ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 4 - 10 มกราคม 2562 |
---|---|
คอลัมน์ | ต่างประเทศ |
เผยแพร่ |
ภายหลังจากที่ “คิม จอง อึน” ผู้นำเกาหลีเหนือ ออกมาหยอดคำหวานก่อนสิ้นปีที่ผ่านมา ด้วยการส่งจดหมายถึงประธานาธิบดีมุน แจ อิน แห่งเกาหลีใต้ว่า อยากจะจัดการประชุมสุดยอดผู้นำระหว่างเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้ให้ถี่มากขึ้นในปี 2019 นี้ เพื่อหารือเรื่องการปลดอาวุธนิวเคลียร์ ที่ทำให้ภาพลักษณ์ของท่านผู้นำคิมดูดีขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากในช่วงปี 2018 ที่ผ่านมา คิม จอง อึน และมุน แจ อิน ได้พบปะกันถึง 3 ครั้ง
แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มที่ดีของความ “จริงใจ” ที่อยากจะปลดอาวุธนิวเคลียร์ของผู้นำเกาหลีเหนือ
หากแต่ในคำกล่าวต้อนรับปีใหม่ของนายคิม จอง อึน ที่มีการถ่ายทอดเมื่อวันที่ 1 มกราคมที่ผ่านมา กลับทำให้โลกเกิดอาการหวาดเสียวอีกครั้ง
โดยนายคิมบอกว่า เขายังยึดมั่นในความตั้งใจที่จะทำให้คาบสมุทรเกาหลีเป็นเขตปลอดอาวุธนิวเคลียร์ แต่ก็เตือนว่า ความตั้งใจดังกล่าวอาจจะ “เปลี่ยนแปลง” ได้ หากสหรัฐยังยืนยันว่าจะคงมาตรการคว่ำบาตรเกาหลีเหนือไว้เช่นนี้ต่อไป และยังคงยืนยันให้เกาหลีเหนือต้องดำเนินมาตรการใดๆ อยู่เพียงฝ่ายเดียว
ผู้นำเกาหลีเหนือยังบอกด้วยว่า ความก้าวหน้าในการปลดอาวุธนิวเคลียร์จะเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว หากสหรัฐดำเนินมาตรการต่างๆ ที่สอดคล้องควบคู่กันไป
และยังย้ำด้วยว่า ตัวเขาเองมีความตั้งใจที่จะพบกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ ในเวลาใดก็ได้ เพื่อที่จะทำให้เกิดผลในทางบวกที่ประชาคมระหว่างประเทศจะให้การตอบรับอย่างดี
“แต่หากสหรัฐไม่รักษาสัญญาที่ทำไว้ต่อหน้าประชาคมโลก และยังคงยืนกรานที่จะคว่ำบาตรและเพิ่มแรงกดดันต่อเกาหลีเหนือต่อไป เราอาจไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากจะต้องพิจารณาหาทางใหม่ที่จะธำรงไว้ซึ่งอธิปไตยเหนือดินแดนและผลประโยชน์ของเกาหลีเหนือ”
นายคิมกล่าว
ถือเป็นการออกมาขู่อีกครั้งของเกาหลีเหนือ เหมือนกับที่เคยออกมาขู่ก่อนหน้านี้ว่า หากสหรัฐยังเดินหน้ากดดันเกาหลีเหนือต่อไป นโยบายปลดนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือก็จะไม่เกิดอย่างแน่นอน
เอริก ทาลแมดจ์ ซึ่งเป็นหัวหน้าสำนักงานของสำนักข่าวเอพี ประจำกรุงเปียงยาง เกาหลีเหนือ มาตั้งแต่ปี 2013 ได้วิเคราะห์เกี่ยวกับเรื่องของเกาหลีเหนือ ที่คาดว่าจะเกิดในปี 2019 นี้ไว้ว่า ในปีนี้สิ่งที่ผู้นำเกาหลีเหนือยังคงมุ่งเน้นก็คือเรื่องของ “เศรษฐกิจ”
เพราะในช่วงปี 2018 ที่ผ่านมา 2 ใน 3 ของคำกล่าวของนายคิม ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องเศรษฐกิจทั้งสิ้น
