รายงานพิเศษ | ยื้ออำนาจ ‘บิ๊กตู่’ ยืด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน สยบการเมือง น้องยึดทำเนียบ-พี่ยึดพรรค-พี่รองคุมท้องถิ่น เกมพลังประชารัฐ ‘บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม’ มีอะไรในกอไผ่?

รายงานพิเศษ

ยื้ออำนาจ ‘บิ๊กตู่’ ยืด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน สยบการเมือง

น้องยึดทำเนียบ-พี่ยึดพรรค-พี่รองคุมท้องถิ่น

เกมพลังประชารัฐ ‘บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม’ มีอะไรในกอไผ่?

ฉลุย ต่ออายุพระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ต่อไปอีก 1 เดือน ยัน 31 พฤษภาคม 2563 แถมคงมาตรการเคอร์ฟิว งดการชุมนุม รวมตัวกันต่อไปอีก

ตามข้อเสนอของฝ่ายความมั่นคงที่อ้างว่า ได้ทำโพลสำรวจความคิดเห็นประชาชนแล้ว พบ 70% หนุน

และสถานการณ์ของโควิด-19 ยังไม่แน่นอน แม้ตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่รายวันจะลดลงๆ ก็ตาม

งานนี้ บิ๊กอั๋น พล.อ. สมศักดิ์ รุ่งสิตา เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) รับหน้าเสื่อฝ่ายความมั่นคง นำเสนอต่อที่ประชุม ศบค.

ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันข้อครหาที่ว่า บิ๊กตู่ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะต่ออำนาจให้ตนเอง เพราะเป็น ผอ.ศบค.

ฝ่ายความมั่นคงที่มีบิ๊กกบ พล.อ.พรพิพัฒน์ เบญญศรี ผบ.ทหารสูงสุด และหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง (ศปม.) และบิ๊กเล็ก พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รอง ผบ.ทบ. น้องรักสายบุ๋นของนายกฯ ที่มาช่วยงาน ศบค. และ พล.อ.สมศักดิ์เป็นหัวหอกสำคัญ

แต่แน่นอนว่า ย่อมทำให้เกิดความเคลื่อนไหวทางการเมือง ที่เริ่มมีการปลุกกระแสเรียกร้องเสรีภาพมากกว่าสุขภาพ สวนทางกับที่ พล.อ.ประยุทธ์ประกาศไว้มาก่อนหน้านี้

ตามมาด้วยการปลุกกระแสต้านการต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ที่จะเป็นการให้อำนาจ พล.อ.ประยุทธ์แบบเบ็ดเสร็จต่อไปอีก

โดยมองว่า พล.อ.ประยุทธ์อ้างโควิดมาลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชน หาใช่กลัวเชื้อโรคไม่ แต่ทว่ากลัวม็อบ กลัวความเคลื่อนไหวทางการเมือง

หลังจากเริ่มมีการปลุกกระแส Mob from Home ในลักษณะ Mob online ที่มีการใช้โซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะทวิตเตอร์ในการปลุกปั่นกระแส

เพราะฝ่ายต่อต้านรัฐบาล มีกองทัพนักรบไซเบอร์ ที่ทำงานกันเป็นระบบ และแข็งแกร่งอยู่แล้ว

ไม่แค่นั้น ฝ่ายความมั่นคงจะมีรายงาน “ว.5” ถึงความเคลื่อนไหวทางการเมืองของบางคณะ บางพรรค บางกลุ่ม ที่มีการวางแผนปฏิบัติการต่อจากนี้ แบบที่ฝ่ายความมั่นคงให้น้ำหนักไม่น้อย

เพื่อเป็นการตัดปัญหาในการแก้ไขสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 อีกทั้งประชาชนส่วนใหญ่ยังพร้อมให้ความร่วมมือ ยังไม่มีการต่อต้าน จึงเสนอให้ต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน

สถานการณ์เป็นใจให้ต้องใช้กฎหมายพิเศษต่อไป ก็ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์บริหารประเทศง่ายขึ้น มุ่งแต่เรื่องโควิด ไม่ต้องห่วงพะวงเรื่องการเมืองของฝ่ายค้านและฝ่ายตรงข้ามมากนัก

