‘ก้าวไกล’ จัดแคมเปญใหญ่สู่เลือกตั้ง “พิธา” ลั่นแคนดิเดตนายกฯ เลขาฯย้ำความเปลี่ยนแปลงเริ่มขึ้นแล้ว

ประกาศแคมเปญใหญ่โหมโรงเลือกตั้ง “ต้องก้าวไกล ให้ไทยก้าวหน้า” ‘ชัยธวัช’ปลุกคนไทยอย่าสิ้นหวัง ความเปลี่ยนแปลงเริ่มต้นขึ้นแล้ว การเลือกตั้งครั้งหน้าจะเป็นการเดินหน้าความเปลี่ยนแปลงให้ประเทศไทยก้าวหน้าขึ้น ‘พิธา’ ประกาศพร้อมเป็นนายก พาไทยไปแข่งขันบนเวทีโลก “ศิริกัญญา-พริษฐ์” ลั่นไม่หยุดสร้างสรรค์นโยบายเพื่อเปลี่ยนประเทศให้ก้าวหน้า

 

วันที่ 9 กันยายน 2565 เมื่อเวลา 13.00 น. ณ ตึกอนาคตใหม่ ในงานเปิดแคมเปญเลือกตั้งพรรคก้าวไกล “ต้องก้าวไกล ให้ไทยก้าวหน้า” ชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล โดยประกาศยุทธศาสตร์การเลือกตั้งของพรรคก้าวไกลว่าไม่ใช่แค่การเปลี่ยนรัฐบาล แต่ต้องเป็นการเปลี่ยนประเทศให้ก้าวหน้า อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน

ชัยธวัช กล่าวว่าประเทศไทยถอยไปไกลกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว 8 ปีภายใต้ระบอบประยุทธ์ ประเทศของเรา ถอยหลังจนไปอยู่ปากเหว ในทุกด้าน การเมืองตกต่ำ ประชาชนตกยาก เศรษฐกิจตกขบวน หลังการรัฐประหาร พวกเขาเคยบอกพวกเราว่า จะขอเวลาอีกไม่นาน จะเข้ามายุติความขัดแย้งในสังคม จะเข้ามาปราบนักการเมืองโกง จะขอปฏิรูปประเทศก่อนเลือกตั้ง แต่ในความเป็นจริง พวกเขากลับสร้างระบอบการเมืองเพื่อสืบทอดอำนาจ สถาปนาอำนาจที่ไม่ได้มาจากประชาชน
.
“พวกเขาใช้คุก-ศาล-ทหาร-ตำรวจ ทุบทำลายสิทธิเสรีภาพของประชาชน คนหนุ่มสาวและประชาชนนับร้อยนับพัน ถูกจับกุมคุมขัง ด้วยข้อหาความมั่นคงอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน”

