ทัพยูเครนโต้กลับสายฟ้าแลบ กู้เมืองชุมทางสำคัญแนวรบตะวันออก รัสเซียทิ้งฐานล่าถอย

Ukrainian army's fighters sit on the top of an armed vehicle in kharkiv on September 9, 2022, amid Russian invasion of Ukraine. (Photo by Juan BARRETO / AFP) (Photo by JUAN BARRETO/AFP via Getty Images)

ทัพยูเครนโต้กลับสายฟ้าแลบ กู้เมืองสำคัญแนวรบตะวันออก รัสเซียทิ้งฐานล่าถอย นักวิเคราะห์ชี้การรุกคืบของสงครามในรอบ 7 เดือน

 

วันที่ 11 ก.ย. บีบีซี รายงานสถานการณ์สงครามในยูเครนว่า กองกำลังรัสเซียล่าถอยออกจากหลายเมืองหลัก ทางตะวันออกของยูเครนแล้ว ขณะที่การโต้กลับอย่างรวดเร็วของยูเครนทำให้ยูเครนได้พื้นที่คืนมากขึ้น หลังเจ้าหน้าที่ยูเครนระบุเมื่อวันเสาร์ที่ 10 ก.ย. ว่า ทหารยูเครนเข้าเมืองคูเปียนสค์ ศูนย์กลางพลาธิการทางตะวันออกที่สำคัญสำหรับกองกำลังรัสเซีย

ต่อมา กระทรวงกลาโหมของรัสเซียระบุว่า ทหารรัสเซียล่าถอยออกจากเมืองอิซยุมที่อยู่ใกล้เคียง เพื่อให้ทหารรัสเซียจัดเป็นกลุ่มใหม่ และยังยืนยันว่า การถอนทหารออกจากเมืองบาลาคลียา เมืองหลักเมืองที่สาม เพื่อไปหนุนกำลังในแนวรบของแคว้นโดเนตสค์

ขณะที่ โซเชียลมีเดียที่ติดแฮชแท็ก #Ukraine #ยูเครน ได้นำเสนอภาพของการล่าถอยของทัพรัสเซียและภาพของกองกำลังยูเครนได้เข้าปลดปล่อยเมืองยุทธศาสตร์สำคัญด้านการส่งกำลังบำรุงนี้ได้โดยปราศจากการต่อต้าน อีกทั้งมีภาพคลังแสงของรัสเซียที่มีกระสุนพร้อมใช้งานถูกทิ้งไว้เป็นจำนวนมาก

รายงานระบุว่า หากยูเครนรุกคืบสำเร็จจะเป็นการรุกคืบที่สำคัญที่สุดตั้งแต่รัสเซียถอนออกจากพื้นที่รอบกรุงเคียฟเมื่อเดือนเม.ย.

ประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกี กล่าวเมื่อค่ำวันเสาร์ที่ 10 ก.ย. ว่า ตอนนี้ยูเครนปลดปล่อยพื้นที่ 2,000 ตารางกิโลเมตร จากรัสเซียตั้งแต่เริ่มโต้กลับอีกครั้งเมื่อช่วงต้นเดือนก.ย. และชี้ว่าครึ่งหนึ่งของพื้นที่ดังกล่าว ยูเครนยึดคืนภายใน 48 ชั่วโมงที่ผ่านมาเพียงลำพัง เป็น 2 เท่าของพื้นที่ดินแดนที่นายเซเลนสกีระบุว่าได้รับการปลดปล่อยเมื่อผู้นำยูเครนกล่าวเมื่อเย็นวันพฤหัสบดีที่ 8 ก.ย.