แต่ในขณะเดียวกัน ปัญหาภายในพรรคร่วมรัฐบาลก็เริ่มมีมากขึ้น แต่ทว่าถูกกดทับไว้ ยังไม่กล้าแสดงออกมาให้ชัดเจน แต่ปรากฏในรูปของกระแสข่าว คำพูด คำบอกเล่าต่างๆ

หรือแม้แต่กระแสข่าวที่ พล.อ.ประยุทธ์ไม่แฮปปี้ในเรื่องนั้นเรื่องนี้ ที่เป็นความรับผิดชอบของรองนายกฯ ที่เป็นหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาล

จนเป็นเหตุให้ พล.อ.ประยุทธ์ตอกย้ำอีกครั้ง ไม่ให้ทำงานแบบหวังผลทางการเมือง การหาเสียงต่างๆ ทั้งด้วยการย้ำในที่ประชุม และในการพูดออกสื่อ

ไม่แค่นั้น ความเคลื่อนไหวในพรรคพลังประชารัฐก็กำลังเป็นปัญหา

เพราะแผนการยึดพรรคพลังประชารัฐกำลังมีปัญหา

จากที่ พล.อ.ประยุทธ์ส่งพี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์ บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ มาเป็นประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ

ก็ใกล้ถึงเวลาที่ พล.อ.ประวิตรจะขยับขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคเต็มตัวเสียที เพื่อคุมอำนาจให้เบ็ดเสร็จ และแก้ปัญหาความขัดแย้ง แตกเป็นกลุ่ม ก๊วน มุ้ง ที่มาจากหลายพรรคการเมือง แต่ถูกพลังดูดมาอยู่ร่วมกัน

แต่ดูเหมือนนายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรค และนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรค ทีมของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ ไม่ยอมง่ายๆ

อาจเป็นเพราะหวั่นว่าอาจถูกปรับออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี ทั้ง รมว.คลัง และ รมว.พลังงาน ในท้ายที่สุด ที่จะมีการปรับคณะรัฐมนตรี ที่มีการปล่อยโผ ครม.ออกมาแล้ว และย่อมส่งผลต่อเพาเวอร์ของนายสมคิดในรัฐบาล

เพราะต้องไม่ลืมว่า ตอนตั้งพรรคพลังประชารัฐ แรกๆ ฝ่ายทหาร ฝ่าย คสช. ยังเหนียมที่จะเปิดหน้า จึงให้นายอุตตมและนายสนธิรัตน์ออกหน้าไปก่อน โดยมีนายสมคิดเป็นผู้สนับสนุน

ทั้งๆ ที่รู้กันดีว่า เป็นพรรค คสช.ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อรองรับ พล.อ.ประยุทธ์ โดยมีบรรดาผองเพื่อน ตท.12 ของ พล.อ.ประยุทธ์ก่อตั้ง และมีนายทหารที่เป็นน้องรักสายตรงของทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร ช่วยกันอยู่เบื้องหลัง

ในเวลานั้น พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร ยังเปิดหน้าเปิดตัวไม่ได้ เพราะจะถูกมองว่าตั้งพรรคมาเพื่อสืบทอดอำนาจ คสช. จึงขอให้นายสมคิดเป็นหัวหน้าพรรค แต่นายสมคิดไม่อยากออกหน้าเช่นกัน

จึงกลายเป็นนายอุตตมเป็นหัวหน้าพรรค และนายสนธิรัตน์เป็นเลขาฯ พรรค แบบที่ต้องเรียกว่า แค่หุ่นเชิดเท่านั้น

เมื่อได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ก็ส่ง พล.อ.ประวิตร เปิดตัวเปิดหน้ามาคุมพรรค มาเป็นประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรค

ท่ามกลางการถูกจับตามองว่า ในที่สุด พล.อ.ประยุทธ์จะเป็นหัวหน้าพรรคเอง หรือจะให้ พล.อ.ประวิตรเป็นหัวหน้าพรรค