“แต่พี่น้องที่รักทุกท่านครับ พวกเราอย่าเพิ่งสิ้นหวัง เพราะเราปล่อยให้ประเทศไทย ถอยหลังไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว และความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เกิดขึ้นได้ ถ้าพวกเราช่วยกันเพิ่มความเปลี่ยนแปลงให้มากขึ้น คนละไม้คนละมือ” ชัยธวัชกล่าว
.
ในส่วนของการเลือกตั้งครั้งหน้าที่กำลังจะเกิดขึ้น ชัยธวัช กล่าวว่าการเลือกตั้ง 2566 ไม่ใช่แค่เปลี่ยนรัฐบาล แต่ต้องเปลี่ยนประเทศ พี่น้องที่รักทุกท่าน พวกเราอย่าเพิ่งสิ้นหวัง เพราะความเปลี่ยนแปลง ความก้าวหน้า ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
.
“ประชาชนและคนหนุ่มสาว ตื่นตัวขึ้นครั้งใหญ่ เสียงร้องเรียกถึงอนาคตที่ก้าวหน้า ดังขึ้นทุกหย่อมหญ้า
การเมืองแบบใหม่ นักการเมืองแบบใหม่ ความคิดทางการเมืองแบบใหม่ กำลังเติบโตขึ้น สิ่งใหม่ กำลังเข้ามาแทนที่สิ่งเก่า”
.
“เราสามารถทำให้สภาผู้แทนราษฎรยกระดับการทำงานเพื่อประชาชนได้ เราสามารถทำให้สภาผู้แทนราษฎรขยับเพดาน กลายเป็นพื้นที่ที่สะท้อนอำนาจสูงสุดของประชาชนได้ เราเริ่มผลักดันกฎหมายที่สร้างความเสมอภาคเท่าเทียมให้แก่ประชาชนได้ เริ่มผลักดันกฎหมายที่ทลายทุนผูกขาด เปิดโอกาสให้ปากท้องของประชาชนได้ ความเปลี่ยนแปลง ความก้าวหน้าเริ่มต้นขึ้นแล้ว แต่มันยังไม่มากพอ”
.
การเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงจึงมีความหมายมากกว่าการเปลี่ยนขั้วรัฐบาล ไม่ใช่การเลือกตั้ง เพียงเพื่อเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรีแต่การเลือกตั้งปี 2566 คือการเลือกตั้ง เพื่อเพิ่มความเปลี่ยนแปลง ให้กับประเทศของเรา
.
การเลือกตั้งครั้งหน้าจะเปลี่ยนประเทศไทยให้ก้าวหน้า เปลี่ยนไทยให้เป็นประเทศ ที่อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน เปลี่ยนระบบการเมือง ระบบกฎหมาย ระบบราชการให้รับใช้ประชาชน จะเขียนรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่ แทนรัฐธรรมนูญฉบับ คสช. ต้องไม่มีใครอยู่เหนือรัฐธรรมนูญ อยู่เหนือกฎหมาย กองทัพต้องอยู่ภายใต้พลเรือน

การเลือกตั้งครั้งหน้า จะต้องปลดล็อคท้องถิ่นยุติระบบราชการรวมศูนย์ จะต้องเป็นการเปลี่ยนเศรษฐกิจและปากท้องของพี่น้องประชาชนให้ก้าวหน้าแบ่งปันดอกผลของความเจริญอย่างเป็นธรรม จะต้องเป็นการเปลี่ยนระบบการศึกษาจากระบบการศึกษาที่ทำให้เราโง่และเชื่อง ให้กลายเป็นระบบการศึกษาที่ทำให้เรามีความฝันเติบโตไปพร้อมกับโลกยุคใหม่ จะต้องเป็นการเปลี่ยนระบบสวัสดิการให้ถ้วนหน้า พอกันทีกับการพิสูจน์ความจนเพื่อรอคิวรับความเมตตาจากใคร จะต้องเป็นการเปลี่ยนประเทศไม่มีใครต้องติดคุก หรือต้องลี้ภัยออกนอกประเทศอีก เพียงเพราะฝันถึงประเทศชาติที่มีอนาคตของพวกเราทุกคน
.
“การเลือกตั้งจะกลายเป็นการเปลี่ยนประเทศได้ ก็ด้วยพลังของพวกเราทุกคน เปลี่ยนได้ด้วยการเมืองที่เห็นหัวประชาชน เปลี่ยนได้ ด้วยการเมืองที่กล้าหาญ มีเจตจำนงแน่วแน่ เปลี่ยนได้ ด้วยการเมืองที่ไม่วนกลับไปสู่วังวนแบบเดิม ประเทศไทยของเรา ถอยหลังไม่ได้อีกแล้ว มีแต่ต้องก้าวไกล ให้ไทยก้าวหน้าหนึ่งเสียงของทุกคน จะเป็นหนึ่งเสียง ที่เพิ่มความเปลี่ยนแปลงไปสู่อนาคต อย่ารอการเปลี่ยนแปลง แต่จงเป็นส่วนหนึ่งของมัน” ชัยธวัช กล่าวทิ้งท้าย

