เปิดเบื้องลึก ‘สส.พปชร.’ โนโหวตภูมิใจไทย-โยงผลประโยชน์รถไฟฟ้า

เกิดเป็นพายุที่ถาโถมใส่ “พรรคพลังประชารัฐ” ต่อเนื่อง ที่แม้จะผ่านศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจมาได้

แต่ก็ทิ้งรอยร้าวเอาไว้ในพรรค เมื่อพบว่ามีกลุ่มส.ส.พลังประชารัฐ หรือ พปชร.กลุ่มหนึ่ง นำโดยสุภาพสตรี หักมติพรรค ไม่โหวตไว้วางใจให้นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม

ที่น่าสนใจและคงมองข้ามไปไม่ได้ คือการแสดงออกของส.ส.พปชร.กลุ่มนี้ ที่มีต่อนายศักดิ์สยาม โดยไม่เกี่ยวข้องกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ซึ่งก็ถูกซักฟอกในคราวเดียวกัน ถามว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น !??

เมื่อมาดูเนื้อหาที่นายศักดิ์สยามถูกอภิปรายก็ถึงบางอ้อ เพราะว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับการประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้ม และที่ดินของตระกูล ชิดชอบ ซึ่งใน 2 เรื่องนี้มันร้อนถึงขั้นสส.พปชร. กลุ่มนี้ ต้องงดออกเสียงเชียวหรือ หรือจริงๆ แล้วอาจมีอะไรในกอไผ่มากกว่าที่เห็นกันแน่ ?

ช่วงที่ผ่านมา มีข่าวทำนองว่า มีการแก้ “ทีโออาร์” รถไฟฟ้าสายสีส้มเพราะแบ่งผลประโยชน์ไม่ลงตัว “ทุนเอกชน” กลุ่มหนึ่งเลยฟ้อง “รฟม.” กับ กรรมการคัดเลือก ทำให้กระทรวงคมนาคมเอาคืนโดยติดเบรกการขยายสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว แต่ที่จริงแล้ว เรื่องกลับตาลปัตร

ต้นตอเกิดจากปมขยายสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว ตามคำสั่ง ม.44 ซึ่งกลุ่มฝ่ายค้านก็ได้อภิปรายฯ ว่ามีความไม่ชอบมาพากลเยอะ ทั้งเรื่องเก่าสมัยผู้ว่าฯ สุขุมพันธ์ที่ไปจ้าง “บริษัทเอกชนเจ้าหนึ่ง” ดำเนินการโดยไม่ทำตามพรบ.ร่วมลงทุน และเรื่องใหม่ที่จะขยายสัมปทานให้บริษัทนี้แลกกับการแบกหนี้แทนกทม. กระทั่งโดนสังคมจับตาว่าเอาประชาชนเป็นตัวประกัน

ด้านมูลนิธิคุ้มครองผู้บริโภค และ “โจ้-ยุทธพงศ์” สส.พรรคเพื่อไทย ก็ออกมาค้านเต็มแรงเป็นประเด็นอภิปรายซักฟอก รมว.มหาดไทย อย่างดุเดือดในสภาฯ ด้วย

ตามข่าวระบุว่า “คมนาคม” ไม่เห็นด้วยกับเรื่องสายสีเขียวมานานแล้วตั้งแต่สมัย “รมว.อาคม เติมพิทยาไพสิฐ” ที่เห็นว่าควรไปทำตามพรบ.ร่วมทุน ตามที่สภาพัฒน์มีความเห็นไว้ และสมัยมีรัฐบาลใหม่ๆ สภาผู้แทนฯ ก็มีมติไม่เห็นชอบให้ขยายสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว ตามผลการศึกษาของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ

นายศักดิ์สยามรู้ดีว่า คมนาคมในฐานะผู้รับผิดชอบระบบขนส่งทางราง ถ้าเห็นชอบไป ก็จะเดือดร้อนพาตัวเองและรมต.ของภูมิใจไทยจะติดร่างแหไปหมด ยิ่งถ้ามีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในอนาคตอันใกล้ก็จะเดือดร้อนหนักไปด้วย อาจถึงขั้นติดคุกติดตะราง