โดยมุ่งมั่นในการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ไปพร้อมๆ กับเศรษฐกิจของประเทศ ตามนโยบายของเกาหลีเหนือ และเชื่อด้วยว่านายคิมจะไม่ยอมยกเลิกโครงการอาวุธนิวเคลียร์อย่างแน่นอน
แต่ขณะเดียวกันนายคิมเองก็ตระหนักดีถึงเศรษฐกิจของประเทศตัวเอง จึงได้พยายามที่จะเปิดให้นักลงทุนต่างชาติเข้าไปลงทุนและค้าขายมากขึ้น ซึ่งเรื่องนี้นายคิมต้องการความช่วยเหลือจากเกาหลีใต้
ดังนั้น แม้ตอนนี้ดูเหมือนว่านายคิมจะพุ่งเป้าไปที่การสานสัมพันธ์กับประธานาธิบดีสหรัฐ หากแต่ความเคลื่อนไหวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเกาหลีเหนือในปี 2018 กลับมุ่งหน้าไปที่ “เกาหลีใต้”
การเดินหน้าสานสัมพันธ์กับเกาหลีใต้ตั้งแต่ต้นปี 2018 จนนำไปสู่การประชุมสุดยอดผู้นำสองเกาหลี ที่นำไปสู่การลงนามใน “ปฏิญญาปันมุนจอม” ปฏิญญาครั้งสำคัญระหว่างสองเกาหลีที่มีเป้าหมายเพื่อมุ่งหน้าไปสู่สันติภาพบนคาบสมุทรเกาหลี
รายละเอียดของปฏิญญา ก็ยังมีเรื่องความพยายามของเกาหลีใต้ที่จะช่วยเกาหลีเหนือด้านเศรษฐกิจ รวมถึงการปรับปรุงและเชื่อมต่อรถไฟระหว่างเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้ และการสนับสนุนให้มีการเปิดเขตอุตสาหกรรมในเกาหลีเหนือขึ้นอีกครั้ง
หากแต่ความพยายามจะช่วยเหลือเกาหลีเหนือดังกล่าว ไม่อาจจะเดินหน้าต่อไปได้มาก ตามเท่าที่มาตรการคว่ำบาตรต่อเกาหลีเหนือของสหรัฐอเมริกายังคงมีอยู่
ทาลแมดจ์ยังเชื่อว่าเกาหลีเหนือจะยังไม่ใช้นิวเคลียร์ถล่มใครในตอนนี้ แม้ว่าคำกล่าวล่าสุดของผู้นำเกาหลีเหนือจะบ่งชี้ว่า เกาหลีเหนือยังพร้อมเสมอสำหรับอาวุธนิวเคลียร์
แต่อย่าลืมว่า คิม จอง อึน ได้เคยให้คำมั่นไว้ว่าจะปลดนิวเคลียร์บนคาบสมุทรเกาหลี หากแต่คำพูดของผู้นำเกาหลีเหนือกลับดูขัดกัน และอย่าลืมว่า นิวเคลียร์ถือเป็นอาวุธอันมีค่าสำหรับเกาหลีเหนือในการต่อสู้กับสหรัฐอเมริกา ตราบเท่าที่ภัยคุกคามยังอยู่ คิม จอง อึน ไม่มีทางยกเลิกโครงการนิวเคลียร์ในเกาหลีเหนืออย่างแน่นอน
นายคิมยังเชื่อด้วยว่า อาวุธในมือที่มีอยู่ ทำให้เขามีอำนาจเหนือกว่า และสามารถเอาไว้ใช้สำหรับการต่อรองได้
ทาลแมดจ์ตบท้ายด้วยว่า การปรากฏตัวให้สัมภาษณ์ครั้งล่าสุดของผู้นำเกาหลีเหนือ เป็นภาพของชายที่ดูเป็นบุคคลระดับโลก ดูดี และดูสบายๆ ซึ่งต่างไปจากภาพที่ชาติตะวันตกเคยล้อเลียนเขาเอาไว้ แม้จะไม่ใช่การพูดต่อหน้าสาธารณะ แต่การพูดครั้งนี้ดูมีความเชื่อมั่นอย่างมาก เหมือนกับคิม อิล ซุง ผู้เป็นปู่ และคิม จอง อิล ผู้เป็นบิดา ที่ขึ้นชื่อเรื่องคำกล่าวที่ไม่ได้ดูน่าฟังและไม่เคยพูดเนื่องในวันปีใหม่เช่นนี้มาก่อน
มาครั้งนี้ คิม จอง อึน สร้างภาพให้เห็นว่า นี่แหละคือตัวเขาเอง เป็นคนทันสมัย เป็นผู้นำที่น่านับถือบนเวทีโลก
ที่อาจจะได้ยืนเคียงข้างกับทรัมป์อีกในปีนี้ก็เป็นได้