‘พิธา’ ประกาศพร้อมเป็นนายก พาไทยไปแข่งขันบนเวทีโลก โชว์วิสัยทัศน์สร้างอุตสาหกรรมไฮเทคผ่านการแก้ปัญหาน้ำประปา

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้เริ่มต้นเปิดงานด้วยการแสดงวิสัยทัศน์การบริหารประเทศแบบก้าวไกลด้วยการหยิบขวดน้ำดื่มขึ้นและชวนให้ผู้ฟังมองปัญหาระดับประเทศที่ซ่อนอยู่ในน้ำดื่มขวดนี้
.
“ทุกครั้งที่เรายกน้ำขึ้นมาดื่ม ทุกท่านเชื่อมั้ยครับว่า มันมีเรื่องราวอยู่เบื้องหลังที่สะท้อนความล้มเหลวและความไร้ประสิทธิภาพของรัฐไทย ความล้มเหลวของรัฐไทยในการให้บริการน้ำประปาที่สะอาดดื่มได้ทำให้คนไทยต้องแบกรับภาระค่าน้ำดื่มสูงขึ้นถึง 1,000 เท่า ทั้งๆ ที่ประเทศไทยที่มีทรัพยากรน้ำมหาศาล” พิธากล่าว
.
พิธากล่าวต่อว่า การประปาอาจจะบอกว่าตรวจคุณภาพน้ำในกรุงเทพฯ 2,000 จุดแล้วดื่มได้ แต่น้ำประปาผ่านตามท่อถึงบ้านเรา ไขก๊อกออกมาดื่มไม่ได้ ในกรุงเทพฯ บางพื้นที่ยังใสแต่ในต่างจังหวัด แต่ละบ้านต้องมาแข่งกัน ว่าน้ำประปาจะสีอะไร ใช้ซักผ้าไม่ได้ ใช้ล้างจานไม่ได้ ใช้อาบน้ำไม่ได้ ในประเทศอื่นๆ เขาควบคุมมาตรฐานความปลอดภัยของน้ำประปาโดยใช้ “แรงดันน้ำ” ที่ปลายท่อครับ ทำให้แบคทีเรียและความสกปรกในท่อก็จะยิ่งเข้ามาปนอยู่ในน้ำประปาได้ยาก
.
ในต่างประเทศตั้งค่าแรงดันน้ำขั้นต่ำที่ปลายทางเอาไว้สูง เปิดในแนวตั้งต้องพุ่งสูงขึ้นไม่ต่ำกว่า 10 เมตร ที่อเมริกาคือถ้าต่ำกว่า 14 เมตร ให้ต้มน้ำดื่ม ถ้าต่ำกว่า 3.5 เมตรเขาให้ล้างน้ำประปาคงค้างให้หมดแล้วนำน้ำไปตรวจแบคทีเรีย แต่สำหรับประเทศไทยเราไม่ได้กำหนดแรงดันน้ำปลายทางแรงดันในท่อหลักอยู่ที่ 6 เมตร มาถึงบ้านปลายทางไม่ได้กำหนดมาตรฐานเอาไว้ ทำให้เหลือแรงดันแค่ 2 เมตรเท่านั้น นี่คือสาเหตุที่ทำไมน้ำประปาถึงดื่มไม่ได้ และด้วยเหตุนี้เองถึงได้เกิดอุตสาหกรรมน้ำขวดขึ้นมา มูลค่า 5 หมื่นกว่าล้านบาท จากน้ำประปาที่ราคา 1,000 ลิตร ราคา 10 บาท เราถึงได้ต้องดื่มเป็นน้ำขวดที่ราคา 1 ลิตร 10 บาท หรือแพงขึ้น 1,000 เท่า