ก.คมนาคมจึงทักท้วงว่าเรื่องนี้มีประเด็นต้องทบทวนให้รอบคอบก่อน ทั้งเรื่องพรบ.ร่วมทุน และเรื่องค่าโดยสารที่แพงไป ซึ่งการทักท้วงนี้ตรงใจรมต.หลายคนในครม.ที่ไม่อยากเป็น “ตรายาง” รับผิดชอบเรื่องนี้ แต่ก็เกรงใจมหาดไทยเจ้าของเรื่อง

ประเด็นมันเลยร้อนหนัก ทำให้ความสัมพันธ์ของ “กลุ่มทุนขาใหญ่” ซึ่งแนบแน่นกับหัวหน้าพรรคภูมิใจไทยเกิดรอยร้าวลึกขึ้น !

ขณะเดียวกัน เมื่อโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มออกประมูล ก.คมนาคมรู้ดีว่ารถไฟสายนี้ร้อนมาก แข่งขันหนัก แต่ที่หนักใจคือ “การก่อสร้างอุโมงค์สถานีใต้ดิน” ยากมาก ผ่านพื้นที่อ่อนไหวโดยเฉพาะเขตพระราชฐาน เกาะรัตนโดสินทร์ และราชดำเนิน ถ้าปล่อยเอกชน “ฟันราคา” กันโดยไม่คำนึงถึงคุณภาพงาน สุดท้ายถ้าเกิดอันตรายและความเสียหายกับประชาชนและทรัพย์สินของชาติ คงรับผิดชอบไม่ไหว

ด้วยเหตุดังกล่าว รฟม.และกรรมการคัดเลือก จึงปรับทีโออาร์ให้มีความเป็นสากล โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นต่อส่วนรวมในทุกด้าน จากเดิมตัดสินที่ “ผลตอบแทนการเงิน” ที่เอกชนจะแบ่งให้รัฐ เป็นตัดสินด้วย “คะแนนรวมด้านเทคนิคคุณภาพงาน+ผลตอบแทนการเงิน” ในสัดส่วน 30 : 70 คะแนน รวม 100 คะแนน

ที่ดูแปลกๆ คือข่าวที่ออกไป โดยมี “สื่อกลุ่มหนึ่ง” ซึ่งใกล้ชิดแกนนำสส.พปชร. กลุ่มโนโหวตนายศักดิ์สยามเป็นหัวหอก นำเสนอข่าวสารเหมือนว่าไปแก้ทีโออาร์หลังยื่นซองไปแล้ว ทำให้เอกชนที่ไม่มีประสบการณ์ขุดอุโมงค์ใต้ดินเสียเปรียบ

แต่ที่จริงแล้ว การแก้ทีโออาร์เกิดก่อนการยื่นซอง และยังมีการขยายเวลายื่นไปอีก 45 วันเพื่อให้เอกชนทุกรายไปเตรียมข้อเสนอที่ดีที่สุดมาแข่งกัน !!

พูดง่ายๆ งานนี้เค้าแข่งกันที่ “เทคนิควิธีทำงานกับผลตอบแทน” ไม่ได้สนใจว่าเคยทำหรือไม่ ถ้าไม่เคยก็ไปหาพาร์ทเนอร์ หรือผู้รับเหมาช่วงมาเสริมได้

วิธีประมูล “เทคนิคและราคา” เช่นนี้ก็ทำกันมามากมายในโครงการขนาดใหญ่และมีความซับซ้อน ทั้งของรัฐและเอกชน ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อให้มั่นใจว่าได้งานที่ดีมีคุณภาพ ราคาเหมาะสม ไม่ใช่เน้นแค่รัฐต้องได้ราคาสูงๆ แต่คุณภาพงานออกมาตำ่ เพราะผู้ชนะสัมปทานก็ย่อมต้องลดต้นทุนงบดำเนินการอยู่แล้ว เพราะจ่ายไปเยอะ

