ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 23 - 29 มิถุนายน 2560 |
---|---|
คอลัมน์ | ไทยมองไทย |
ผู้เขียน | สมหมาย ปาริจฉัตต์ |
เผยแพร่ |
เวทีนำเสนอผลงานระดับประเทศประจำปี 2560 เพาะพันธุ์ปัญญา สำหรับเด็กไทย 4.0 สำเร็จลงด้วยความราบรื่น ต่างคนต่างเดินทางกลับไปทำหน้าที่สร้างคน สร้างชาติภายใต้ความรับผิดชอบของตนกันต่อไป
ครูแกนนำ ครูพี่เลี้ยง พากันสะท้อนความคิด หลากหลายลีลาและอรรถรสผ่าน Facebook ทันที
วิสารดา ฉิมน้อย โรงเรียนจักรคำคณาธร ลำพูน บันทึก “สี่ปีที่ทำงานในโครงการเพาะพันธุ์ปัญญาของฉัน” ได้อย่างลึกซึ้ง กินใจ
“แม้ว่าโครงการนี้ตั้งขึ้นเพื่อพัฒนาการศึกษา แก้ปัญหาทางการศึกษาของไทย แต่ด้วยวิธีการที่ได้รับการหล่อหลอมนั้น ส่งผลต่อการคิดและการดำเนินชีวิตส่วนตัวของครูและนักเรียนในโครงการอย่างสูง ผลที่ตามมาคือได้รับการเชื่อถือในวิธีการของการทำงาน องค์กรสามารถพึ่งพาประสิทธิภาพและกระบวนการทำงานของครูและนักเรียนเพื่อนำไปพัฒนาและแก้ปัญหาการเรียนการสอนได้ต่อไป”
ขณะที่ ปิยะฉัตร จิตต์ธรรม ศูนย์พี่เลี้ยงมหาวิทยาลัยมหิดล เธอบันทึกว่า ผ่านมา 5 ปีกับการทำโครงการเพาะพันธุ์ปัญญาที่เหมือนกับการเดินทางหาความหมายของชีวิต การเริ่มต้นที่ไม่รู้ว่าจุดหมายปลายทางเป็นเช่นไร หากแต่ทุกคนที่ร่วมเดินทางบนเส้นทางสายนี้ล้วนมีวิริยะและศรัทธา ที่ทำให้เราได้เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ นั่นคือ การเปลี่ยนแปลงของครูและนักเรียน รวมทั้งตัวเอง
ความฝันที่อยากจะเห็นเด็กไทยเติบโตเป็นบุคคลตามความต้องการในศตวรรษที่ 21 ไม่ใช่ความฝันลมๆ แล้งๆ เพราะทุกคนที่ผ่านหนทางสายนี้ได้ประจักษ์ชัดในผลที่เกิดขึ้นกับนักเรียน จากการเรียนรู้ผ่านการทำโครงงานฐานวิจัย ความสำเร็จนี้เกิดขึ้นจากการเริ่มต้นเปลี่ยนตัวเอง
ไม่น่าเชื่อว่า เพียงแค่ได้เห็นเด็กนำเสนอได้อย่างเป็นเหตุเป็นผล เด็กที่ไม่เคยสนใจเรียนสามารถเล่าโครงงานที่ทำได้เป็นฉากๆ เด็กบอกเล่าการเปลี่ยนแปลงในตนเอง มันกลับทำให้เราสุขใจและอิ่มใจอย่างบอกไม่ถูก เมื่อหันไปมองแววตาของครู เรารู้สึกไม่ต่างกัน และแม้จะเหนื่อย จะยากลำบาก ทุกคนก็พร้อมไปต่อ
ครับ นี่เป็นเพียงบางส่วนของบทสะท้อนคิดจากครูผู้ร่วมทาง ที่แสดงถึงความมั่นใจว่าพวกเขามาถูกทางแล้วและพร้อมไปต่อ