แต่การที่ พล.อ.ประยุทธ์ให้ พล.อ.ประวิตรเป็นรองนายกฯ ตำแหน่งเดียว แล้วนั่งควบ รมว.กลาโหมแทน คุมทั้งกองทัพและตำรวจด้วยตนเองนั้น ก็เป็นการสะท้อนว่า ต้องการให้ พล.อ.ประวิตรมาทำงานการเมือง มาคุมพรรคพลังประชารัฐนั่นเอง

จึงไม่แปลกเมื่อมีความเคลื่อนไหวที่จะให้ พล.อ.ประวิตรนั่งเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐให้เรียบร้อยก่อนที่จะเปิดสภา จึงถูกมองว่า พล.อ.ประยุทธ์ไฟเขียวให้พี่ใหญ่ยึดพรรค

แต่กลับเจอกระแสต้าน… ด้วยการปล่อยกระแสข่าว โดยอาศัยสถานการณ์โควิด จนทำให้ พล.อ.ประวิตรต้องค่อยๆ เดินเกมใหม่

เพราะนายอุตตมก็ออกมายอมรับว่าถูกกดดันให้ลาออก ส่วนนายสมคิดก็ออกมาสะกิดว่า ช่วงนี้เป็นเวลาแก้ปัญหาโควิด ไม่ใช่เวลาที่จะมาต่อรองอำนาจ

“ไม่ใช่เวลามาพูดถึงอำนาจ จะเอาอำนาจไปทำอะไร ไม่เข้าใจ” นายสมคิดระบุ

หลังสิ้นเสียงนายสมคิด วันรุ่งขึ้น ผู้กองธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรฯ มือขวาของ พล.อ.ประวิตร ก็มาพบนายสมคิดที่ห้องทำงาน ชั้นล่างตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาลทันที

ก่อนที่จะมีข่าวออกมาว่า พล.อ.ประวิตรสั่งยุติความเคลื่อนไหวในการเปลี่ยนหัวหน้าพรรคไว้ก่อน

ไม่ใช่แค่เพราะกลุ่มนายสมคิดต่อต้านเท่านั้น แต่ยังเป็นสถานการณ์โควิด ทำให้กระแสสังคมโจมตี เพราะ พล.อ.ประวิตรเป็นเป้าทางการเมืองอยู่แล้วด้วย

ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ก็อิงกระแส ด้วยการพูดปรามในที่ประชุมว่า

“การปรับ ครม.ไม่ต้องต่อรอง ไม่ต้องเจรจา ผมเป็นนายกฯ ผมทำคนเดียว” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

ทั้งนี้ เพื่อสยบความขัดแย้งภายในพรรคก่อน

ด้วยเพราะการทำพรรคการเมืองต้องใช้ทุน พล.อ.ประวิตรที่สปอนเซอร์ส่วนตัวล้มหายตายจากไปหลายคน ก็ต้องมองอนาคต

จึงทำให้มีชื่อของนายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง ในโผปรับ ครม.ของบิ๊กป้อม มาเป็น รมว.คลัง และนั่งเลขาธิการพรรค หลังจากที่ย้ายที่ทำการพรรคใหม่มาที่ตึกของนายสันติย่านรัชดาฯ

รวมทั้ง ส.ส.และแกนนำพรรค ที่ต้องการให้ พล.อ.ประวิตรเป็นหัวหน้าพรรคเอง เพื่อยึดพรรคเบ็ดเสร็จ หรือเรียกได้ว่าทวงพรรคคืนจากบรรดาหุ่นเชิด

โดยให้เหตุผลว่า เพื่อความเป็นเอกภาพในพรรค หลอมรวมทุกกลุ่มก๊วนในพรรคให้เป็นหนึ่งเดียว ด้วยบารมีของ พล.อ.ประวิตร

แต่ฝ่ายต่อต้านอำนาจ พล.อ.ประวิตร พยายามที่จะตอกลิ่มให้เกิดความขัดแย้งระหว่าง พล.อ.ประวิตร กับ พล.อ.ประยุทธ์ ด้วยการไปชูธงว่า พล.อ.ประยุทธ์ควรจะเป็นหัวหน้าพรรคเองในอนาคต