แน่นอนว่า รฟม.อาจถูกตั้งคำถามถึงความเหมาะสมทำไมมาแก้ทีโออาร์ แต่ถ้าดูกันจริงๆ ก็ยังห่างไกลเรื่องทุจริต เพราะการเปลี่ยนกติกาเกิดก่อนลงสนามแข่ง และให้เวลาทุกรายไปเตรียมตัวให้ดีก่อนลงแข่งใหม่

ที่น่าสงสัยมากกว่าคือทำไม “ทุนเอกสารเจ้าใหญ่” ดังกล่าวต้องฟ้องร้องจนเป็นคดีใหญ่โต เหมือนกับว่าได้งานสายสีส้มแล้วแต่กำลังจะโดนแย่งไป ทั้งที่จริงยังไม่ได้ลงแข่งกันเลย ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าจ้องจะฟันราคาจริงๆ โดยไม่สนคุณภาพ เหมือนที่รัฐเจอปัญหาในโครงการพัฒนาระบบคมนาคมทางรางและทางอากาศขนาดใหญ่ในระยะหลังที่เน้นตัดสินด้วยผลตอบแทนการเงิน ซึ่งล้วนล่าช้าและมีปัญหาหมด

และแล้วเพื่อให้รถไฟฟ้าสายสีส้มเดินต่อได้ ไม่ต้องมีคดีฟ้องร้อง และขจัดปัญหาร้องเรียนเรื่องการแก้ทีโออาร์ รฟม.เลยล้มประมูลและเปิดประมูลใหม่

จุดพลิกผันในรถไฟฟ้าสีเขียว กับ สีส้มนี้ทำให้ “ขาใหญ่” หงุดหงิดมาก ถึงกับระดมสื่อในสังกัดออกตัวแรงเปิดศึกกับ ภูมิใจไทยเต็มที่ “เชียร์สีเขียว-อัดสีส้ม” คือแนวทาง แต่เมื่อผลลัพธ์ออกมาแบบนี้ถึงกับกระอักเลือด เพราะสีเขียวก็ไม่จบ มีแนวร่วมคัดค้านมากขึ้นเนื่องเพราะราคาค่าโดยสารแพงเกินไป ส่วนสีส้มก็หลุดมือไปเริ่มใหม่..

จนท้ายที่สุด นำมาสู่เหตุการณ์ลงมติ “โนโหวต” นายศักดิ์สยาม ในฐานะรมว.คมนาคม โดยสส.พปชร ดังกล่าวซึ่งผูกพันกับสื่อกลุ่มนี้อย่างที่รู้กัน งานนี้ “ขาใหญ่” จงใจแสดงพลังให้เห็นว่าไม่พอใจภูมิใจไทยอย่างแรง

แต่เหนือฟ้ายังมีฟ้า ทางการเมืองถือเป็นการหักหน้าหัวหน้าพรรคพปชร. “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” ทำให้พรรคร่วมรัฐบาลผิดใจกันโดยใช่เหตุ ล่าสุด พล.อ.ประวิตรจึงออกมาตำหนิกสส.กลุ่มนี้อย่างแรงและให้จัดการลงโทษด้วยที่ฝ่าฝืนมติพรรค

ต้องจับตาดูกันต่อไปว่า การที่กลุ่มทุนขาใหญ่มาพัวพันการเมืองแบบนี้ จะทำให้รัฐบาลเกิดรอยร้าวลึกแค่ไหน หาก พล.อ.ประวิตร และนายกรัฐมนตรีไม่ลงมาบริหารจัดการ ต่อไปรัฐบาลจะอยู่ยากขึ้นเรื่อย เพราะเกมๆ นี้มีผลประโยชน์ประเทศชาติ และชีวิตของรัฐบาลมาเดิมพัน !