สเเหตุที่รัฐไทยให้แรงดันน้ำกับประชาชนไม่ได้ นั่นเพราะเราจะสูญเสียน้ำไปตามท่อจากท่อระบายน้ำรั่วประมาณ 30% ถ้ายิ่งเปิดแรงดันน้ำแรงน้ำก็จะยิ่งรั่วมาก ถ้าเปิดน้ำอ่อยๆ น้ำก็จะรั่วน้อยลง แต่การที่ภาครัฐเปิดน้ำให้ประชาชนอ่อยๆ เพราะกลัวน้ำรั่วเป็นปัญหาที่สะท้อนน้ำคิดในการแก้ไขปัญหาแบบระยะสั้น ลูบหน้าปะจมูก แบบไทยๆ ผลักภาระน้ำที่ไม่สะอาด กับค่าถังพักน้ำ ค่าปั๊มน้ำ ให้ประชาชน ในขณะเดียวกันพอน้ำรั่วน้อย แต่เป็นการรั่วซึม เราก็จะไม่เห็นว่าน้ำรั่วที่จุดไหน เราก็จะไม่สามารถไปแก้ปัญหาที่ต้นเหตุได้
.
ประเทศไทยมีปัญหาที่หมักหมม และแก้ปัญหาแบบลูบหน้าปะจมูกอยู่แบบนี้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องน้ำแล้ง-น้ำท่วมที่แก้กันแบบ “น้ำแล้งขนน้ำไปหาคน น้ำท่วมขนคนหนี” เรื่องเกษตรที่อุ้มราคาเฉพาะหน้าอย่างเดียวแต่แทบไม่มีการยกระดับเกษตรกร เรื่องงบประมาณที่ซุกหนี้และภาระผูกพันไว้มากมายเป็นระเบิดเวลาในอนาคต ฯลฯ ถ้าเรื่องที่พื้นฐานมากๆ อย่างแรงดันน้ำ ประเทศไทยยังไม่สามารถทำได้เพื่อให้น้ำสะอาด เราไม่มีวันที่จะสามารถทำเรื่องยากๆ เพื่อให้ประเทศไทยแข่งขันในระดับโลกได้

อุตสาหกรรมแห่งอนาคตที่ใช้น้ำเป็นองค์ประกอบที่สำคัญมากก็คือชิพคอมพิวเตอร์ โรงงานผลิตชิพคอมพิวเตอร์โรงงานหนึ่งอาจใช้น้ำได้สูงถึง 10,000 ลบ.ม. ต่อปี นอกจากนี้การมีปริมาณน้ำที่มากอย่างเดียวไม่เพียงพอครับ ต้องใช้น้ำที่บริสุทธิ์มากด้วยเพื่อมาใช้ล้างชิพด้วย ชิพคอมพิวเตอร์สมัยนี้เล็กมากระดับนาโนเมตร ชิพเล็กที่สุดตอนนี้ 2 นาโนเมตรเล็กยิ่งกว่าเกลียวดีเอ็นเอ เพราะฉะนั้นน้ำที่จะมาใช้ล้างชิพระดับนาโนเมตรได้ก็ต้องเป็นน้ำที่บริสุทธ์มากระดับ Ultrapure Water ที่ไม่มีอนุภาคอะไรเหลือเลย
.