พร้อมปลุกปล่อยกระแสความขัดแย้งระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร

ให้เหมือนราวกับว่า พล.อ.ประวิตรจะยึดพรรคพลังประชารัฐ โดยที่ พล.อ.ประยุทธ์ไม่เห็นด้วย

ทั้งๆ ที่ พล.อ.ประยุทธ์เป็นคนร่วมตัดสินใจส่ง พล.อ.ประวิตรมาคุมพรรคด้วยการให้เป็นประธานกรรมการยุทธศาสตร์พรรคไปก่อนนั่นเอง

ในเบื้องแรก พล.อ.ประยุทธ์เคยให้สัมภาษณ์ว่า ตนเองยังไม่ตัดสินใจเรื่องการจะมาเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐเองหรือไม่ รอดูความจำเป็นก่อน

แต่ต่อมาก็เริ่มมีความชัดเจนว่า พล.อ.ประยุทธ์จะให้ พล.อ.ประวิตรคุมการเมืองเองทั้งหมด ด้วยการเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ

แต่ทว่าก็มีการปลุกกระแสเสี้ยมเพื่อให้เกิดความขัดแย้งในหมู่พี่น้อง 3 ป.บูรพาพยัคฆ์

ทั้งการปล่อยโผ ครม. ที่ พล.อ.ประวิตรจะมาควบ รมว.มหาดไทยแทนบิ๊กป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา น้องรองแห่งบูรพาพยัคฆ์

หรือแม้แต่ปล่อยกระแสว่า พล.อ.ประวิตรคิดที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีแทน พล.อ.ประยุทธ์ในอนาคตด้วยเลยทีเดียว เพื่อหวังให้หวาดระแวงกันเอง

จริงอยู่ว่าเมื่อก่อน พล.อ.ประวิตรเคยฝันที่จะเป็นนายกฯ จนถึงขั้นที่โหรวารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ โหร คมช. เคยทำนายฟันธง “ป.ประวิตร” มาแล้ว ก่อนที่ต่อมาจะเปลี่ยนเป็น “ป.ประยุทธ์”

แต่ด้วยสุขภาพและอายุ 75 แล้ว พล.อ.ประวิตรจึงเลิกคิดจะเป็นนายกฯ ไปนานแล้ว แต่หันมาปั้นน้องเล็ก คือ พล.อ.ประยุทธ์ ตั้งแต่รัฐประหาร 2557 นั่นแล้ว

เพราะ พล.อ.ประวิตรก็ถูกมองว่าเป็นนายกฯ เงามาตลอด เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ให้เกียรติ ให้ความเคารพ และฟังพี่ป้อมมาตลอด

ฝ่าย พล.อ.ประวิตรเองก็ระมัดระวัง ไม่อยากให้ พล.อ.ประยุทธ์หวาดระแวง ด้วยการให้สัมภาษณ์เสมอว่า ไม่เคยคิดจะเป็นนายกฯ และตำหนินักข่าวทุกครั้งที่หยอกเรียกบิ๊กป้อมว่านายกฯ หรือแม้แต่ตอนเป็นนายกฯ รักษาการ ตอน พล.อ.ประยุทธ์ไปต่างประเทศก็ตาม

แม้แต่ พล.อ.อนุพงษ์เช่นกัน เคยบอกนักข่าวว่า ไม่เคยคิดจะเป็นนายกฯ แต่ชื่นชม พล.อ.ประยุทธ์ว่าเหมาะสมที่สุดแล้ว

แม้ว่าในช่วงนี้จะเริ่มมีชื่อ พล.อ.อนุพงษ์เป็นนายกฯ สำรอง หาก พล.อ.ประยุทธ์วางมือ หรือเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองก็ตาม

แต่ พล.อ.อนุพงษ์ทำหน้าที่คุมมหาดไทย คุมผู้ว่าฯ มายาวนานกว่า 5 ปีจนทำให้แทรกซึมได้ในระดับท้องถิ่น