รายงานระบุว่า การยอมรับการถอนกองกำลังรัสเซียออกจากเมืองอิซยุมมีความสำคัญ เนื่องจากเมืองดังกล่าวเป็นศูนย์ทางทหารสำคัญสำหรับรัสเซีย

“ปฏิบัติการ 3 วัน ดำเนินการลดระดับ และจัดการโอนกลุ่มทหารเมืองอิซยุมและเมืองบาลาคลียาไปดินแดนของสาธารณรัฐประชาชนโดเนตสค์ และเพื่อป้องกันความเสียหายต่อกองทหารรัสเซีย ความพ่ายแพ้ของไฟอันทรงพลังจึงเกิดกับศัตรู” แถลงการณ์รัสเซียระบุ

สำนักข่าวทาสซ์ สื่อทางการรัสเซีย รายงานว่า ไม่นานหลังจากนั้น หัวหน้าผู้บริหารดินแดนบางส่วนที่รัสเซียยึดครองของแคว้นคาร์คิฟ แนะนำให้ผู้อยู่อาศัยอพยพไปรัสเซียเพื่อรักษาชีวิต

ส่วนผู้ว่าการของแคว้นเบลโกรอดในรัสเซียที่อยู่ติดกันระบุว่า จะมีการจัดเลี้ยงอาหารเคลื่อนที่ การทำความร้อน และความช่วยเหลือทางการแพทย์แก่ประชาชนที่ต่อแถวเพื่อข้ามพรมแดนมารัสเซีย

รายงานระบุว่า การรุกคืบของยูเครนจะถือเป็นสัญญาณว่า กองทัพยูเครนมีศักยภาพที่จะยึดดินแดนที่รัสเซียยึดครองถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ขณะที่ยูเครนยังขอการสนับสนุนทางทหารจากพันธมิตรตะวันตกที่ได้รับแรงกดดันอย่างหนัก

นายดมีโตร คูเลบา รัฐมนตรีต่างประเทศยูเครน กล่าวว่า ความคืบหน้าล่าสุดดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า กองกำลังยูเครนสามารถมีชัยต่อรัสเซียได้ และสามารถยุติสงครามได้เร็วขึ้นด้วยอาวุธจากตะวันตกที่ยูเครนได้รับมากขึ้นเฮียร์ซอน ทางใต้ของยูเครน

ทั้งนี้ ยูเครนเปิดฉากการโต้กลับกลับทางตะวันออกตั้งแต่ช่วงต้นสัปดาห์นี้ ขณะที่ความสนใจจากนานาชาติมุ่งไปที่การรุกคืบตามการคาดการณ์ใกล้เมืองเฮียร์ซอน

นักวิเคราะห์เชื่อว่า รัสเซียเปลี่ยนเส้นทางทหารที่เก่งกาจที่สุดบางส่วนเพื่อปกป้องเมืองดังกล่าว แต่เจ้าหน้าที่ยูเครนระบุว่า นอกจากได้พื้นที่ทางตะวันออกแล้ว ยูเครนยังได้พื้นที่ทางตอนใต้ด้วย

นาตาเลีย กูเมนูย์ค โฆษกกองบัญชาการทางใต้ของกองทัพยูเครน กล่าวว่า ยูเครนรุกคืบระหว่าง 2 ถึงหลายสิบกิโลเมตรตามแนวรบนั้น

รายงานระบุว่า อย่างไรก็ตาม กองกำลังรัสเซียที่ต่อสู้ในแนวรบทางใต้ทะลวงเข้าไปในตำแหน่งป้องกัน และทหารของยูเครนต้องเผชิญกับการต่อต้านอย่างหนักตั้งแต่เริ่มการรุกราน

Blitzkrieg แห่งศตวรรตที่ 21

ขณะที่เพจ ThaiArmedForce ซึ่งเป็นเพจสาธารณะเชิงวิเคราะห์ด้านความมั่นคงและการทหารของไทย ได้วิเคราะห์การโต้กลับแบบสายฟ้าแลบของยูเครนที่ทำให้สามารถปลดปล่อยเมืองชุมทางสำคัญอย่างอิซยุมได้ภายใน 1 วัน ว่า

#ยูเครน เปิดการโจมตีตอบโต้ครั้งใหญ่ต่อ #รัสเซีย สมรภูมิเริ่มเปลี่ยนแปลงครั้งแรกในรอบหลายเดือน

