นงนุช สิงหเดชะ : เมโลดราม่าเรื่อง “รู้จักบุญคุณชาวนา”

ในที่สุดเรื่องข้าวก็ยังคงเป็นประเด็นปัญหาที่ผูกแนบแน่นอยู่กับการเมืองอย่างเห็นได้ชัด เรียกได้ว่ามีโอกาสเมื่อไหร่นักการเมืองก็จะหยิบมาเป็นเครื่องมือช่วงชิงความได้เปรียบทางการเมืองไม่ทางตรงก็ทางอ้อม

ปัญหาราคาข้าวตกต่ำวนมาอีกรอบเมื่อสภาพภูมิอากาศเอื้ออำนวยให้อีกหลายประเทศที่ปลูกข้าวมีผลผลิตออกมามากเกินความต้องการของตลาด เสียงโอดครวญจากชาวนาเริ่มดังขึ้น

หลายฝ่ายทั้งภาครัฐและเอกชน คนดัง พากันหาแนวทางช่วยชาวนาขายข้าว ปั๊มน้ำมันทั้ง ปตท. และบางจาก เปิดพื้นที่ให้ชาวบ้านนำข้าวสารไปขายให้กับผู้บริโภคโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ดาราพากันเปิดไอจีให้ชาวนาฝากขายข้าวได้เลย

มหาวิทยาลัยบางแห่งเปิดให้นักศึกษาลูกชาวนานำข้าวมาชำระค่าหน่วยกิตได้

ทั้งหมดทั้งมวลนั้นดำเนินไปด้วยดีไม่มีกระแสร้อน จนกระทั่ง คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและคนพรรคเพื่อไทย ลงพื้นที่ไปจังหวัดอุบลราชธานี นัยว่าเพื่อเยี่ยมเยียนชาวนา ระหว่างนั้นดูเหมือนบังเอิญ (ถูกตั้งข้อสังเกตเป็นความบังเอิญแบบจัดฉาก) ที่คณะของเธอเจอชาวบ้านนำข้าวสารมาวางขายริมถนนราคากิโลกรัมละ 20 บาท (หอมมะลิ) เธอก็เลยรับซื้อมาจำนวน 10 ตัน

ลำพังตัวเธอเองเคลื่อนไหวก็เป็นข่าวร้อนพออยู่แล้ว แต่วันนั้นมีดราม่าน้ำตาเข้ามาด้วย นัยว่าเธอร้องไห้เมื่อชาวบ้านให้กำลังใจบอกว่าจะช่วยออกเงินกรณีเธอถูกตัดสินให้ชดใช้ค่าเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าวทุกเมล็ดในสมัยรัฐบาลของเธอ ข่าวที่ออกไปสู่สายตาสังคมจึงร้อนกว่าปกติ

ซีกรัฐบาล คสช. ตั้งข้อสังเกตว่า การเคลื่อนไหวของเธอมีเป้าหมายทางการเมืองแฝงเร้นอยู่หรือไม่ ถ้าจะให้ดีควรซื้อข้าวชาวนาจากทุกที่ดีกว่าไหม ทำให้คุณยิ่งลักษณ์ตอบโต้ว่าถ้าได้เป็นรัฐบาลจะซื้อข้าวทั้งประเทศ และย้ำว่ามาหาชาวนาเพราะอยากช่วย เนื่องจากเคยเป็นนายกฯ ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน จึงรู้จักบุญคุณชาวนา เข้าใจความลำบากของชาวนา

หากสังเกตให้ดีจะเห็นว่า พล็อตเดิมที่คุณยิ่งลักษณ์เน้นย้ำคือ 1.มาจากการเลือกตั้ง 2.เมื่อมาจากการเลือกตั้งจึงเข้าใจชาวนา รู้บุญคุณชาวนามากกว่า

นักการเมืองจากซีกประชาธิปัตย์บางคนซึ่งรู้เรื่องข้าวและรู้สถานการณ์ในพื้นที่ดี ตั้งข้อสังเกตว่า ถุงที่ชาวบ้านกลุ่มนั้นใช้บรรจุข้าวน่าจะเป็นข้าวที่มาจากโรงสี เพราะถุงมีขนาด 50 กิโลกรัม ซึ่งไม่ใช่ลักษณะถุงที่ชาวบ้านใช้หากนำมาขายเอง

