‘สุพันธุ์’ ชี้ ‘เลือกตั้ง66’ คือโอกาสพาไทยผ่าวิกฤติเศรษฐกิจโลก การลงทุนภาครัฐโค้งสุดท้าย-การเคลื่อนย้ายตลาดลงทุน-การเปลี่ยนผู้นำประเทศ

‘สุพันธุ์’ ชี้ ‘เลือกตั้ง66’ คือโอกาสพาไทยผ่าวิกฤติเศรษฐกิจโลก การลงทุนภาครัฐโค้งสุดท้าย-การเคลื่อนย้ายตลาดลงทุน-การเปลี่ยนผู้นำประเทศ

วันที่ 24 มีนาคม 2566 ที่วิทยาลัยตำรวจ อาคารเรียน ชั้น 3 ห้องพันธุ์คงชื่น นายสุพันธุ์ มงคลสุธี รองหัวหน้าพรรคและประธานคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจพรรคไทยสร้างไทย ได้บรรยายในหัวข้อการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากกับความยั่งยืนของสังคมไทย ให้กับหลักสูตรการบริหารการรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคมภาครัฐ

นายสุพันธุ์ กล่าวถึง วิกฤตที่อาจจะเกิดขึ้นในปีนี้ 5 ประการ คือ 1.ปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์ เช่น สงครามระหว่างประเทศ รัสเซีย-ยูเครน การกีดกันทางการค้า และมีความเสี่ยงต่างๆ ด้านการเงินที่อาจจะกระทบการส่งออก 2.ปัญหาหนี้สิน เพราะปัจจุบันประเทศไทยมีหนี้ครัวเรือนเกือบร้อยละ 90 ของ GDP ในขณะเดียวกันหนี้สาธารณะก็สูงถึง 10 ล้านล้านบาท นับว่าสูงเป็นประวัติการณ์ทั้งสองส่วน 3.การขาดดุลการค้าที่เกิดจากอัตราเงินเฟ้อและราคาพลังงานที่สูงขึ้น รวมถึงปัจจัยจากโรคระบาดโควิด-19 4.การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว โดยจะมีการปรับใช้เทคโนโลยีในภาคธุรกิจที่มากขึ้น ความท้าทายในส่วนนี้คือจะพัฒนาศักยภาพของแรงงานอย่างไรเพื่อให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีในระดับโลก และ 5.รัฐบาลไม่เป็นเอกภาพ เนื่องจากการขาดความร่วมมือแกนนำรัฐบาลและพรรคร่วมรัฐบาล และปัญหาการคอร์รัปชั่นในภาครัฐซึ่งทำให้เสียโอกาสทางเศรษฐกิจไปจากตรงนี้มาก

ต่อมาเป็นโอกาสในการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งนายสุพันธุ์มองว่ามี 5 โอกาสด้วยกันคือ 1.การเปิดประเทศ ที่ทำให้นักท่องเที่ยวเข้าประเทศมากขึ้น โดยมีการประมาณการว่าในปีนี้จะมีนักท่องเที่ยวเข้าประเทศไทยมากกว่า 25 ล้านคนที่น่าจะสร้างรายได้ให้กับประเทศอย่างมหาศาล 2. โอกาสทางภูมิศาสตร์ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่อาจจะส่งผลต่อการเคลื่อนย้ายฐานการผลิต โดยเราจะต้องดึงการลงทุนให้กลับเข้ามาในไทยให้ได้ และอีกหนึ่งเรื่องคือการเคลื่อนย้ายของตลาดทุน ที่มีการคาดการณ์กันว่าจากภาวะความไม่แน่นอนของสถานการณ์การเมืองโลกจะทำให้ตลาดทุนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เติบโตขึ้น

