ตำแหน่งแบตเตอรี่ใต้ท้องรถ EV ปัญหาชวนปวดหัว เจออีกราย แผลนิดเสียหายครึ่งล้าน ประกันเซ็ง

รถยนต์ไฟฟ้าได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศไทยขณะนี้ แม้จะยังไม่สามารถตั้งฐานผลิตในประเทศได้ แต่ยอดขายแบรนด์ต่างๆที่นำเข้ามาขาย เรียกได้ว่าเกิดปรากฎการณ์รถไม่พอขาย

อาจจะเนื่องด้วยสภาพราคาน้ำมันที่พุ่งสูง ผลักดันให้คนไทยจำนวนมาก หาทางออกด้วยการซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้งาน แถมภาครัฐยังใจป้ำ จัดให้ตามคำขอสังคม ลดภาษีให้อย่างหนัก และไปขึ้นภาษีรถยนต์เครื่องสันดาปซะอีก แบบนี้รถยนต์ไฟฟ้ายิ่งขายดิบขายดี นำเข้ามาขายกันแทบไม่ทัน

แต่ด้วยความเป็นของใหม่ ระบบการบริการหลังการขาย ก็เป็นเรื่องใหม่ แม้แต่ปัญหาราคาประกันภัยที่หลายคนที่ซื้อรถยนต์ไฟฟ้าไปต่างก็บ่นเป็นเสียงเดียวกัน และเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ก็มีปัญหาการตีความ ที่อ่อนไหว จนเป็นกระแสสังคมหลายครั้ง

วันก่อนมี เคสเกี่ยวกับอุบัติเหตุของรถยนต์ไฟฟ้า แผลแค่นิดเดียว แต่กลับเป็นจุดสำคัญ จนถูกตีความให้ต้องขายรถทั้งคันเป็นซากรถ ทั้งที่รถดังกล่่าวยังขับได้ดี เรื่องนี้น่าสนใจศึกษา

ควันยังไม่ทันจาง ล่าสุดเกิดกรณีคล้ายกัน

เมื่อเวลา 11.10 น. วันนี้ 27 พ.ย.65 ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งโพสต์ข้อความในกลุ่มรถไฟฟ้าอีวี ยี่ห้อที่เป็นข่าวล่าสุดว่าขับถอยขึ้นสันขอบปูน แบตฯ บิ่น ศูนย์ตีราคาซ่อมกว่า 6 แสนบาท โดยรายนี้ระบุว่า ตนเองใช้รถไฟฟ้าที่เกิดเรื่องอยู่ ปรากกฎว่า เมื่อวันจันทร์ที่ 21 พ.ย 65 ที่ผ่านมา แฟนตนเอารถไปเข้าศูนย์ที่จังหวัดสุพรรณ พอเลี้ยวเข้าศูนย์ ทางขึ้นค่อนข้างชัน จึงมองไม่เห็นฟุตบาท รถจึงเกยฟุตบาทเล็กน้อย

ต่อมาทางประกันแจ้งว่าต้องเปลี่ยนแบตราคา 620,000 บาท แต่ประกันจะเคลมให้ประมาณ 580,000 ที่เหลือให้ผมจ่ายส่วนต่าง แต่ผมไม่ยอม

ขณะที่ประกันได้เสนอคืนเงินประกัน 70% ตนก็ถามว่า แล้วส่วนต่างที่ผมจ่ายไปใครรับผิดชอบ ในเมื่อตอนออกรถ การันตีว่า ประกันแบตเตอรี่ที่ 8 ปี หรือ 160,000 กิโล รถผมเพิ่งวิ่งไป แค่ 30,000 กว่าโล ตอนนี้ยังเงียบไม่มีคำตอบ