เพราะต้องไม่ลืมว่าพี่น้อง 3 บูรพาพยัคฆ์ เป็นหนึ่งเดียวไม่มีใครมาตอกลิ่มเสี้ยมให้แตกแยกกันได้ เพราะเมื่อมีปัญหาจะคุยเคลียร์กันทันที

แม้ว่าในความเป็นจริง อาจจะมีความรู้สึกในใจลึกๆ ที่ระหองระแหงไม่พอใจกันบ้างในบางเรื่อง แต่ก็ไม่ได้ลุกลามบานปลายเป็นความขัดแย้งใหญ่โต

แต่ที่ทำให้เริ่มมีการมองว่า 3 พี่น้องเริ่มแตกคอกันหรือไม่ โดยเฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร ก็มาในระยะหลัง เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ ในรัฐบาลเลือกตั้งนี่เอง

เพราะหลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์มีอำนาจแบบล้นฟ้ามาตั้งแต่เป็นนายกฯ ในยุค คสช. 5 ปี จนมาตอนนี้บารมีเฟื่องฟูแบบไม่ต้องง้อพี่ใหญ่

พล.อ.ประยุทธ์ต้องเติบโตมาใต้ปีกใต้ร่มเงาของพี่ใหญ่คนนี้มาตลอดกว่า 40 ปีที่รับราชการทหาร

จากที่มีขั้วทำเนียบขาว บ้านป่ารอยต่อฯ ที่หมายถึง บ้านที่ใช้เป็นมูลนิธิป่ารอยต่อ 5 จังหวัดของ พล.อ.ประวิตร ที่เฟื่องฟูสุดขีดในยุค คสช.

มาตอนนี้ มีขั้วอำนาจใหม่ของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่เรียกกันว่าทีมตึกไทยคู่ฟ้า ที่แยกออกมาจากใต้ร่มของ พล.อ.ประวิตร ด้วยเพราะ พล.อ.ประยุทธ์ยังคงมีคะแนนนิยมดี สุขภาพแข็งแรงดี

และคาดว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรีไปได้อีก 2 สมัย จึงยิ่งทำให้อำนาจแข็งแกร่ง

ในระหว่างทางที่ผ่านมาก็อาจมีเรื่องคาใจระหว่าง พล.อ.ประวิตร และ พล.อ.ประยุทธ์อยู่บ้าง

โดยเฉพาะกรณีของบิ๊กโจ๊ก พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ลูกรักของ พล.อ.ประวิตร เมื่อครั้งที่เกิดความขัดแย้งกับบิ๊กแป๊ะ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. แบบที่เรียกว่าเปิดหน้าสู้กัน

ส่งผลให้ พล.อ.ประวิตร และ พล.อ.ประยุทธ์ มีความเห็นไม่ตรงกัน และแบ่งข้างกัน

พล.อ.ประยุทธ์ดูค่อนข้างจะเห็นใจและฟัง พล.ต.อ.จักรทิพย์มากกว่า

ขณะที่ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ยังคงเป็นลูกรักของ พล.อ.ประวิตรเช่นเดิม เพียงแต่กระซิบให้ถอยตัวออกห่าง พล.อ.ประวิตรให้มากขึ้น เพื่อไม่ให้เป็นเป้าสายตา แต่ยังมีการพบปะพูดคุยกันอยู่เสมอ

เพราะต้องไม่ลืมว่า พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ก็คือมือไม้ที่สำคัญของ พล.อ.ประวิตร และเป็นกำลังหลักให้ คสช.มาตลอด ตั้งแต่การตั้งพรรคพลังประชารัฐและการช่วยเรื่องทุน จนถึงการเลือกตั้งที่ผ่านมา

ไม่แค่นั้น ในใจลึกๆ ของ พล.อ.ประวิตรก็ยังกังขาต่อการที่ พล.อ.ประยุทธ์ให้ตนเองเป็นรองนายกฯ อย่างเดียวแล้ว พล.อ.ประยุทธ์เองเป็น รมว.กลาโหมคุมทั้งทหารและกรมตำรวจเองทั้งหมด