โอกาสในด้านที่ 3. คือการลงทุนจากภาครัฐที่จะเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะหลังการเลือกตั้งที่จะมีรัฐบาลใหม่ขึ้นมาบริหาร 4. ความต้องการด้านอาหารจากทั่วโลกที่จะทำให้ประเทศไทยมีโอกาสมากขึ้นเนื่องจากเป็นผู้ผลิตอาหารรายใหญ่ของโลกอยู่แล้ว โดยจะต้องยกระดับการผลิตอาหารแบบครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ และ 5.การเลือกตั้งที่จะมาถึงอาจจะเป็นโอกาสที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยกลับมาเดินหน้าต่อได้หากรัฐบาลใหม่สามารถสร้างเสถียรภาพและก้าวข้ามความขัดแยงในอดีตไปได้

ในส่วนการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากเพื่อสร้างความยั่งยืนนั้น นายสุพันธ์ุมองว่าจำเป็นจะต้องพัฒนาขีดความสามารถของอุตสาหกรรมไทย และ SMEs ไทย เพื่อที่จะให้อยู่ได้อย่างยั่งยืนและพึ่งพาตัวเองได้ โดยพัฒนาอุตสาหกรรมใน 4 ด้านด้วยกัน ด้านแรกคือ ด้านเกษตรและอาหาร ที่จะต้องเร่งส่งเสริมการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร ส่งเสริมอาหารเสริมสุขภาพและอาหารแห่งอนาคตที่ไทยมีศักยภาพสูงในด้านนี้ เกษตรและผลไม้ยุคใหม่ที่จะเพิ่มมูลค่าให้กับผลผลิตได้ ด้านที่ 2 คือสุขภาพและวิถีชีวิตโดยจะส่งเสริมการใช้และแปรรูปสมุนไพรไทย การผลิตอาหารเสริม รวมถึงเครื่องสำอางค์ที่มีศักยภาพในการเติบโตแข่งกับเกาหลีใต้ได้ และการส่งเสริมให้ไทยเป็น medical hub อย่างแท้จริง

ในส่วนที่ 3 คืออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเพราะไทยมีศักยภาพด้านการท่องเที่ยวที่ดีมาโดยตลอด แต่จะต้องรักษาตำแหน่งนี้ไว้ให้ได้ ด้วยการเสริมการท่องเที่ยวในมิติอื่นๆ เช่นการจัดมหกรรมระดับโลกความบันเทิง แลนด์มาร์กต่างๆ และ เศรษฐกิจสายมูเพิ่มขึ้นมา ในด้านสุดท้ายคือด้านพลังงาน ที่จะต้องส่งเสิรมให้ใช้พลังงานหมุนเวียนมากขึ้น เพื่อลดต้นทุนพลังงานที่สูงมากในปัจจุบัน

ในส่วนสุดท้ายนายสุพันธุ์ ย้ำว่าการที่จะทำให้ประเทศพัฒนาได้อย่างยั่งยืน และเป็นเศรษฐกิจฐานรากของประเทศอย่างแท้จริงต้องให้ความสำคัญกับ SMEs มากขึ้นโดยให้แต้มต่อ เช่นสิทธิประโยชน์ด้าน BOI ด้านภาษีและเงินทุน รวมถึงต้องปลดล็อกข้อจำกัดทางกฎหมายที่เป็นอุปสรรคในการทำมาหากิน ต้องมีการแขวนกฎหมายหรืองดบังคับใช้กฎหมายที่ไม่จำเป็น ล้าหลัง และ ซ้ำซ้อน เพื่อที่จะให้คนตัวเล็ก สามารถทำมาหากินได้อย่างปรกติ และแข่งขันกับทุนขนาดใหญ่ได้ โดยนายสุพันธุ์ตั้งเป้าว่า เพื่อที่จะให้ประเทศพัฒนาได้อย่างยั่งยืน สัดส่วน GDP ที่มาจาก SMEs ของประเทศจะต้องเพิ่มขึ้นเป็น 50% เพื่อที่จะอยู่รอดในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วแบบปัจจุบันได้