล่นบนเวทีมากว่า 50 ปี หรือครึ่งศตวรรษ ด้วยเสียงร้องอันโดดเด่นและลีลาการแสดงบนเวที ควบคู่กับสไตล์กีตาร์ของ คีธ ริชาร์ดส์ กลายเป็น “เครื่องหมายการค้า” ของโรลลิ่งสโตนส์

เกิดในครอบครัวคนชั้นกลาง ที่ดาร์ตฟอร์ด เคนต์ พ่อเป็นครู แม่เป็นช่างทำผม

ทางบ้านเลี้ยงดูหมายจะให้เป็นครูเหมือนพ่อและปู่ แต่แจ๊กเกอร์มุ่งมั่นเป็นนักร้องมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กๆ ร้องเพลงในวงประสานเสียงของโบสถ์ และฟังเพลงจากวิทยุ

ปี 1950 มิกและคีธเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนระดับประถม ขาดการติดต่อกับคีธ เพราะไปโรงเรียนมัธยมคนละที่กัน

กรกฎาคม 1960 ทั้งสองมาเจอกันที่สถานีรถไฟ ฟื้นฟูมิตรภาพ และพบว่าต่างชอบดนตรีอาร์แอนด์บี

ปี 1961 ทั้งสองคนย้ายไปอยู่แฟลตที่อีดิธ โกรฟ เชลซี กับมือกีตาร์ ไบรอัน โจนส์ ที่ได้รู้จักกัน

คีธกับไบรอัน ตั้งวง แจ๊กเกอร์เรียนต่อด้านธุรกิจด้วยทุนรัฐบาลที่ลอนดอนสกูล ออฟ อีโคโนมิกส์ และคิดทำอาชีพนักหนังสือพิมพ์หรือนักการเมือง

อย่างไรก็ตาม ในปี 1963 แจ๊กเกอร์เลิกเรียน เพื่อมาทำอาชีพดนตรีกับวง โดยมุ่งแนวดนตรีบลูส์

 

ช่วงต้น เล่นดนตรีในคลับโดยไม่ได้ค่าตัว ต้องขอยืมเครื่องดนตรีของ อเล็กซิส คอร์เนอร์ ศิลปินบลูส์อังกฤษที่เป็นวงหลัก

กระทั่ง แอนดรูว์ ลุก โอลด์แฮม เข้ามาเป็นผู้จัดการ และเริ่มออกแสดงในชื่อ Rollin” Stones ที่ “มาร์คี คลับ” อันเป็นแจ๊ซคลับ เมื่อ 12 กรกฎาคม 1962

ไลน์อัพในวันนั้น มี แจ๊กเกอร์, ริชาร์ดส์, ไบรอัน โจนส์, เอียน สจ๊วร์ต เปียโน ดิก เทย์เลอร์ เบส และ โทนี่ แชปแมน กลอง

ปรับชื่อเป็น Rolling Stones ตระเวนแสดงทั่วอังกฤษ ในปี 1964 กลายเป็นยอดนิยมในอังกฤษ ควบคู่มากับเดอะบีตเทิ่ลส์

โอลด์แฮม ผู้จัดการวงสนับสนุนให้มิกและคีธแต่งเพลง และผลคือผลงานเยี่ยมๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็น As Tears Go By ที่แต่งให้ มาริแอนน์ เฟธฟุล นักร้องสาวที่โอลด์แฮมกำลังโปรโมตในตอนนั้น

เพลงเยี่ยมๆ ของทั้งคู่ยังได้แก่ The Last Time เพลงอันดับ 1 เพลงที่สามของวง โดยสองเพลงแรกเป็นเพลงคัฟเวอร์ ยังมี (I Can”t Get No) Satisfaction เพลงฮิตระดับนานาชาติเพลงแรก และทำให้ภาพของหินกลิ้งเด่นชัดในด้านของคนหนุ่มต่อต้านสังคม ต่างจากเดอะบีตเทิ่ลส์

ปรับสมาชิกวงตั้งแต่ในห้วงทศวรรษหกสิบและเจ็ดสิบ ไบรอัน โจนส์ โดนไล่จากวงก่อนเสียชีวิต มิก เทย์เลอร์ มาแทน และออกไป ได้ รอนนี่ วู้ด มาแทน

บิล วายแมน เข้ามาเล่นเบส ลาออกในทศวรรษเก้าสิบ ส่วนกลอง คือ ชาร์ลี วัตต์

บุกสหรัฐในทศวรรษหกสิบ ด้วยภาพลักษณ์รุงรังและต่อต้านสังคม

 

ผลงานเดี่ยวของแจ๊กเกอร์ เริ่มต้นจากอัลบั้ม She”s the Boss ในปี 1985 ขายระดับล้านชุดในสหรัฐ

ชุดสอง Primitive Cool ในปี 1987 อันดับในชาร์ตไม่ดีนัก ชุดที่สาม Wandering Spirit เมื่อปี 1993 ยอดขายไปโดดเด่นในอเมริกา

ชุดที่สี่ Goddess in the Doorway ปี 2001

หินกลิ้งโดดเด่นในฐานะวงร็อกหัวแถว แต่แจ๊กเกอร์กับผลงานเดี่ยวออกจะเงียบๆ มีเพลงอันดับ 1 ในอังกฤษ และอันดับ 7 ในอเมริกา ครั้งเดียว คือซิงเกิล Dancing in the Street เมื่อปี 1985 โดยดูเอ็ตกับ เดวิด โบวี่

ผลงานสะท้อนภาพการเมืองรอบนี้ น่าคิดว่าแฟนเพลงจะต้อนรับแค่ไหนอย่างไร