ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 28 ตุลาคม - 3 พฤศจิกายน 2559 |
---|---|
คอลัมน์ | กรองกระแส |
เผยแพร่ |
มีความเชื่อ 2 ความเชื่อใหญ่ซึ่งดำรงอยู่ในแวดวงทางการเมือง เป็นการดำรงอยู่ในลักษณะซึมลึกและดำเนินไปอย่างมีอาการแพร่ลามอย่างรวดเร็ว
ทั้งที่ 1 ดำเนินไปอย่างเหลือเชื่อ ทั้งที่ 1 ดำเนินไปอย่างสวนกระแส
ความเชื่อ 1 คือ ความเชื่อที่ว่าอาจมีการเลือกตั้ง “เร็ว” กว่าที่โรดแม็ปได้กำหนดเอาไว้ นั่นก็คือ ก่อนปลายปี 2560
ความเชื่อ 1 คือ ความเชื่อที่ว่าพรรคเพื่อไทยจะชนะการเลือกตั้ง
ทำไมถึงว่า ความเชื่อทั้ง 2 ประการนี้ดำเนินไปอย่างเหลือเชื่อ บนฐานแห่งความเป็นไปไม่ได้เพราะเท่ากับขัดกับ “โรดแม็ป” ซึ่งกำหนดโดย คสช. และรัฐบาล
เพราะจะเป็นไปได้อย่างไร
ความเป็นไปได้ในที่นี้ประเมินจาก คสช. ประสานกับจากรัฐบาล และความพร้อมของฝ่ายการเมืองอย่างเป็นหลัก
จึงเห็นว่าเป็นเรื่องเหลือเชื่อ จึงเห็นว่าเป็นเรื่องสวนกระแส
กระนั้น ยิ่งผ่านเดือนตุลาคมเข้าไปยังเดือนพฤศจิกายน ความเชื่อนี้จะยิ่งฝังอย่างชนิดจำหลัก หนักแน่นมากยิ่งขึ้นเป็นลำดับ
ไม่ว่าเรื่อง “เลือกตั้ง” ไม่ว่าเรื่อง “พรรคเพื่อไทย”
หากเป็น ความจริง
ต้องเริ่มจาก คสช.
หากถือเอา คสช. เป็นหลัก ไม่ว่าจะมองผ่านกระบวนการของรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะมองผ่านกระบวนการในการจัดทำกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ
ไม่มีเหตุผลอะไรทำให้ คสช. ต้องเปลี่ยน “โรดแม็ป”
อย่าลืมเป็นอันขาดว่า หมุดหมายแรกสุด คสช. จะต้องการให้ทุกอย่างเรียบร้อยภายในเดือนตุลาคม 2558 ภายหลังรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557
แต่ที่ต้องเลื่อนหลายครั้งหลายหน
เลื่อนจาก “ปฏิญญาโตเกียว” เมื่อเดินทางไปพบ ชินโสะ อาเบะ กระทั่งกลายมาเป็น “ปฏิญญานิวยอร์ก” เมื่อเดินทางไปร่วมประชุมสหประชาชาติ
เพราะความจำเป็น และเป็นการเลื่อนอย่างมีเหตุผล
ความจำเป็นที่ยังไม่สามารถจัดระบบของบ้านเมืองได้ด้วยความเรียบร้อย เหตุผลหลักก็คือ รัฐธรรมนูญ เหตุผลหลักก็คือ ยังมีความขัดแย้ง ยังมีความแตกแยก เหตุผลนี้ คสช. สามารถอ้างได้แม้กระทั่งเมื่อผ่านปี 2559 เข้าไปยังปี 2560
เท่ากับยืนยันว่าการเลือกตั้งตามโรดแม็ปจะเป็น “ก่อน” ปลายปี 2560 ได้อย่างไร
ตรงนี้แหละทำให้ความเชื่อดำเนินไปในลักษณะอันสรุปได้ว่า “เหลือเชื่อ” ตรงนี้แหละทำให้ความเชื่อดำเนินไปในลักษณะ “สวนกระแส”
ความหมายก็คือ สวนต่อ “โรดแม็ป” และความต้องการของ “คสช.”