ก่อนหน้านี้ก็มีกรณีดัง

ผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ Suang Suang โพสต์เรื่องราวของตัวเอง ว่าขับรถยนต์ไฟฟ้ายี่ห้อหนึ่ง เกิดอุบัติเหตุใต้ท้องรถครูดนิดเดียว แต่ถุกประกันตีค่าเสียหาย ต้องขายซาก ทำให้ต้องขาดทุนอย่างมาก เธอเล่ารายละเอียดดังนี้

ถ้าไม่เจอกับตัว ไม่มีทางเข้าใจ และส่วนตัว ดิฉันจะสู้ค่ะ แต่อยากขอถามด้วยเหมือนกันว่า ถ้าเป็นคุณ คุณจะสู้ไหม?!!

ออกรถใหม่ ประกันชั้น 1 เกิดอุบัติเหตุเล็กน้อย แต่ถูกตีค่าเสียหายสูงลิบจนประกันฯเสนอคืนทุนฯแบบอุบัติเหตุหนักที่เสียหายทั้งคันและให้โอนกรรมสิทธิเป็นซาก!!

ดิฉันได้ออก รถ ……… รุ่น ……… ใหม่ จ่ายไปร่วมๆล้านเศษ พร้อมประกันชั้น 1 ตามแคมเปญจากทาง G……… ขับมาได้เดือนนึง เกิดอุบัติเหตุเพียงเล็กน้อย มุมกล่องครอบแบตใต้ท้องรถครูดกับสันขอบทางทำให้มุมฝากล่องแบตอ้าออกมา ซึ่งรถก็ยังขับได้ตามปกตินำรถเข้าตรวจที่ศูนย์ G……สาขา…… และนำกลับไปใช้ตามปกติเพื่อรอนัดหมายฯ แต่กลายเป็นว่าทางประกันติดต่อมาแจ้งพิจารณาคืนทุนประกันที่ 770,000 บาท และให้โอนกรรมสิทธิของรถแก่ประกันเสมือนเป็นซาก เพราะทาง G……ตีค่าซ่อมสูงเกิน 70% ของวงเงินคุ้มครอง….ช๊อคไหมคะ

หากเป็นคุณ คุณคิดว่าอย่างไร จากอุบัติเหตุที่มีเสียหายภายนอกเพียงเล็กน้อย ถูกตีมูลค่าความเสียหายสูงลิบ ราวกับอุบัติเหตุรุนแรงจนเป็นซากถึงขนาดที่ประกันฯพิจารณาคืนทุนประกัน!! หากเป็นอย่างนี้ ไม่เท่ากับว่าลูกค้าจู่ๆ ก็ต้องสูญเงินราว 2 แสนกว่าบาทจากอุบัติเหตุเพียงเล็กน้อย ทั้งที่มีประกันชั้น 1

ภาพประกอบไม่เกี่ยวกับเนื้อหา

เหตุเกิดเมื่อวันที่ 18 กันยายน 2565 ที่ผ่านมา หลังจาก ออกรถมาได้1เดือนพอดี (18 สิงหาคม 2565) สามีดิฉันและดิฉันขับรถเข้าซอยทางศรีนครินทร์ และเนื่องจากเป็นซอยแคบ มีรถสวนมา เราจึงถอยรถ เพื่ออำนวยความสะดวกให้รถเขาผ่านไปก่อน แต่ในขณะถอย ขับปีนขึ้นสันขอบทางเล็กน้อย ทำให้สันขอบทางไปโดนถูกใต้ท้องรถ มีเสียงดังเล็กน้อยแต่รถยังขับได้ปกติ เหมือนไม่เป็นอะไร

จนเมื่อกลับถึงบ้าน เราก็ลองก้มลงมองใต้รถ ก็พบว่ามุมของฝาครอบกล่องแบตอ้าออก จึงรีบแจ้งบริษัทประกันมาช่วยดู ว่าจะทำอย่างไรได้บ้าง และดำเนินการเคลมตามขั้นตอนปกติ โดยไม่คิดอะไร เพราะเราวางใจว่าเรามีประกันชั้น 1 และเห็นว่าเป็นเพียงอุบัติเหตุเล็กน้อย จึงได้นัดหมายนำรถเข้าศูนย์ที่ G……… สาขา…… หลังจากนั้น เราก็นำรถกลับไปใช้ก่อนเพื่อรอนัดหมายการเข้าซ่อมแซมตามเลขเคลมต่อไป