ประการต่อมาที่ถูกตั้งข้อสังเกตคือ ชาวบ้านกลุ่มดังกล่าวถูกจัดฉากมาหรือไม่ เพราะว่าชาวนากลุ่มนี้ พอคุณยิ่งลักษณ์กลับ ก็แยกย้ายกันกลับด้วย ไม่อยู่ขายต่อ แถมไม่ยอมขายให้คนท้องถิ่นแถวนั้นที่อยากซื้อด้วย ซึ่งก็น่าเชื่อได้ว่าเป็นชาวนาเฉพาะกิจที่ทำทีว่าเดือดร้อนเพราะราคาข้าวตกต่ำเหลือแค่กิโลกรัมละ 20 บาท

ผลที่ได้ในทางการเมืองคือ 1.ประจานว่าราคาข้าวยุค คสช. นี้ตกต่ำมาก ขนาดหอมมะลิยังเหลือแค่ ก.ก.ละ 20 บาท 2.คุณยิ่งลักษณ์เป็นนักการเมืองที่เมตตาปรานี เข้าใจ เห็นใจชาวนา คนยากจน คนรากหญ้ายิ่งกว่าใครๆ (เพราะว่ามาจากการเลือกตั้ง…อีกแล้ว)

ในวันต่อมา นักข่าวบางสำนักไปขุดคุ้ยข่าวหาความจริงต่อไปก็พบว่า ชาวบ้านกลุ่มนั้นไม่ยอมขายข้าวให้กับประชาชนที่เดินผ่านไปมา อ้างว่าจะขายให้คุณยิ่งลักษณ์เท่านั้น แถมชาวบ้านที่ขายสินค้าอย่างอื่น เช่น ฝักบัวที่นั่งขายประจำอยู่ตรงนั้นตัดพ้อคุณยิ่งลักษณ์ว่าไม่ช่วยซื้อฝักบัวบ้างเลย ซื้อแต่ข้าว และปกติตรงนี้ไม่มีใครเอาข้าวมาวางขาย มีแค่วันนั้นวันเดียว

หลังจากรับซื้อแล้ว คุณยิ่งลักษณ์ก็นำมาขายต่อให้กับคนกรุงเทพฯ ในราคาทุนคือ 20 บาท ขายดิบขายดี ไม่กี่ชั่วโมงก็หมด เท่ากับว่าคุณยิ่งลักษณ์แทบไม่ต้องควักเนื้อเลย ผิดกับบางแห่งที่ควักเนื้อตัวเองช่วยชาวนา เช่น ปั๊มน้ำมันบางจากที่รับซื้อจากชาวบ้านราคา ก.ก.ละ 35 บาท แต่นำมาขายต่อให้ผู้บริโภค ก.ก.ละ 30 บาท (แต่ว่าไม่ดังและได้หน้าเท่ากับคุณยิ่งลักษณ์)

ด้านบริวารของคุณยิ่งลักษณ์ ก็ดาหน้าออกมาเป็นชุด เพราะเป็นโอกาสโจมตี คสช. ทีมงานสาวสวยของพรรคเพื่อไทยคนหนึ่งออกมาระบุว่า รัฐบาลปัจจุบันแก้ปัญหาไม่เป็น ปล่อยให้ข้าวตกไปอยู่ในมือพ่อค้าคนกลางแล้วค่อยออกมาตรการช่วยชาวนา ทำให้ชาวนาไม่ได้รับประโยชน์เต็มที่

และยังแนะด้วยว่ารัฐบาลควรแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน ควรเลิกโทษรัฐบาลเก่า และหากไม่พร้อมจะแก้ปัญหาชาวนาก็ควรลาออกไป

ฟังดูแล้วก็ดูเหมือนเป็นธรรมชาติของนักการเมือง ที่สามารถสั่งสอนคนอื่นได้หน้าตาเฉย ทั้งที่ตัวเองสร้างปัญหาข้าวไว้จนเละเทะ เพราะไม่มีการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน อัดเงินรับซื้อทุกเมล็ดอย่างเดียว จนทำให้ข้าวเน่าเสียล้นโกดัง สร้างหนี้เสียมหาศาล คุณภาพข้าวตกต่ำ ไม่มีการพัฒนาคุณภาพข้าว เพราะการรับซื้อทุกเมล็ด ไม่มีการคัดคุณภาพ ทำให้ชาวบ้านสักแต่ว่าปลูกให้ได้เร็วๆ เยอะๆ เพื่อรีบนำมาจำนำ