อย่างที่เราทราบกันดีคือช่วงหลายวันมานี้ กองทัพยูเครนเปิดการโจมตีตอบโต้ครั้งใหญ่ในคาร์คิฟ ซึ่งช่วงหลังมีข้อมูลไม่มากนักจากทางฝั่งยูเครน เนื่องจากการปิดกั้นข้อมูลที่เผยแพร่ออกมา แต่กลายเป็นข้อมูลจากฝั่งรัสเซียที่ยืนยันการบุกนี้ก่อนที่ยูเครนจะออกมาเปิดเผยเสียอีก โดยในช่อง Telegram ที่สนับสนุนรัสเซียหลายช่องยืนยันว่ารัสเซียได้ถอนกำลังออกจากหลายเมืองในภูมิภาคคาร์คิฟแล้ว

หลังจากรัสเซียยึดซีวีโรโดเนสกต์ (Severodonetsk) ซึ่งเป็นเมืองสำคัญในแคว้นลูฮันสก์ได้สำเร็จในเดือนมิถุนายนด้วยกลยุทธการยิงปืนใหญ่จำนวนมากเข้าทำลายเมืองเพื่อกดกองกำลังฝ่ายยูเครนซึ่งทำลายทั้งสิ่งก่อสร้างและขวัญกำลังใจ ซึ่งถือว่าเป็นช่วงที่รัสเซียประสบความสำเร็จในการบุกค่อนข้างมาก

แต่หลังจากนั้นการเปลี่ยนแปลงของสนามรบก็มีน้อยมาก การรบเริ่มเป็นการตอบโต้กันไปมา จนเริ่มมีความเปลี่ยนแปลงคือการที่ยูเครนเริ่มเปิดการรุกทีละน้อยในเคอร์ซอน และเริ่มยึดพื้นที่ได้เรื่อย ๆ ทีละน้อย ทำให้กองกำลังรัสเซียเริ่มต้องกระจายกำลังไปรับมือทั้งในภาคใต้และภาคตะวันออกของยูเครน ซึ่งทำให้กำลังที่จะป้องกันลดลงทั้งสองส่วน

ไม่ชัดเจนว่าการรุกเคอร์ซอนเป็นแผนลวงหรือแผนหลักของยูเครน แต่การที่รัสเซียตัดสินใจส่งกำลังส่วนหนึ่งไปยังเคอร์ซอน ทำให้ยูเครนฉวยโอกาสนี้ในการเปิดการโจมตีตอบโต้ในคาร์คิฟด้วยการใช้ยานเกราะจำนวนมากเป็นหัวหอกในการรุกอย่างรวดเร็วไปตามแนวถนนและสร้างทิศทางการบุกเพื่อทำลายและตัดหลังกำลังของรัสเซียที่อยู่ในแถบคาร์คิฟ จนมีคนเปรียบเทียบว่ามันคือ Blitzkrieg ในศตวรรตที่ 21

รัสเซียเมื่อคำนวณแล้วว่าไม่คุ้มที่จะเสี่ยงตั้งรับต่อไป ก็ถอนทัพออกมาอย่างรวดเร็วเพื่อรักษากำลังส่วนใหญ่เอาไว้ แต่ทิ้งอาวุธจำนวนหนึ่งเอาไว้ไม่ได้ทำลาย ทำให้เราเห็นภาพยูเครนสามารถยึดอาวุธ กระสุน และยานเกราะจำนวนหนึ่งที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ได้ ซึ่งถือว่าการโจมตีตอบโต้ของยูเครนในคาร์คิฟค่อนข้างประสบความสำเร็จ

ส่วนกระทรวงกลาโหมของรัสเซียอธิบายว่านี่ไม่ใช่การถอยทัพแต่เป็นการปรับกำลังเพื่อป้องกันโดเนสกต์ โดยระหว่างถอนกำลังสามารถสังหารทหารยูเครนได้กว่า 2 พันคน และทำลายยานเกราะได้กว่าร้อยคัน