แต่แล้ว อีกประมาณ 2 สัปดาห์ ถัดมา ทางบริษัทประกันฯ แจ้งมาว่า ทาง G…….ตีมูลค่า ค่าซ่อม 602,998.50 บาท (ช็อคครั้งที่ 1) และทางประกันฯ บอกว่าเกินมูลค่าที่ประกันชั้น1 จึงต้องตีเป็นซากรถ โดยคืนเงินทุนประกันให้ 770,000 บาทพร้อมกับต้องส่งซากให้ประกันฯ (ช๊อคครั้งที่ 2) เราตกใจมาก ทำไมเป็นแบบนี้ เราเจอประสบอุบัติเหตุที่เล็กน้อยมากๆ และรถก้อยังขับได้ปกติ ไม่มีปัญหา และเราก้อรักรถเรามาก ถึงขนาดเคยเขียนชื่นชมใน เว็บ………..

แต่สิ่งที่เราได้รับจาก G…….หลังจากที่เราได้ร้องขอฝ่านสาขา……..ไป ให้เข้ามาดูแลกรณีนี้โดยเร็ว แต่ผ่านมากว่า 2 เดือน กลับ มีเพียงจดหมายจากทางฝั่งประกัน ยืนยันว่าจะตีเป็นซากรถให้เรา ถึง 3 ฉบับ โดยทาง G…….กลับเงียบเฉย ไม่เคยแม้แต่จะนัดหมายเพื่อขอตรวจสอบความเสียหายในรายละเอียดหรือให้ข้อมูลการวิเคราะห์ทางเทคนิคฯอะไรเลย

ภาพประกอบไม่เกี่ยวกับเนื้อหา

จนล่าสุดเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ทางฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ของ G……… จึงติดต่อกลับมา และ ยังยืนยันว่าค่าซ่อมเป็นมูลค่า 602,998.50 บาท โดยประกันจะช่วย 5 แสนกว่า และ G……..จะให้ส่วนลดอีกประมาณ 40,000 กว่า ส่วนที่เหลือราวๆ 30,000 ลูกค้าจะต้องจ่ายเอง คำถามคือ

1) ดิฉันสมควรต้องรับผิดชอบส่วนต่างร่วม 30,000 บาทนี้อย่างนั้นหรือ ทั้งที่รถมีประกันชั้น1 ด้วยอุบัติเหตุที่มีความเสียหายภายนอกเพียงเล็กน้อย แต่กลับถูกประเมินอย่างไม่ใส่ใจให้ต้องแบกมูลค่าความเสียหายที่สูงลิบลิ่ว (ด้วยราคาค่าอะไหร่+ค่าแรง ที่กำหนดโดย G…..) ซึ่งจนแม้ถึงขณะนี้ ดิฉันก็ยังไม่ได้รับการนัดหมายเข้าตรวจสอบทางเทคนิคใดๆจาก G…… เพื่อให้ความกระจ่างกับลูกค้าว่า อะไรบ้างต้องซ่อม ต้องเปลี่ยน เพราะอะไร มีราคารายละเอียดอะไรบ้าง ฯลฯ