ทั้งๆ ที่ พล.อ.ประวิตรเองยังไหว แม้จะไปคุมพรรคพลังประชารัฐก็ตาม แต่ พล.อ.ประยุทธ์ต้องการให้พี่ใหญ่ลดงาน ลดความรับผิดชอบลง จะได้ทำงานการเมืองเต็มที่

ที่สำคัญเพื่อป้องกันข้อครหาที่เคยมีในอดีต ที่พาดพิง พล.อ.ประวิตรหรือคนใกล้ชิด ที่จะเกี่ยวข้องกับเรื่องกองทัพและตำรวจ หาก พล.อ.ประวิตรจะไปคุมการเมืองเต็มตัว

 

แต่ก็ต้องยอมรับว่า ในมุมหนึ่งก็ถูกมองว่าเป็นการลดอำนาจพี่ใหญ่ และดึงอำนาจมาไว้ในมือตัว พล.อ.ประยุทธ์เองทั้งหมด

แม้ว่าความตั้งใจของ พล.อ.ประยุทธ์ คือต้องการตัดไฟแต่ต้นลม เรื่องปัญหาตำรวจและทหารที่เคยเกิดกับ พล.อ.ประวิตรและคนใกล้ชิดที่มักอ้างชื่อจนทำให้เกิดเรื่องเสียหายก็ตาม

ทั้งการที่ พล.อ.ประยุทธ์คุมตำรวจ เป็นประธาน ก.ตร. และ กตช.เอง และตั้งนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ มาเป็นรองประธาน กตช. ไม่ได้ตั้ง พล.อ.ประวิตรให้มาเกี่ยวข้องกับตำรวจ

ทั้งนี้ ยังเป็นที่รู้กันในหมู่นายทหารใกล้ชิด พล.อ.ประวิตร ด้วยว่าความสัมพันธ์ระหว่างพี่ป้อมกับน้องแป๊ะ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ก็ได้รับผลกระทบจากกรณีของ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์เช่นกัน จนทำให้ไม่เหมือนเดิม

แต่ในภาพรวมความเป็นพี่น้องของ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตรก็ยังเหนียวแน่น

ความเคลื่อนไหวของ พล.อ.ประวิตรในพรรคพลังประชารัฐ ย่อมได้รับไฟเขียวจาก พล.อ.ประยุทธ์

 

โดยเฉพาะเมื่อมีการปล่อยกระแสข่าวอ้างถึง “เสธ.อ.” ที่เป็นคนกดดันให้นายอุตตมเขียนใบลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค

“เสธ.อ.” คนนี้ แม้ในข่าวจะไม่ระบุว่าเป็นใคร แต่ในวงการทหารสาย คสช. และสาย พปชร. คาดกันว่าหมายถึง พล.อ. นายทหารนอกราชการ อดีตทหารเสือราชินี น้องรัก พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร ที่มีบทบาทในการตั้งพรรค และพลังดูดนั่นเอง

กระแสข่าวในหน้าสื่อวันนี้ ระบุถึงแผนการเปลี่ยนกรรมการบริหารพรรค พปชร.

โดยมีแกนนำเคลื่อนไหว ทั้งนายวิรัช รัตนเศรษฐ นายสุชาติ ชมกลิ่น นายอนุชา นาคาศัย แม้แต่ “อ.แหม่ม” นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ที่ต้องการปรับเปลี่ยนกรรมการบริหารพรรค และต้องการปรับคณะรัฐมนตรีใหญ่ในเดือนมิถุนายน

ข่าวระบุว่า พล.อ.ประวิตรเป็นผู้บอกกล่าวด้วยวาจาด้วยตัวเองกับนายอุตตมว่า ขอให้ลาออกจากหัวหน้าพรรค และส่ง “เสธ.อ.” ไปกดดันให้นายอุตตมเขียนใบลาออก

จนต่อมามีการเปิดตัวว่าคือ เสธ.อ้น พล.อ.กนิษฐ์ ชาญปรีชญา อดีตรอง เสธ.ทบ. ที่เกษียณราชการ และเป็น ส.ว.