ใครจะเชื่อคำอธิบายของฝ่ายไหนก็แล้วแต่ศรัทธาของท่าน แต่ข้อเท็จจริงที่ยืนยันได้จากทั้งฝั่งยูเครนและรัสเซียคือ ยูเครนสามารถยึดดินแดนกลับได้พอสมควร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมืองอิซุมที่เป็นเมืองขนาดใหญ่และเป็นชุมทางการขนส่ง ซึ่งถ้ายูเครนตัดสินใจหยุดที่นี่ก็ยังถือว่าประสบความสำเร็จในการรบก่อนเข้าสู่ฤดูหนาว หรืออาจจะใช้เป็นฐานเพื่อการรุกต่อก็ต้องตามดูกันต่อไป

มีบางสิ่งที่เราเรียนรู้จากเรื่องนี้ก็คือ

1.อาวุธที่เป็นจุดเปลี่ยนเกมส์ Game Changer ไม่ใช่ M777 แต่เป็น M142 HIMARS (ระบบยิงจรวดเคลื่อนที่สมรรถนะสูงของสหรัฐฯ) หลังจากยูเครนได้รับ HIMARS มา สถานการณ์ก็เปลี่ยนไปมาก ยูเครนประสบความสำเร็จในการใช้ HIMARS ในการทำลายโรงเก็บกระสุนจำนวนมากในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคม รวมถึงทำลายสะพานหรือกองบัญชาการส่วนหน้าด้วยการใช้จรวดนำวิถี GMLRS

ซึ่งทำให้รัสเซียกลับไปเจอสถานการณ์เดิมคือปัญหาการขาดแคลนกระสุนและการส่งกำลังบำรุง ตัวเลขการยิงปืนใหญ่ต่อวันลดลงอย่างชัดเจน เมื่อรอจนได้ที่ ยูเครนก็เปิดการโจมตีตอบโต้อย่างรวดเร็ว ซึ่งทำให้รัสเซียที่ขาดแคลนสิ่งสนับสนุนต่าง ๆ ต้องถอนกำลังออกไป

2. การส่งกำลังบำรุงยังเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในสงครามเสมอ ซึ่งชาติ NATO ยังประกาศให้การสนับสนุนยูเครนอย่างต่อเนื่องทั้งในด้านอาวุธที่มีการส่งอาวุธให้กับยูเครนจนกองทัพยูเครนเริ่มกลายสภาพเป็นกองทัพลูกผสมที่ใช้อาวุธโซเวียตและตะวันตก

นอกจากนั้นยังมีสิ่งที่ไม่ค่อยได้พูดถึงกันนักคือการฝึกกำลังพลของยูเครนที่นำโดยสหราชอาณาจักรและชาติยุโรปซึ่งรับหน้าที่ฝึกพลเรือนยูเครนจำนวนมากให้ทำการรบเป็นทั่วยุโรป ทำให้ยูเครนมีทหารใหม่ที่ได้รับการฝึกมาแบบตะวันตก เมื่อประกอบอาวุธตะวันตกที่ยูเครนมีใช้ ทำให้ยูเครนเริ่มประสบความสำเร็จในการโจมตีตอบโต้ด้วยการจัดและใช้ยุทธวิธีแบบตะวันตกมากขึ้น

สงครามครั้งนี้พิสูจน์ว่า ยุทธวิธีตะวันตกใช้ได้ผลกว่ายุทธวิธีของรัสเซีย

3. จนถึงเดือนที่ 7 ของสงคราม รัสเซียยังครองอากาศไม่ได้ ตรงกันข้าม การที่ยูเครนได้รับ AGM-88 HARM (จรวดต่อต้านรังสีจากอากาศสู่พื้น) ทำให้ยูเครนสามารถกดดันระบบป้องกันภัยทางอากาศของรัสเซียได้ค่อนข้างมาก ซึ่งทำให้เกิดช่องโหว่ในระบบป้องกันภัยทางอากาศในหลายจุด และกองทัพอากาศยูเครนเริ่มมีเสรีภาพในการปฏิบัติการมากขึ้น แม้ว่าจะยังประสบกับความสูญเสียเนื่องจากเครื่องบินของยูเครนล้าสมัยกว่ารัสเซีย