แต่ตรงจะไปต่อนี่แหละ เป็นโจทย์ใหญ่ การบ้านข้อหลักที่ถูกฝากความหวังจากผู้บริหารการศึกษาไทย จะนำกระบวนการเพาะพันธุ์ปัญญาเข้าสู่ระบบการศึกษาไทยอย่างไร
ผมคิดว่าคำตอบอยู่ในบทบันทึกของครูแกนนำหลายท่านในหนังสือรอยจารึกบนเส้นทางครูเพาะพันธุ์ปัญญา นั่นแหละครับ ความสำเร็จเกิดขึ้นจากการเริ่มต้นเปลี่ยนตัวเองก่อน
อย่าง ครูวรวุฒิ ศรีโพธิ์ โรงเรียนสะลมวิทยา จ.ศรีสะเกษ เขียนว่า “สิ่งสำคัญคือพวกครูเราได้ คือความคิดใหม่ในการสอน เราเปลี่ยนวิธีการสอนโดยใช้จิตวิญญาณ ใช้ใจในการสอน ไม่ใช่สอนเพื่อจบๆ ไป”
ครูอรุณวรรณ กลั่นกลึง โรงเรียนท้ายหาด จ.สมุทรสงคราม เธอว่า “การทำ RBL จะมีผลได้ดีควรต้องถูกบรรจุเข้าไปในแผนงานของโรงเรียน จะไปอยู่ในวิชาอะไร หรือจะไปอยู่ในกิจกรรมอะไรก็ว่าไป จะต้องมีความชัดเจนและต้องได้รับการยอมรับจากสมาชิกในโรงเรียน”
โรงเรียนอาจจะยังไม่เข้าใจและเกิดความไม่มั่นใจ เพราะว่าไม่เป็นโครงการที่ถูกสั่งมาจาก สพฐ. โดยตรง และครูส่วนใหญ่ก็มีภาระหน้าที่มากมาย เขาก็ไม่อยากจะหางานเพิ่มหรือโครงการอาจจะไม่ตรงกับความต้องการของครูบางคน
โรงเรียนไม่ได้ห้าม แต่ก็ไม่ได้สนับสนุน ไม่สานต่อ กระนั้นก็ตามครูยังยืนหยัด คิดว่าเป้าหมายเราชัดเจนคือตัวนักเรียน เลยทำด้วยตัวเองและแก้ปัญหาด้วยตัวเองไปตามสภาพ ฟาดฟันกับตัวเอง
เรายังมีเด็กอีกมากที่โรงเรียนไม่สนใจช่วยเขาเพราะโรงเรียนรู้วิธีเดียวเอามาใช้กันหมด เด็กต้องเชื่อฟัง การเรียนต้องอยู่ใต้อำนาจครู อย่างนี้เขาก็ต่อต้านสิ
คำพูดของครูอรุณวรรรณเป็นสิ่งยืนยันเงื่อนไขหลักของความสำเร็จอยู่ที่ความเข้าใจ ความอดทน มุ่งมั่น ความเสียสละเพื่อนักเรียนของคนเป็นครู สำคัญยิ่งกว่าแรงสนับสนุนจากส่วนบน เพราะหากครูถอดใจก็ไปไม่รอด
บทบันทึกของครูแต่ละคน ล้วนเป็นคำตอบต่อวิธีการนำกระบวนการเพาะพันธุ์ปัญญาเข้าสู่ระบบการศึกษา
พัฒนาการล่าสุดเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาคือการลงนามความตกลงระหว่างสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) กับองค์การบริหารส่วนจังหวัดศรีสะเกษ นำแนวทางพัฒนาการศึกษา พัฒนาครูแบบเพาะพันธุ์ปัญญา ทำกับทุกโรงเรียนมัธยมในสังกัด อบจ.