ใครจะอยากเอาของดีมาขาย ในเมื่อของดีของห่วยได้ราคาเท่ากัน เขาเรียกว่านโยบายที่ไม่มีหัวคิด มักง่าย และสุดท้ายจะเอาเงินจากไหนมารับซื้อหวาดไหว เพราะประเทศนี้ไม่ได้แค่ชาวนา จะเอาเงินทั้งประเทศมาซื้อข้าวอย่างเดียวหรือ ไม่ต้องใช้เงินพัฒนาประเทศด้านอื่นหรือ และถามหน่อยมีแค่ข้าวหรือที่ราคาตกต่ำ

ส่วนที่หาว่ารัฐบาลปัจจุบันปล่อยให้ข้าวตกไปอยู่ในมือพ่อค้านั้น หากมองย้อนกลับไปในยุคจำนำข้าวทุกเมล็ดที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์มีแนวคิดจะกว้านซื้อข้าวไปไว้ในมือให้หมด (ทำผิดกฎหมายการค้าเสรี) ไม่ให้ข้าวตกไปอยู่ในมือผู้ส่งออก เพื่อดึงราคาตลาดโลกให้สูงขึ้นนั้น เป็นแนวคิดที่ผิดพลาดมหันต์และเป็นไปไม่ได้เลยที่ไทยจะสามารถกำหนดราคาข้าวในตลาดโลกได้

เมื่อกว้านซื้อไปไว้ในมือหมด ก็หาที่ระบายข้าวได้ยากเพราะขายให้เอกชนไม่ได้ ต้องขายแบบรัฐต่อรัฐเท่านั้น (นำมาสู่จีทีจีเก๊) รัฐบาลเองก็ขาดมือไม้กลไกที่จะช่วยขายข้าวเพราะตัดตอนพ่อค้าผู้ส่งออกไปหมดแล้ว ทำลายกลไกตลาดจนพัง ผลลัพธ์คือข้าวเน่าคาโกดังกว่า 10 ล้านตันที่เป็นปัญหามาจนถึงทุกวันนี้

ส่วนที่อ้างว่ารัฐบาลของตัวเองต้องทำตามนโยบายที่หาเสียงไว้ ก็อยากให้พรรคเพื่อไทยกลับไปทบทวนดูว่า สิ่งที่ทำนั้นไม่ใช่รับจำนำข้าว แต่มันคือการรับซื้อข้าว เพราะการรับจำนำไม่ควรให้ราคาสูงกว่าท้องตลาด แต่นี่เล่นรับซื้อสูงกว่าตลาดเกิน 40 เปอร์เซ็นต์

ดังนั้น ก็เลิกอ้างเสียทีว่าทำตามนโยบายที่แถลงไว้ต่อรัฐสภา ในเมื่อแถลงนโยบายว่าจะรับจำนำ แต่ในทางปฏิบัติกลับเป็นการซื้อ ยังจะอ้างว่าทำตามนโยบายหรือ

นํ้าเสียงท่วงทำนองของคุณยิ่งลักษณ์ พรรคเพื่อไทยที่คล้ายจะเน้นว่าตัวเองเห็นใจและรู้จักบุญคุณชาวนามากกว่าคนอื่นเพราะมาจากการเลือกตั้งนั้น เกรงว่าจะสร้างความแตกแยกทางชนชั้นขึ้นมาอีก

เพราะในความเป็นจริงทุกคนในประเทศไทยช่วยชาวนาอยู่ทุกวันไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม เพราะว่าต้องกินข้าว จึงต้องซื้อข้าวทุกวันอยู่แล้ว

หลายคนไปช่วยชาวนา เช่น ทหาร ตำรวจ เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองสังกัดกระทรวงมหาดไทย ลงไปช่วยชาวนาเกี่ยวข้าวทั่วประเทศ ตากแดดเหงื่อไหลไคลย้อย พวกเขาก็ช่วยชาวนาและรู้จักบุญคุณชาวนาเช่นกัน

เพียงแต่พวกเขาปิดทองหลังพระ ทำแล้วไม่ดัง ได้หน้าเหมือนคุณยิ่งลักษณ์