ในปัจจุบัน นักบินยูเครนจำนวนหนึ่งกำลังฝึกเปลี่ยนแบบและฝึกความชำนาญบนเครื่องบินขับไล่ของตะวันตก ซึ่งเชื่อว่าเป็น F-16 อยู่ในสหรัฐอเมริกา แม้ว่าจะต้องกินเวลาหลายเดือน แต่การฝึกของสหรัฐเป็นการฝึกที่มีประสิทธิภาพสูงและค่อนข้างสมจริง ทำให้มีความเป็นไปได้ที่จะสร้างความชำนาญในการรบให้กับนักบินยูเครนได้ในระดับหนึ่ง

ถ้าปลายปีนี้หรือปีหน้า ยูเครนได้รับเครื่องบินขับไล่ตะวันตกมาใช้งานตามกฎหมายเช่ายืมของสหรัฐฯ ก็น่าจะเป็นอีก Game Changer หนึ่งที่ทำให้สงครามเปลี่ยนไปอีกครั้ง

———————-

สิ่งนี้ไม่ได้หมายความว่ายูเครนจะชนะสงครามหรือรัสเซียจะแพ้สงคราม เพราะนอกจากจะต้องมานั่งนิยามว่าการชนะหรือแพ้ของแต่ละฝ่ายจะวัดจากอะไรแล้ว ข้อเท็จจริงยังชัดเจนว่าพื้นที่ที่ยูเครนยึดได้ก็เป็นแค่ส่วนน้อยเท่านั้น ยังมีพื้นที่อีกมากที่รัสเซียยังครอบครองอยู่ รวมถึงโดยธรรมชาติของสงครามแล้ว การรุกอย่างรวดเร็วจะเริ่มช้าลงเมื่อเวลาผ่านไป ถ้ายูเครนไม่สามารถรักษาจังหวะของการบุกและยึดสายส่งกำลังบำรุงได้ การบุกก็จะหยุดลงเปลี่ยนเป็นการพยายามรักษาพื้นที่แทน เหมือนที่รัสเซียบุกได้ช้าจนต้องหยุดแม้จะเริ่มบุกในเฟสที่สองมาตั้งแต่เดือนเมษายนก็ตาม ซึ่งหมายถึงนี่จะเป็นสงครามระยะยาว ยังไม่มีบทสรุปภายในเร็ว ๆ นี้แน่นอน

เรื่องพลังงานและก๊าซธรรมชาติในยุโรปจะเป็นปัจจัยในการกดดันชั้นดีของรัสเซียที่กำลังใช้พลังงานเป็นอาวุธที่ค่อนข้างได้ผล ยูโรปยังต้องพบกับความลำบากอีกมากในการหาแหล่งพลังงานทดแทนแหล่งพลังงานของรัสเซียเพื่อเตรียมรับหน้าหนาวที่กำลังจะมาถึง แต่ในทางกลับกัน ยิ่งเวลาผ่านไป ยิ่งรัสเซียไม่ส่งก๊าซให้ยุโรป ยุโรปก็จะยิ่งเจอแหล่งจัดหาพลังงานใหม่ ๆ มากขึ้น ซึ่งทำให้ผลของการใช้พลังงานเป็นอาวุธของรัสเซียจะน้อยลงเรื่อย ๆ

ดังนั้นเรื่องนี้รัสเซียได้เปรียบระยะสั้น แต่ยุโรปจะได้เปรียบในระยะยาว

และทั้งหมดนี้สามารถเป็นบทเรียนให้กับกองทัพทั่วโลกได้ รวมถึงกองทัพไทยเช่นกันว่า การส่งกำลังบำรุงมีความสำคัญสูงสุดยิ่งกว่าสิ่งใด ๆ อาวุธแม้จะดีเพียงใด แต่ถ้าไม่มีกระสุนให้ยิง ก็ไม่ต่างอะไรกับของตั้งโชว์ และอาวุธที่ดีที่สุดอาจไม่ต้องเป็นอาวุธที่ทันสมัยที่สุด แต่เป็นอาวุธที่เหมาะสมกับการใช้งานที่สุดทั้งในแง่ประสิทธิภาพเหมาะสม ค่าใช้จ่ายที่เหมาะสม และการซ่อมบำรุงที่เหมาะสม ก็สามารถเปลี่ยนผลของการรบได้เช่นกัน