เป็นผลพวงของความสำเร็จที่พัฒนามาตามลำดับ จากโครงการยุววิจัยของโรงเรียนขุนหาญวิทยาสรรค์ และโรงเรียนอื่นๆ ภายใต้การสนับสนุนของศูนย์พี่เลี้ยงมหาวิทยาลัยศรีสะเกษ
ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน ทั้งทักษะชีวิต ทักษะวิชาการ ทั้งนักเรียนและครู มั่นใจว่าการจัดการเรียนรู้แบบโครงงานฐานวิจัย (Research Based Learning – RBL) ซึ่งประกอบด้วย 3 วิชาหลักคือ วิชาจิตตปัญญาศึกษา วิชากระบวนการคิด และวิชาวิจัย เป็นคำตอบหรือทางออกของระบบการศึกษา สามารถพัฒนานักเรียน ครู ผู้บริหาร ผู้ปกครอง
เพื่อนำไปสู่ความเป็นไทยแลนด์ 4.0 ได้ในที่สุด
แนวทางเดินหน้าโครงการยังสะท้อนจากบทบันทึกของครูใหญ่ รศ.สุธีระ ภายหลังเวทีนำเสนอผลงานระดับประเทศประจำปี 2560 เสร็จสิ้นลง
“ตั้งเป้าว่าอีก 2 ปีที่เหลือใน phase 2 จะสร้างโรงเรียนที่เป็นต้นแบบ 16 โรง ไม่ได้คาดหวังว่าจะทำทั้งโรงเรียนเพราะไม่มีทางทำได้ในบริบทที่เป็นอยู่ การที่ ผอ. เอาด้วยก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำได้ทั้งโรงเรียน บางแห่งครูข้างในรวมตัวกันค้าน ผอ. อยากทำก็ทำไม่ได้”
กลุ่ม 16 โรงเรียนเป้าหมาย สร้างให้อยู่ที่โรงเรียน สนับสนุนเขาให้ขยายผลในโรงเรียนได้เต็มที่ ซึ่งต้องอาศัยการสนับสนุนจาก สพฐ. อย่างมาก จากนั้นใช้โรงเรียนเหล่านี้ขยายผล เราจะมี 4 โรงเรียนในแต่ละภูมิภาค
ที่ สกว. คิดว่าจะทำคือขยายไปเป็นภารกิจของอุดมศึกษา ซึ่งไม่พ้นทำเรื่องเก่าๆ ไม่มีใครเข้าใจ RBL แบบเพาะพันธุ์ปัญญา หาก 2 แท่งการศึกษาเข้าใจตรงกันจะง่ายขึ้นอีกมาก มีงบฯ มากมาย ไม่ใช่เรื่องขาดแคลนแต่อย่างใด ทำได้แต่ต้องมาเรียนรู้จริงๆ ก่อน
วิธีที่ดีที่สุดคือลองมาทำเองกับทีมพี่เลี้ยงที่มีอยู่ เอามหาวิทยาลัยพี่เลี้ยง 2 แห่งในแต่ละภาคมาเป็นต้นแบบให้มหาวิทยาลัยอื่นเรียนรู้จากการปฏิบัติเพิ่มอีก 10 แห่ง ไม่เกิน 2 ปี การใช้งบประมาณะพัฒนาการศึกษาก็จะมีประสิทธิผลมากขึ้น
ผมคิดว่า สกว. อ.ไพโรจน์ และผม ยินดีคุยกับคนที่เกี่ยวข้องจริงๆ ของ สพฐ. เรื่องนี้ แต่ต้องเป็น workshop ของเพาะพันธุ์ปัญญา ลองปฏิบัติเอง ขอ 3-4 วันเต็มๆ บวกกับดูงานจริงที่โรงเรียน คุยกับครู นักเรียน และผู้ปกครอง
ครับ แนวทางข้อเสนอ ตรงไปตรงมา ไม่อ้อมค้อม แถมยังสะท้อนถึงคณะครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ และโครงการคูปองครูอย่างน่าคิด ใครสนใจฟังเรื่องนี้ ติดตามถามไถ่ครูเองนะครับ
ประเด็นอยู่ที่ว่า ใคร หน่วยไหน จะให้คำตอบกับข้อแนะนำนี้จนเกิดผลในทางปฏิบัติจริง
มองเห็นประกายเพชรเจิดจรัสที่มีอยู่ในมือแค่ไหน