เพื่อไทย ชนะเลือกตั้ง
“ความเป็นไปไม่ได้”
ถามว่าเป้าหมายของรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 คืออะไร
คำตอบเด่นชัดอย่างยิ่งว่า คือความต้องการที่จะอุดช่องว่างและรอยโหว่อันเนื่องแต่รัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549
นั่นก็คือ รัฐประหาร “เสียของ”
เห็นได้จากการดำรงความมุ่งหมายในการบดขยี้ต่อพรรคไทยรักไทย ต่อเนื่องมายังพรรคพลังประชาชน และที่สุดคือพรรคเพื่อไทย
หากศึกษาจาก “รัฐธรรมนูญ” ก็จะเห็นอย่างเด่นชัด
ไม่ว่าจะเป็นรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ.2557 ไม่ว่าจะเป็นร่างรัฐธรรมนูญที่ผ่านประชามติและจะกลายเป็นรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2559 ในที่สุด
เป้าหมาย คือ พรรคเพื่อไทย
การถอดถอนที่เริ่มจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไล่เรียงมายัง นายประชา ประสพดี กระทั่งอดีต ส.ส. ที่มีส่วนร่วมในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 มีส่วนร่วมในการเสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม คือ สินค้าตัวอย่างอันเท่ากับเป็นการตัดแขนขาพรรคเพื่อไทย
ทำให้พรรคเพื่อไทยมีชะตากรรมอย่างเดียวกันกับพรรคไทยรักไทยและพรรคพลังประชาชนโดยแทบไม่จำเป็นต้องยุบ
แล้วพรรคเพื่อไทยจะเอา “ปัจจัย” อะไรไปทำให้ได้ “ชัยชนะ”
ลำพังต้องต่อกรกับพรรคประชาธิปัตย์ก็เหน็ดเหนื่อยสาหัสแล้ว ลำพังต้องต่อกรกับพรรคภูมิใจไทยก็เหน็ดเหนื่อยสาหัสแล้ว
ภายในพรรคเพื่อไทยก็ใช่ว่าจะเป็นเอกภาพ
ยังมีเส้นสายของแกนนำอย่าง นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ จากภาคเหนือ ยังมีเส้นสายของแกนนำอย่าง คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ซึ่งรอจังหวะที่จะผงาดขึ้นมาแทนที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ภายในพรรคเพื่อไทย
แล้วพรรคเพื่อไทยจะเอา “กำลัง” จากไหนไปสัประยุทธ์กับสภาวะอันแหลมคมยิ่งในทางการเมือง
ที่ว่าพรรคเพื่อไทยจะได้ชัยชนะจากการเลือกตั้งจึงแทบจะเป็นไปได้ และมีโอกาสสูงอย่างยิ่งที่จะกลายเป็นเรื่องเหลือเชื่อและดำเนินไปอย่างสวนกระแส
สวนกระแส คสช. สวนกระแสสังคม “ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง”
เริ่มจาก ความเชื่อ
ดำรงในความเชื่อ
ต้องยอมรับว่าเริ่มมีการตั้งข้อสังเกตมากและถี่ยิบขึ้นเป็นลำดับว่า อาจเกิดแนวโน้มและความเป็นไปได้ที่จะมีการเลือกตั้งเร็วขึ้น
นั่นหมายถึง แนวโน้มที่ “โรดแม็ป” จะต้องเปลี่ยนแปลง
ขณะเดียวกัน ก็เริ่มมีการตั้งข้อสังเกตมากและถี่ยิบขึ้นเป็นลำดับว่า ภายในกระบวนการของการเลือกตั้งที่จะมีในอนาคตอันใกล้ของปี 2560 โอกาสจะยังเป็นของพรรคเพื่อไทยมากกว่าจะเป็นพรรคประชาธิปัตย์ หรือพรรคภูมิใจไทย
นั่นหมายถึง ความเชื่อที่ทำให้ชะตากรรมของรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 ซ้ำรอยกับรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549
หาก “ความเชื่อ” กลายเป็น “ความจริง”