“วัฒนา” ซัด คสช. ออกกม.พิจารณาลับหลังจำเลย ชี้ทำลายหลักนิติธรรม

วันที่ 21 พฤศจิกายน 2560 นายวัฒนา เมืองสุข อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยระบุว่า วันนี้ สำนักงานอัยการสูงสุดจะมีการแถลงข่าวการดำเนินคดีกับนายกทักษิณ ซึ่งจะเป็นการพิจารณาคดีอาญาลับหลังจำเลยเป็นคดีแรก โดยก่อนหน้านี้การพิจารณาคดีอาญาและสืบพยานในศาล จะต้องกระทำโดยเปิดเผยต่อหน้าจำเลย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 172

นายวัฒนากล่าวว่า หลักการพิจารณาคดีอาญาต้องทำต่อหน้าจำเลยดังกล่าว สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติได้รับรองโดยนำไปบัญญัติไว้ในข้อ 14 (d) ของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) ซึ่งเป็นกฎหมายเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนที่ประเทศไทยได้เข้าเป็นภาคีเมื่อเดือนตุลาคม 2539 จากนั้นไทยได้มีการแก้ไข วิ.อาญา เพื่อให้เป็นไปตาม ICCPR เช่น แก้ไขมาตรา 87 ที่เคยให้อำนาจ พงส. ควบคุมตัวผู้ถูกจับกุมได้ไม่เกิน 7 วัน เป็นไม่เกิน 48 ชั่วโมงหรือสั่งให้ผู้ต้องหาไปศาลเพื่อขอออกหมายขังโดยทันที เพื่อให้สอดคล้องกับข้อย่อย 3 ของกติกาข้อ 9 ที่บัญญัติให้ต้องนำตัวผู้ถูกจับกุมไปศาล “โดยพลัน” เป็นต้น พุทธศาสนาก็ถือปฏิบัติตามหลักการนี้โดยพระธรรมวินัยอันเป็นกฎหมายสงฆ์บัญญัติให้การกล่าวหาสงฆ์ที่ต้องอธิกรณ์จะต้องกระทำต่อหน้าสงฆ์นั้นเช่นกัน

นายวัฒนากล่าวอีกว่า การยึดอำนาจของ คสช. สร้างความเสียหายให้กับประเทศทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง แต่ที่สร้างความเสียหายมากที่สุดคือการทำลายหลักนิติธรรม โดยออกกฎหมายวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองให้พิจารณาคดีอาญาลับหลังจำเลยได้ ทั้งหมดกระทำขึ้นเพียงเพื่อกำจัดฝ่ายตรงข้ามซึ่งนอกจากจะขัดกับหลักความยุติธรรมอาญาแล้ว ยังขัดหรือแย้งกับกฎหมายระหว่างประเทศที่เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน อันจะนำมาซึ่งความขัดแย้งและทำให้ประเทศสูญเสียความน่าเชื่อถือ ประชาชนจึงต้องอดทนรอให้มีการเลือกตั้ง เมื่ออำนาจกลับคืนมาแล้ว การยกเลิกกฎเกณฑ์หรือการกระทำต่างๆ ที่ คสช. ทำให้ประเทศชาติ “เสื่อม” หรือเสียหายจะต้องได้รับการสะสาง ช่วยกันนับถอยหลังอีกไม่นานเกินรอครับ