แต่เมื่อมองย้อนกลับมาดูความพร้อมของประเทศไทย อย่างเรื่องน้ำที่การประปายังเปิดน้ำให้แรงดันสูงเท่ากับต่างประเทศไม่ได้ มันทำให้เราเสียโอกาสมากไปถึงการสร้างอุตสาหกรรมอนาคตอย่างการสร้างชิพคอมพิวเตอร์ในช่วงเวลาที่ปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์มันทำให้ทั้งโลกต้องมาแข่งขันกันดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมขั้นสูง
.
การที่คณะก้าวหน้าทำน้ำประปาดื่มได้ให้ประชาชน ไม่ได้ตั้งใจเฉพาะทำให้ประชาชนเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานเท่านั้น แต่ยังมีเป้าหมายจะสร้างระบบน้ำประปาที่ทันสมัยที่สุดในประเทศไทย ใช้ระบบ IoT, Smart Meter, Smart Pressure Gauge, มีเซ็นเซอร์ มีระบบประมวลผลขึ้นจอวัดค่าความขุ่น ความเป็นกรดเป็นด่างของน้ำได้ วัดระดับความดันน้ำในแต่ละจุดของ water grid กลับมาแสดงผลบนหน้าจอได้
.
“ระบบเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นไม่ได้แค่ทำให้บริการประชาชนได้ดีขึ้น แต่เป็นการสร้างซัพพลายเชน สร้างห่วงโซ่มูลค่าอุตสาหกรรมเทคโนโลยีให้เกิดขึ้นในประเทศไทย ในวันที่ระบบน้ำประปาทั่วประเทศใช้ระบบ IoT ใช้ Smart Meter ใช้ Smart Pressure Gauge ในวันนั้นก็จะเกิดห่วงโซ่อุปกรณ์การผลิตเซ็นเซอร์ IoT ต่างๆ ที่เป็นปลายน้ำของการทำชิพ และเกิดอุตสาหกรรมภาคบริการ วิศวกรผู้ติดตั้งระบบ System Integrator, System Analyst, Solution Provider, ขึ้นมาเป็นการสร้างงานสร้างอาชีพมูลค่าสูงขึ้นจำนวนมาก”
.
“ในการเลือกตั้งปี 66 จะเป็นการเดิมพันครั้งสำคัญที่สุดในชีวิตของพวกเราครับ ว่าประเทศไทยจะย่ำอยู่กับที่? จะได้แค่เปลี่ยนรัฐบาล? หรือจะเปลี่ยนแปลงไปทั้งประเทศ? ถ้าพี่น้องประชาชนเชื่อว่าเราต้องเปลี่ยนแปลงทั้งประเทศ ประเทศไทยถึงเดินหน้าต่อไปได้ เลือกตั้งครั้งต่อไปเลือกเลือกก้าวไกลให้ไทยก้าวหน้า แล้วประเทศไทยจะเปลี่ยนไป ไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป”