หาก เสธ.อ้นไปกระซิบให้นายอุตตมลาออก ย่อมไม่ใช่แค่การได้ไฟเขียวจาก พล.อ.ประวิตรเท่านั้น แต่หมายถึง พล.อ.ประยุทธ์ด้วย

เพราะ พล.อ.กนิษฐ์ ตท.19 นั้นเป็นน้องรักสายตรงของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่เติบโตมาจากกรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ (ร.21 รอ.) เป็นทหารเสือราชินีด้วยกันมา

ตอนอยู่ในกองทัพบก พล.อ.ประยุทธ์เคยจะดันให้ไปเป็นแม่ทัพภาคที่ 4 เพราะเชื่อมือ แต่ในที่สุดก็ให้ขึ้นเป็นรองเสนาธิการทหารบก แต่ขึ้นเป็น พล.อ. ที่ปรึกษาพิเศษกองทัพบก และช่วยงานด้านยุทธการ รวมทั้งงาน ว.5 มาตลอด

ในช่วงการตั้งพรรคพลังประชารัฐ เป็นที่รู้กันดีว่า พล.อ.กนิษฐ์เป็นเสมือนตัวแทนของ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร ในการไปเจรจากับหัวหน้าพรรคการเมืองและแกนนำพรรคการเมืองต่างๆ เพื่อเชิญชวนให้มาเข้าพรรคพลังประชารัฐสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรี

ในเวลานั้น พล.อ.กนิษฐ์จะเดินสายคู่กับบิ๊กสน พล.อ.สนธยา ศรีเจริญ แม่ทัพน้อยที่ 2 น้องรักบิ๊กป้อม จนเคยตกเป็นข่าวนักการเมืองปูดว่ามีบิ๊กทหารอีสานมาเจรจามาแล้ว

แต่ตอนนั้น พล.อ.กนิษฐ์ปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวไม่รู้เรื่องพลังดูดของพรรคพลังประชารัฐ

แต่ที่ผ่านมาเป็นที่รู้จักของนักการเมืองว่า ถ้าหากใครจะเจรจากับ พล.อ.ประวิตร และ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ต้องผ่าน พล.อ.กนิษฐ์คนนี้

โดยเฉพาะจะนัดมาพูดคุยที่บ้านป่ารอยต่อฯ ของ พล.อ.ประวิตรนั่นเอง

จนในที่สุดมาวันนี้ชื่อของ เสธ.อ้น พล.อ.กนิษฐ์ก็ถูกนักการเมืองปูดขึ้นมา

ที่ยิ่งเป็นการสะท้อนว่าความเคลื่อนไหวของ พล.อ.ประวิตรในการยึดพรรคพลังประชารัฐ ยึดเก้าอี้หัวหน้าพรรค ไม่ใช่ความเคลื่อนไหวของ พล.อ.ประวิตรเพียงลำพัง แต่เป็นไฟเขียวจาก พล.อ.ประยุทธ์ด้วย

และต้องไม่ลืมว่า พี่ใหญ่อย่าง พล.อ.ประวิตร ก็คือ พล.อ.ประยุทธ์นั่นเอง

แม้ในความสัมพันธ์พี่น้อง อาจจะมีกระทบกระทั่งกันบ้างเป็นเรื่องธรรมดา แต่ไม่มีทางที่สองพี่น้องจะแตกคอ แตกแยก หรือมารบกันเอง

“3 ป.พี่น้อง ไม่มีวันทะเลาะกัน ไม่มีวันขัดแย้งกัน เพราะมีอะไรเราคุยกันทุกเรื่อง” บิ๊กป้อมกล่าวไว้

แต่ พล.อ.ประวิตรคงต้องรอจังหวะที่เหมาะสม เพราะความเคลื่อนไหวครั้งนี้เป็นการสะท้อนว่า ใครเป็นใครในพรรคพลังประชารัฐและในรัฐบาลได้เป็นอย่างดี

            งานนี้ไม่ใช่แค่การพักยก แต่จะเป็นความเคลื่อนไหวเงียบของพี่ใหญ่ ที่รอจังหวะเช็กบิล!!