2) ทำไมแคมเปญประกันชั้น 1 ที่ทาง G……..ให้กับลูกค้า เป็นทุนคุ้มครองความเสียหายเพียง 770,000 บาท ทั้งที่ตัวรถมีมูลค่า 959,000 บาท (หลังหักเงินสนับสนุนจากรัฐ) ซึ่งถามจริง มีลูกค้าท่านไหนบ้างที่ซื้อรถจากทางบริษัทฯ จะสังเกตมูลค่าเอาประกันไม่ตรงคุ้มครองเต็มมูลค่าจริงที่ซื้อมา …. แต่เอาเป็นว่า ทุนประกันฯคุ้มครองไม่เต็มมูลค่ารถทั้งคันตั้งแต่ต้น พอมีความเสียหายสูงจึงเสนอจะปิดคืนเพียงทุนประกัน แล้วจะเอาความชอบธรรมอะไรเข้าครอบครองกรรมสิทธิในรถทั้งคัน โดยเหมาเอาเองว่าเป็นซากและจะต้องโอนให้ประกันฯ … ประเด็นนี้ คงต้องพึ่งความเป็นธรรมจาก คปภ.

3) ทำไมบริษัท G……… ถึงตีมูลค่าซ่อมสูงถึง 602,998.50 บาท ทั้งๆที่ ความเสียหายมีเพียงแค่ฝากล่อมคุมแบตที่อ้าออก แม้จะอ้างว่าต้องเปลี่ยนกล่องครอบแบตและชุดแบตใหม่ทั้งชุด แต่ จริงๆแล้วคุณเป็นผู้ผลิตแบตดังกล่าว จะไม่มีหนทางเชียวหรอ ถ้าเช่นนั้น ใครก้อตามที่เจออุบัติเหตุใต้ท้องรถเพียงเล็กน้อย คงต้องได้รับความเสียหายเช่นเดียวกับดิฉันทุกรายไป! หากผู้บริโภครับรู้ในเรื่องนี้ ใครจะกล้าเลือกซื้อรถจากค่ายนี้ ดิฉันอยากเห็นการบริหารจัดการของบริษัท G……. ที่ดีและสมควรกว่านี้ ใส่ใจดูแลและไม่ละเลยลูกค้าอย่างกรณีของดิฉัน ที่คิดค่าใช้จ่ายทำกำไรฉาบฉวยแบบเอาง่ายเข้าว่า จากความเสียหายเล็กน้อยนี้ในราคาที่แม้แต่บริษัทประกันฯ ยังต้องส่ายหน้า และรถนี้ก้อเป็นของลูกค้าคุณ คุณควรจะบริหารค่าใช้จ่ายแบตที่มีความเสียหายเพียงแค่ฝาที่คลอบแบตแบบไหนกัน

“เดิมทีดิฉันชอบรถคันนี้มาก และยังได้จองรถรุ่นGT ไว้อีกคันหนึ่งด้วย จนเมื่อเจอปัญหานี้ ดิฉันจึงคิดจะสละสิทธิ์การจองฯ และ หันมาต่อสู้ให้ถึงที่สุด และใช้เรื่องราวของดิฉันเป็นกรณีศึกษาแก่เพื่อนๆผู้บริโภคได้พึงระวัง ให้พิจารณารายละเอียดความเสี่ยงให้รอบด้าน และคำนึงถึงความเป็นมืออาชีพและจรรยาบรรณของผู้ประกอบการเป็นสำคัญ” ผู้ใช้รถคันดังกล่าว ระบุ

เรื่องนี้จะจบยังไงคงต้องติดตาม แต่นับว่าเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะฝั่งผู้บริโภค ฝั่งผู้ขาย บริษัทรถ หรือแม้แต่ฝั่งประกันฯ

แต่ที่น่าสนใจ สำหรับการพัฒนารถในอนาคต คือการวางตำแหน่งของแบตเตอรี่ จะทำยังไง ให้มันไม่่อ่อนไหวเกินไป กับสภาพการใช้รถเมืองไทย ในสภาวะที่แบตเตอรี่ราคาก่อนนึ่งเท่ากับรถยนต์เครื่องสันดาป 1 คัน แบบนี้ เป็นโจทย์ให้ต้องคิดกันต่อไป