 

ลั่นไม่หยุดสร้างสรรค์นโยบายเพื่อเปลี่ยนประเทศให้ก้าวหน้า

ขณะที่ ในส่วนของนโยบายศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคก้าวไกลฝ่ายนโยบาย พร้อมด้วยพริษฐ์ วัชรสินธุ ผู้อำนวยการสื่อสารนโยบาย ได้ขึ้นเวทีพูดถึงความสำเร็จทางนโยบายที่สร้างความเปลี่ยนแปลงขึ้นจริงแล้วและจะไม่หยุดสร้างสรรค์นโยบายเพื่อประชาชน

ศิริกัญญา เล่าถึงความสำเร็จและอนาคตของพรรคก้าวไกลในเส้นทางนโยบายที่ประชาชนมีส่วนร่วม ไม่ว่าจะเป็น “สุราก้าวหน้า” ที่ขจัดอุปสรรคทางกฎหมายของผู้ประกอบการรายเล็ก เพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าเกษตร สร้างงาน สร้างเศรษฐกิจในระดับรากหญ้า เปิดหน้ายืนท้าทายกับนายทุนผูกขาดในอุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ได้ประโยชน์จากสัมปทาน และกฎหมายที่ไม่เป็นธรรมมายาวนานกว่า 70 ปี
สมรสเท่าเทียม
.
“สมรสเท่าเทียม” ที่ยืนยันความเชื่อเรื่องสังคมที่คนเท่ากัน สังคมที่คนทุกคนเสมอภาคกัน และความเชื่อว่าทุกคนมีเสรีภาพที่ทุกคนจะทำตามฝัน โดยปราศจากความเหลื่อมล้ำ และการเลือกปฏิบัติ
.
“พ.ร.บ.เข้าชื่อเสนอกฎหมาย” ที่เราเข้าเสนอร่างกฎหมายให้สามารถทำผ่านระบบออนไลน์ได้ โดยไม่ต้องมานั่งซีร็อกซ์บัตรประชาชน และทะเบียนบ้านอีกต่อไป เปิดโอกาสประชาธิปไตยทางตรงให้ประชาชนผู้ทรงอำนาจสูงสุด เสนอกฎหมายได้ง่ายที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
.
“การอภิปรายในสภาที่จริงจังต่อเนื่อง” ซึ่งเป็นยืนยันว่าอำนาจสูงสุดเป็นของประชาชนเจ้าของภาษี ที่ต้องเคารพและให้เกียรติ และเป็นการยืนยันว่าการใช้เงินทุกบาททุกสตางค์ของประชาชนต้องถูกใช้อย่างมีประสิทธิภาพ และต้องตรวจสอบได้ผ่านผู้แทนของประชาชน
.
เรายังได้ใช้เวทีนี้เพื่อการตีแผ่ปัญหาระดับโครงสร้างรัฐราชการที่บิดเบี้ยว และฉ้อฉล โครงสร้างเศรษฐกิจที่เอื้อทุนใหญ่ เปิดโปงผู้มีอำนาจที่เหยียบย่ำหลักการพื้นฐานอย่างสิทธิมนุษยชน แม้เราจะพ่ายแพ้มาทุกครั้งเมื่อต้องนับมือในสภา แต่ความสำเร็จนั้นอยู่ที่นอกสภาเมื่อเราสามารถปักธงทางความคิด ให้ประชาชนได้รับรู้และเห็นตรงกันกับพวกเรา
.
“แม้พรรคก้าวไกลจะมีผู้แทน ไม่ถึง 50 คน แต่ก็มากพอที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่ต้องรอเป็นรัฐบาล และมากพอที่จะผลักดันวาระที่ก้าวหน้า และปักธงทางความคิดในสังคมได้ เมื่อสังคมเห็นด้วยกับเรามากพอ ก็เพียงพอที่จะโน้มน้าวสภาให้มาเห็นด้วยกับสังคมได้” ศิริกัญญา กล่าว

ด้านพริษฐ์ กล่าวถึงทิศทางอนาคตการทำนโยบายของพรรคก้าวไกลว่าโจทย์ของพรรคก้าวไกลคือเราต่องเพิ่มการมีส่วนร่วมให้มากขึ้น
.
“สิ่งหนึ่งที่เราได้เรียนรู้ตลอดการทำงานที่ผ่านมา คือปัญหาและความสนใจของประชาชนมีความแตกต่างหลากหลายเกินกว่า คนๆเดียวหรือผู้เชี่ยวชาญไม่กี่คน จะคิดค้นทางออกได้ทั้งหมด วันนี้ พรรคก้าวไกล เราเลยอยากระดมพลังและไอเดียจากประชาชนทุกคนทั่วประเทศ ผ่านการเปิดตัว platform “ตลาดนโยบาย” ที่จะเปิดให้ประชาชนเข้ามาเสนอนโยบายที่เขาอยากเห็น” พริษฐ์กล่าว
.
หากนโยบายใด มีประชาชนคนอื่นกด “ซื้อ” เยอะ จนได้รับคะแนนโหวตหรือเสียงสนับสนุนถึงเกณฑ์เป้าหมายที่เราตั้งไว้ เราก็จะเชิญผู้เสนอ ให้เข้ามา “ขาย” นโยบายโดยตรงต่อผู้บริหารพรรค เพื่อให้นโยบายของเขา ถูกพิจารณาไปเป็นนโยบายพรรคในการเลือกตั้งที่จะมาถึง และเพื่อให้ตัวเขา มาร่วมกันขับเคลื่อนนโยบายนั้นให้เกิดขึ้นจริงหลังการเลือกตั้ง
.
“เมื่อความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น หลายคนให้ความสำคัญกับคนแรกที่เริ่มต้นสร้าง แต่ความจริงแล้วคนที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจริงๆ ไม่ใช่แค่คนแรกที่เริ่มทำ แต่คือทุก ๆคนที่เข้ามาร่วมกันสร้างความเปลี่ยนแปลงด้วยกัน” พริษฐ์กล่าวทิ้งท้าย